ตอนที่ 224-2 ฝันไปเถอะ

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ตอนที่เสิ่นเวยกลับไปถึงเรือนสวีโย่วก็เพิ่งจะออกไปพอดี ถามคนที่รับใช้ข้างกายเขา บอกว่าไปวัง เสิ่นเวยขมวดคิ้ว ในราชสำนักเกิดเรื่องอะไรอีกแล้วหรือ มิเช่นนั้นฝ่าบาทจะเรียกเขาทำไม ช่วงนี้นางเองก็ค่อยๆ รู้ฐานะลับๆ ของสวีโย่วแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือเป็นหัวหน้าสายลับ ช่วยฝ่าบาทจัดการเรื่องลับที่เปิดเผยไม่ได้จำนวนหนึ่ง มิน่าเล่าลูกน้องเขาจึงมักจะมีคนลอยไปลอยมาเยอะเพียงนั้น

 

 

ครั้นอยู่ที่ซีเจียงนางยังขอยืมคนจากเขามาใช้หลายต่อหลายครั้ง คนเหล่านั้นใช้แล้วคล่องมือจริงๆ! ที่แท้แล้วก็เป็นทหารลับที่ราชสำนักอบรมมา มิน่าเล่า

 

 

เสิ่นเวยคิดเพียงเท่านี้ก็โยนเรื่องไว้ข้างๆ นางพาคนไปที่ห้องเก็บสินเดิม หา**บเก็บภาพวาดที่มีเพียงฉบับเดียว รื้ออยู่นานก็หาภาพ ‘ตกปลาใต้จันทรา’ ภาพนั้นเจอแล้ว นางจับแกนภาพวาดแล้วค่อยๆ คลี่ออก จันทร์เต็มดวงลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า เรือลำเล็กหนึ่งลำเทียบท่าอยู่บนคลื่นหมอกควันอันกว้างใหญ่ไพศาล บนเรือมีชายชราผู้หนึ่งกำลังนั่งตกปลาอยู่

 

 

สิ่งแวดล้อมในภาพวาดสามารถใช้คำสองคำมาอธิบายได้ นั่นก็คือ ‘เงียบสงัด’ ฝีมือการวาดก็ช่ำชองล้ำลึก แต่เสิ่นเวยมองซ้ายมองขวาก็มองไม่ออกว่าเหตุใดภาพๆ นี้ถึงมีมูลค่าหลายเมือง หรือว่าสายตานางจะใช้ไม่ได้

 

 

เสิ่นเวยคิดแล้วคิดอีก ม้วนภาพใหม่อีกครั้ง เรียกเย่ว์กุ้ยเข้ามาแล้วกล่าว “ส่งภาพผืนนี้ไปที่จวนจวิ้นอ๋องมอบให้อาจารย์ซู ให้เขาคัดลอกอีกผืน”

 

 

เย่ว์กุ้ยพยักหน้าเพิ่งจะหันหลังกลับ เสิ่นเวยก็ตะโกนเรียกนางอีกครั้ง “เก็บของให้ดี อย่าให้คนอื่นเห็น”

 

 

เย่ว์กุ้ยพยักหน้าอีกครั้ง ม้วนภาพแล้วม้วนภาพอีก ยัดเข้าไปในแขนเสื้อตัวหลวมของตน เมื่อครู่พี่หลีฮวากับพี่เถาจือล้วนแต่มีงาน นางกับเหอฮวาจึงเป็นคนตามฮูหยินไปที่เรือนพระชายา ดังนั้นเมื่อฮูหยินสั่ง นางก็เข้าใจเจตนาทันที เบื้องลึกในใจนางเองก็กำลังกระวนกระวาย พระชายาพูดคำสองคำก็คิดจะวางแผนเอาของของฮูหยิน เหตุใดถึงวาดฝันสวยเพียงนั้น

 

 

แม้แต่นางที่เป็นบ่าวยังรู้ว่าภาพผืนนี้มีมูลค่ามหาศาล ภาพที่แม้แต่ท่านเสนาบดีฉินยังอาลัยอาวรณ์จะไม่มีมูลค่าได้อย่างไร พระชายาที่สวยแต่รูปจูบไม่หอมเช่นนี้ขอของจากฮูหยินไป แต่ไม่พูดว่าจะชดเชยให้ฮูหยินแม้แต่นิดเดียว เหอะ เป็นถึงพระชายาผู้ยิ่งใหญ่ ดูความขี้งกนั่นสิ!

 

 

สวีโย่วเพิ่งจะกลับมาก็ตอนพลบค่ำ ตอนที่เขาเข้าห้องเสิ่นเวยกำลังลากแม่นมมั่วกับหลีฮวาและคนอื่นๆ มาเลือกผ้าด้วยกัน นางจะเย็บชุดให้สวีโย่ว เมื่อนางพูดความคิดนี้ออกไป ก็ได้รับความเห็นพ้องต้องกันของแม่นมมั่วและคนอื่นๆ โดยเฉพาะหลีฮวา ดูจากสีหน้าปลื้มใจบนใบหน้านาง ก็บอกชัดเจนแล้วว่า ในที่สุดฮูหยินก็รู้จักคิดแล้ว

 

 

เสิ่นเวยแสยะปาก นางผู้เป็นนาย แย่งงานบ่าวในหน่วยเย็บปักถักร้อยทำจะดีจริงๆ หรือ

 

 

แม้ว่าสวีโย่วจะผอมเล็กน้อย แต่กลับมีหุ่นที่ได้มาตรฐาน ใส่สีอะไรก็ดูดี เสิ่นเวยเลือกอยู่นานในที่สุดก็เลือกผ้าสีฟ้าอมเขียวผืนนั้น เขาสวมชุดสีฟ้าอมเขียวทอลายไผ่เขียวแล้วอบอุ่นดั่งหยก ทำให้คนอยากกระโจนเข้าหาเขาอย่างอดไม่ได้

 

 

อันที่จริงเสิ่นเวยคิดว่าสวีโย่วใส่ชุดสีแดงดูดีที่สุด กิริยาท่าทางน่าหลงใหล คืนวันแต่งงานเขาสวมชุดมงคลมารับเจ้าสาว เสิ่นเวยยังตกตะลึงเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ หากไม่ใช่ว่านางมีภูมิคุ้มกันมาก ก็คงจะหลงเขาจนหัวปักหัวปำไปแล้ว

 

 

“กลับมาแล้ว! ฝ่าบาทเรียกท่านทำไมหรือ” เสิ่นเวยเงยหน้ามองสวีโย่ว สั่งเสียงต่ำบอกให้หลีฮวาเอาผ้าเต็มโต๊ะออกไป เหลือไว้เพียงแต่ผ้าสีฟ้าอมเขียวผืนนั้นเพียงผืนเดียว “นี่ ท่านชอบสีนี้หรือไม่”

 

 

ไหวพริบสวีโย่วกะพริบวาบ “นี่คือ?” ดวงตาของเขามีความคาดหวังเล็กน้อย ทั้งยังมีความเหลือเชื่ออีกหลายส่วน เวยเวยคงไม่ได้จะเย็บชุดให้เขาใช่หรือไม่ นี่ช่าง ช่างดีจริงๆ เลย สายตาก็ยิ่งมองไปทางเสิ่นเวยด้วยความแรงกล้า

 

 

เสิ่นเวยละสายตาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ กล่าวอย่างเรียบง่าย “ว่างไม่มีอะไรทำ เลยช่วยเย็บเสื้อให้ท่าน แต่น่าสงสาร แต่งงานกับภรรยาที่เป็นเพียงร่ายรำกระบี่กระบอง ฝีมือข้าแย่ ความเร็วก็ช้า อาจจะต้องรอนานมาก ท่านอย่ารีบร้อนล่ะ”

 

 

“ไม่รีบ ไม่รีบ เวยเวยเจ้าทำช้าๆ ไม่ต้องเหนื่อย” สวีโย่วพูดเสียงอ่อน ความสุขแผ่คลุมทั้งใบหน้า “ขอเพียงแค่เวยเวยทำเองกับมือ ข้าก็ชอบทั้งนั้น”

 

 

เห็นคนอื่นสวมเสื้อผ้าที่ภรรยาในบ้านทำเองกับมือโอ้อวดอยู่ตรงนั้น อันที่จริงเขาก็อิจฉายิ่งนัก ตั้งแต่เล็กจนโต นอกจากตอนเด็กที่ยายหรูเย็บเสื้อผ้าให้เขาแล้ว เสื้อผ้าของเขาล้วนแต่เย็บโดยหน่วยเย็บปักถักร้อย เดิมคิดว่าชีวิตนี้จะไม่ได้สวมชุดที่เวยเวยเย็บให้เขาแล้ว แม้เขาจะเสียดายแต่กลับไม่ตำหนิ อย่างไรเสียก็ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เขาไม่อาจคาดหวังให้เวยเวยทำเป็นทุกอย่าง ไม่คิดว่าวันนี้เวยเวยจะทำให้เขาประหลาดใจมากเพียงนี้

 

 

เห็นท่าทางตกตะลึงที่ดีใจแทบบ้าของสวีโย่ว เสิ่นเวยก็แอบแสยะปาก ขนาดนี้เลยหรือ ก็แค่ชุดหนึ่งชุดไม่ใช่หรือ ทำราวกับนางปฏิบัติต่อเขาอย่างไม่เป็นธรรม

 

 

“จริงสิ ท่านยังไม่บอกข้าเลยว่าฝ่าบาทเรียกท่านไปทำไม” เสิ่นเวยนึกถึงคำถามเมื่อครู่ขึ้นได้

 

 

“ดื่มชา วางหมาก” สวีโย่วตอบอย่างเรียบง่าย

 

 

เสิ่นเวยไม่เชื่อ ชายตามองเขาแล้วกล่าว “ฝ่าบาทว่างเพียงนี้เลยหรือ” อาชีพฮ่องเต้นี้ไม่ใช่นอนกลางดึกยามห้าวันทั้งวันงานยุ่งเหน็ดเหนื่อยหรอกหรือ จากมุมมองของเสิ่นเวย ฮ่องเต้เป็นงานที่ลำบากที่สุดในใต้หล้าแล้ว ไม่มีสิ่งใดเทียบ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเก้าอี้พังๆ หนึ่งตัวยังจะพยายามแย่งชิงกันมาให้ได้เพื่ออะไร

 

 

“ดื่มชาวางหมากจริงๆ” สวีโย่วกล่าวซ้ำอีกครั้ง อันที่จริงนอกจากดื่มชาวางหมาก ฝ่าบาทยังพูดเรื่องกองทัพส่วนตัวที่เขาชิงลั่วอีกด้วย แต่ว่าเรื่องนี้ซับซ้อนเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าประโยคสองประโยคก็จะอธิบายได้ชัดเจน จึงถือโอกาสไม่พูดเสียเลย

 

 

“เวยเวยเล่า พระชายาเรียกเจ้ามีเรื่องอะไรหรือ” สวีโย่วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

 

 

เสิ่นเวยแค่นเสียงหึหนึ่งครา จากนั้นจึงกล่าว “นางจะมีเรื่องอะไรได้ วางแผนจะเอาสินเดิมข้าน่ะสิ” จากนั้นก็เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบหนึ่งรอบ สุดท้ายก็พูดสรุป “คิดจะเอาของของข้า ได้ ไม่เอาเงินมาแลก ก็เอาของมีค่ามาแลก คิดจะจับเสือมือเปล่า ฝันไปเถอะ! ดังนั้นข้าเลยให้เย่ว์กุ้ยเอาภาพไปให้อาจารย์ซูคัดลอก” ดวงตาของนางเผยความเจ้าเล่ห์ราวกับลูกสุนัขจิ้งจอกออกมา

 

 

สวีโย่วยกมุมปาก “เจ้ามีความสุขก็ดีแล้ว”

 

 

ความตามใจในคำพูดทำให้ความสุขของเสิ่นเวยสูงขึ้นอีกชั้น “แม่เลี้ยงท่านชอบใจจวนเสนาบดีฉิน อยากสู่ขอหลานสาวท่านเสนาบดีฉินเป็นภรรยาของสวีฉั่ง รู้หรือไม่ว่าเป็นใคร ฉินอิงอิง เด็กคนนั้นไม่เพียงแต่ปากหาเรื่องคน ยังชอบลงมือกับคนอื่นอีกด้วย น้องสี่เจ้ามีวาสนายิ่งนัก! หึๆ แม่เลี้ยงท่านจะก่อกบฏล่วงหน้าหรือ เสด็จพ่อท่านรู้หรือไม่ เห็นด้วยหรือไม่” เสิ่นเวยดีใจบนความทุกข์ของผู้อื่น

 

 

เจตนาแฝงของพระชายาจิ้นอ๋องไม่ว่าใครก็ดูออก ลูกชายชินอ๋องผู้ยิ่งใหญ่แต่งงานกับลูกสาวขุนนางเล็กๆ ขั้นห้า เสียดายที่นางยังโง่ใจดีพูดว่าเหมาะสม เหมาะสมกับผีน่ะสิ! ภรรยาของสวีเยี่ยกับสวี่เหยียนคนหนึ่งเป็นบุตรสาวของท่านกั๋วกง คนหนึ่งเป็นบุตรสาวของท่านโหว แต่งฉินอิงอิงให้สวีฉั่งเป็นเพียงเพราะชอบที่นางเป็นลูกพี่ลูกน้องของซูเฟยเหนียงเหนียง อาศัยซูเฟยเหนียงเหนียงกับองค์ชายรองในวังมาเชื่อมสัมพันธ์ก็เท่านั้นเอง

 

 

ช่วงนี้องค์ชายรองที่เป็นบุตรซูเฟยเหนียงเหนียงค่อนข้างทำงานที่เปิดเผยหลายเรื่อง จักรพรรดิยงเซวียนชมเขาหลายครั้งแล้ว ความเฉียบแหลมของเขาก็เหนือกว่าไท่จื่อมานานแล้ว

 

 

ภายนอกมีจวนเสนาบดีสนับสนุน ภายในซูเฟยเหนียงเหนียงก็ได้รับความโปรดปราน ตนเองก็มีความสามารถ กำจัดไท่จื่อเข้าแทนที่นี่ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายอย่างถึงที่สุดหรือ พระชายาจิ้นอ๋องตัดสินใจล่วงหน้าหรือไร

 

 

“ปล่อยให้นางทรมานไป!” สวีโย่วเลิกคิ้ว ก้มหน้าดื่มชา

 

 

แม้ว่าพระชายาจิ้นอ๋องจะรื้อจวนจิ้นอ๋อง ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลยสักทองแดงเดียว จวนจิ้นอ๋องไม่มีแล้วก็ดี เขาจะได้ย้ายไปจวนจวิ้นอ๋องได้อย่างเปิดเผย

 

 

เสิ่นเวยคิดๆ ดูแล้วก็ถูก ฟ้าถล่มลงมาก็ยังค้ำได้อยู่ นางจะร้อนใจมากเพียงนั้นทำไมกัน

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องรอแล้วรออีก รอติดต่อกันมาหลายวันแล้วก็ยังไม่เห็นเสิ่นเวยส่งภาพมาด้วยตัวเอง ในใจก็ไม่พอใจขึ้นมา ใคร่ครวญว่าใช่เสิ่นซื่อผู้นั้นเปลี่ยนใจแล้วหรือไม่ เหอะ คิดว่านางเอามาให้เองไม่ได้แล้วตนจะไม่มีหนทางหรือ แสร้งโง่กับนางหรือ ฝีมือยังต่ำไปหน่อย

 

 

เช้าตรู่วันนี้ เสิ่นเวยไปเคารพที่จวนจิ้นอ๋อง ก็เห็นท่านจิ้นอ๋องอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน ในใจเสิ่นเวยมีความเข้าใจแวบผ่าน เคารพด้วยความนบนอบ

 

 

เสิ่นเวยเพิ่งจะนั่งลงบนเก้าอี้ทอลาย พระชายาจิ้นอ๋องก็เอ่ยปากแล้ว “ภรรยาโย่วเอ๋อร์ ภาพผืนนั้นที่เจ้าเอ่ยถึงเมื่อหลายวันก่อนเจ้าหาเจอแล้วหรือยัง เหตุใดถึงไม่เอามาเลยเล่า ใช่เจ้าทิ้งไม่ลงจึงเปลี่ยนใจหรือไม่”

 

 

เมื่อคำพูดนี้ออกไป สีหน้าท่านจิ้นอ๋องที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ไม่ค่อยดีนัก “เพียงแค่ภาพวาด มีอะไรให้ทิ้งไม่ลง ยิ่งไปกว่านั้นที่ให้ยังทำเพื่อการสมรสของน้องชายพวกเขา”

 

 

แท้จริงแล้วรากฐานของจวนจงอู่โหวก็ไม่ได้เรื่อง แม้แต่เสิ่นซื่อผู้นี้ยังขี้เหนียวใจแคบ ไม่มีกิริยาของหญิงสูงศักดิ์เลยแม้แต่น้อย โย่วเอ๋อร์ คิดถึงลูกชายคนโตผู้นั้นของเขา ท่านจิ้นอ๋องก็ยิ่งหงุดหงิด

 

 

“ไม่ ไม่ใช่ เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ท่านฟังลูกพูดก่อน คือว่า คือว่า…” เสิ่นเวยรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ทอลาย ระมัดระวัง ขลาดกลัว กระอึกกระอักอยู่นานก็พูดต้นสายปลายเหตุไม่ออก ใบหน้างามทั้งใบกลับร้อนรนจนแดงก่ำ