ตอนที่ 224-1 ฝันไปเถอะ

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

“เคารพฮูหยินใหญ่” หลีฮวาพาหวาเหยียนเดินเข้ามา เห็นเพียงนางแก้มชมพูดวงตากลมโต ท่อนบนสวมเสื้อปี๋เจี่ยสีเขียวอ่อน ท่อนล่างสวมกระโปรงสีชมพูอ่อนลายดอกเหมย เดินอรชรอ้อนแอ้นเข้ามา บอกว่าเป็นสาวใช้ แต่กลับไม่ต่างอะไรจากคุณหนูตระกูลเล็กๆ ข้างนอกนั่น

 

 

เสิ่นเวยประหลาดใจเล็กน้อย หวาเยียนผู้นี้คือสาวใช้ใหญ่ที่ถูกใช้ให้ทำหน้าที่สำคัญที่สุดข้างกายพระชายาจิ้นอ๋อง นางมาทำอะไรกัน

 

 

“แม่นางหวาเยียนเองหรือ พระชายามีเรื่องอะไรหรือ สั่งสาวใช้เล็กมาก็ได้แล้ว ทำไมจะต้องลำบากเจ้ามาเอง แม่นางหวาเยียนมาเรือนของพวกเราครั้งแรก หลีฮวา ยังไม่รีบไปเอาขนมดีๆ มารับใช้พี่หวาเยียนของพวกเจ้าอีก” บนใบหน้าเสิ่นเวยมีรอยยิ้มน้อยๆ ที่เหมาะสมพอดี

 

 

หวาเยียนกล่าวด้วยท่าทีเคารพ “บ่าวเป็นเพียงคนรับใช้ ฮูหยินใหญ่ให้เกียรติบ่าวเกินไปแล้ว ฮูหยินใหญ่ไม่ต้องลำบาก พระชายาสั่งให้บ่าวมาเชิญฮูหยินใหญ่ไปเที่ยวหนึ่ง ขนมอะไรบ่าวไว้ค่อยลองชิมครั้งหน้าเจ้าค่ะ”

 

 

“นี่ไหนเลยจะเสียเวลาสักครู่ไม่ได้ แม่นางหวาเยียนมาทั้งที ในเมื่อไม่ชอบกินขนม เช่นนั้นก็เอากระเป๋าเงินนี้ไปเล่นเถอะ” เสิ่นเวยบอกเป็นนัย หลีฮวาก็ยัดกระเป๋าเงินใบเล็กทอลายดอกบัวไว้ในมือของหวาเยียน “นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของฮูหยินพวกเรา พี่หวาเยียนอย่าได้รังเกียจ”

 

 

“บ่าวขอบคุณฮูหยินที่มอบของให้” หวาเยียนกลับรับไว้ด้วยความใจกว้างอย่างยิ่ง เมื่อเสิ่นเวยจะสืบถามว่าพระชายาจิ้นอ๋องเชิญนางไปมีเรื่องอันใด หวาเยียนกลับยิ้มเพียงเท่านั้น

 

 

เสิ่นเวยเองก็ไม่ทำให้นางลำบากใจ คนเป็นบ่าวก็มีความลำบากของบ่าว หากนางถามแล้วหวาเยียนพูดออกมาทั้งหมด เช่นนั้นนางก็จะดูถูกสาวใช้ใหญ่ผู้นี้ข้างกายพระชายาจิ้นอ๋อง อย่างไรเสียอีกประเดี๋ยวก็ได้รู้แล้ว เพียงแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก

 

 

เสิ่นเวยไม่ได้ไล่ถามต่อ หวาเยียนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกในใจ เบื้องลึกในใจอดเคารพฮูหยินใหญ่ที่เข้าเรือนมาใหม่ผู้นี้เพิ่มขึ้นสองส่วนไม่ได้

 

 

“เคารพเสด็จแม่ เสด็จแม่กำลังทำอะไรอยู่หรือเพคะ” เสิ่นเวยยกยิ้มหวานทั่วใบหน้า มองเห็นในมือพระชายาจิ้นอ๋องถือเข็มกับด้ายอยู่ อดเขยิบเข้าไปถามด้วยความสงสัยไม่ได้

 

 

“ภรรยาโย่วเอ๋อร์มาแล้ว!” พระชายาจิ้นอ๋องเงยหน้าขึ้น ถือโอกาสวางชุดที่กำลังเย็บอยู่ไว้ข้างๆ “ไม่มีอะไร ว่างไม่มีงานทำจึงเย็บชุดให้ท่านอ๋อง” แววตาของนางอ่อนโยนและอบอุ่น เสมือนกับนั่นไม่ใช่แค่ชุด แต่เป็นท่านจิ้นอ๋องยืนอยู่ตรงหน้านาง

 

 

“ความรักใคร่ของเสด็จพ่อเสด็จแม่ช่างทำให้คนอิจฉายิ่งนัก! เสด็จแม่งานยุ่งเพียงนั้นยังเย็บชุดให้เสด็จพ่อกับมือ ท่านดีต่อเสด็จพ่อจริงๆ มิน่าเล่าหลายปีเพียงนี้เสด็จพ่อจึงมีแต่เสด็จแม่อยู่ในใจ” บนใบหน้าเสิ่นเวยเต็มไปด้วยความอิจฉา ยื่นมือหยิบชุดขึ้นดู “ชุดนี้เย็บได้ประณีตจริงๆ เสด็จแม่ฝีมือท่านดีจริงๆ หากลูกมีพื้นฐานได้สักครึ่งหนึ่งของท่าน คุณชายใหญ่ก็คงจะไม่รังเกียจที่ลูกโง่”

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องหลุดหัวเราะ “เจ้าเด็กซื่อคนนี้ คุณชายใหญ่หยอกล้อเจ้าเล่นแล้ว เขาไหนเลยจะรังเกียจเจ้า เสด็จพ่อของพวกเจ้ามีนิสัยเรื่องมาก ไม่ชอบสวมเสื้อผ้าที่หน่วยเย็บปักถักร้อยทำ ข้าจึงทำได้เพียงเจียดเวลาทุกๆ ฤดูมาเย็บให้เขาสองชุด เยอะกว่านี้ก็ไม่มีแรงแล้ว” มุมปากนางอมยิ้ม ท่าทางอ่อนโยนอย่างถึงที่สุด

 

 

เสิ่นเวยได้เปิดมุมมองใหม่จริงๆ อืม จะทำอย่างไรให้ผู้ชายทำดีต่อตนทั้งจิตทั้งใจ วันนี้ได้เรียนรู้อีกหนึ่งข้อแล้ว หรือว่าจะกลับไปเย็บชุดให้สวีโย่วใส่บ้าง แต่ว่าด้วยความช้าของนางคาดว่าคงต้องใช้เวลามากกว่าสามเดือน ไม่รู้เหมือนกันว่าสวีโย่วจะรอได้หรือไม่

 

 

“ภรรยาสวีว วันนี้แม่เชิญเจ้ามาไม่ได้มีเรื่องอะไร เพียงแค่แม่เจอปัญหาหนึ่งเข้าแล้ว อยากเชิญเจ้ามาช่วยหน่อยได้หรือไม่” พระชายาจิ้นอ๋องกล่าวอย่างยิ้มแย้ม

 

 

ดวงตาของเสิ่นเวยกะพริบเล็กน้อย นี่หมายความว่าจะวางแผนทำอะไรนางอีกแล้ว ทว่าบนใบหน้ากลับไม่แสดงอารมณ์ กล่าวด้วยความประหลาดใจ “เสด็จแม่อย่าหยอกล้อลูก ช่วยไม่ช่วยอะไร ท่านมีอะไรก็สั่งมาตรงๆ ได้เลย”

 

 

สายตาที่พระชายาจิ้นอ๋องมองนางก็ยิ่งอ่อนโยน “เรื่องเป็นเช่นนี้ ข้าน่ะดูคู่สมรมให้ฉั่งเอ๋อร์แล้ว ฐานะและหน้าตาของแม่นางผู้นั้นเหมาะสมกับฉั่งเอ๋อร์”

 

 

พูดถึงตรงนี้นางก็หยุด เสิ่นเวยรีบกล่าวต่ออย่างรู้งาน “สายตาเสด็จแม่จะไม่ดีได้อย่างไร ดูน้องน้องสะใภ้รองกับน้องสะใภ้สามก็รู้แล้ว เสด็จแม่ถูกใจคุณหนูตระกูลใดเล่า”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของพระชายาจิ้นอ๋องก็ยิ่งกว้าง “จะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่คนนอก คุณหนูผู้นั้นคือคุณหนูเจ็ดบ้านสาม จวนท่านเสนาบดีฉิน เดิมบ้านรองกลับมีคุณหนูผู้หนึ่ง แต่ว่าคู่สมรสของนางหมั้นหมายไว้แล้ว” ในใจพระชายาจิ้นอ๋องเสียดายเล็กน้อย เพราะเดิมคนที่นางดูไว้ก็คือคุณหนูห้าบ้านรองผู้นั้น นางยังไม่ทันได้ลงมือ ก็มีข่าวหมั้นหมายของเขาออกมาแล้ว นางทำได้เพียงหาคนใหม่ก็คือคุณหนูเจ็ดบ้านสาม

 

 

คุณหนูเจ็ดบ้านสามท่านเสนาบดีฉินหรือ นั่นไม่ใช่ฉินอิงอิงหรือ นั่นคือคู่อริของนาง เบื้องลึกในใจเสิ่นเวยเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา นางพูดได้หรือว่าสายตาพระชายาจิ้นอ๋องร้ายกาจ เลือกใครไม่เลือก ดันเลือกศัตรูตัวฉกาจที่สุดของนาง

 

 

“คนที่เสด็จแม่พูดถึงก็คือคุณหนูเจ็ดนามว่าอิงอิงผู้นั้นใช่หรือไม่ จะบอกว่าเสด็จแม่สายตาไม่ดีได้อย่างไร คุณหนูเจ็ดแซ่ฉินงามดั่งบุปผา นิสัยก็กระฉับกระเฉง เป็นคู่สร้างคู่สมกับคุณชายสี่ของพวกเราจริงๆ” เสิ่นเวยปากก็กล่าวชม แต่ในใจกลับวิจารณ์ ก็งามดั่งบุปผาจริงๆ ไม่ใช่หรือ อกเป็นอก ก้นเป็นก้น เอวก็เล็กบาง อายุเท่านางก็เจริญเติบโตประหนึ่งลูกท้อที่สุกเต็มที่

 

 

ส่วนนิสัยกระฉับกระเฉงน่ะหรือ ปากนางร้ายเพียงนั้น ทั้งยังอาฆาตคนอย่างไม่มีเหตุผล ไม่ใช่นิสัยกระฉับกระเฉงหรือไร

 

 

“อ้อ ภรรยาโย่วเอ๋อร์สนิทกับนางหรือ ดีจริงๆ! พี่สาวน้องสาวกลายเป็นพี่สะใภ้น้องสะใภ้ช่างยอดเยี่ยม” พระชายาจิ้นอ๋องกล่าวด้วยความดีใจ

 

 

ทว่าเสิ่นเวยกลับขวยเขินเหนียมอายขึ้นมา “ไม่ปิดบังเสด็จแม่ ลูกเพียงแค่เคยพบหน้าคุณหนูเจ็ดแซ่ฉิน หากจะบอกว่าสนิทก็คงไม่ได้ เพราะว่ามีการเข้าใจผิดกันเล็กน้อย ข้าสองคนยังเคยทะเลาะกันด้วย ภายหลัง ภายหลังก็เข้าใจกันแล้ว” เสิ่นเวยพูดกึ่งจริงกึ่งโกหก

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องตกตะลึง ทันใดนั้นก็ยิ้ม “เฮ้อ ข้าก็คิดว่ามีเรื่องใหญ่ ก็แค่ทะเลาะกันเล็กน้อยมิใช่หรือ คุณหนูอายุน้อยอยู่ด้วยกันมีใครบ้างไม่เคยทะเลาะ ตอนแม่ยังเด็กก็เคยทะเลาะกับพี่น้อง ตอนที่ทะเลาะก็อยากจะเลิกคบเสียให้ได้ แต่ผ่านไปไม่ถึงสองวันก็ดีเหมือนเป็นคนละคนเลย คิดๆ ดูแล้วช่วงเวลาตอนนั้นใช้ชีวิตได้อย่างไร้ความกังวลที่สุด!”

 

 

พูดแล้วว่าไม่สนิท แต่พอมาถึงปากพระชายาจิ้นอ๋องกลับกลายเป็นพี่น้อง คำพูดนี้เสิ่นเวยพูดต่อไม่ได้จริงๆ เพียงแค่เม้มริมฝีปากยิ้ม

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องกล่าวต่อ “หาคนที่เหมาะสมไปเจรจาถึงบ้าน แต่เขากลับไม่ยินดีนัก รังเกียจที่ฉั่งเอ๋อร์ไม่มีงานเป็นทางการ” นี่หมายความว่าพระชายาจิ้นอ๋องพยายามปิดทองบนหน้าฉั่งเอ๋อร์อยู่จริงๆ อาศัยอยู่ในเมืองหลวง ใครบ้างไม่รู้ คนอื่นไม่เพียงแต่รังเกียจที่ฉั่งเอ๋อร์ไม่มีงานเป็นทางการ ทุกคนยังรังเกียจที่ฉั่งเอ๋อร์เป็นลูกคุณหนูเล่นพนันเที่ยวผู้หญิง นั่นคือบุตรสาว ไม่ใช่ศัตรู ใครจะยินดีโยนบุตรสาวเข้ากองไฟเล่า

 

 

เสิ่นเวยแย้งอย่างแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม “ตระกูลของพวกเราเป็นราชนิกุล ต่อให้ไม่หางานก็ร่ำรวยไปทั้งชีวิตแล้ว ไยจะต้องแข่งขันเหมือนปัญญาชนที่มีชีวิตอย่างลำบากเหล่านั้นด้วย คุณชายใหญ่ของพวกเราก็ไม่มีงานเหมือนกันมิใช่หรือ” เสิ่นเวยวางท่าทางเข้าข้าง ลืมเรื่องที่จักรพรรดิยงเซวียนเคยขอให้คุณชายใหญ่ของนางเข้าราชสำนักไปแล้ว

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องตบมือของเสิ่นเวย “ก็ใช่น่ะสิ ฉั่งเอ๋อร์ไม่ใช่ว่าไม่มีความสามารถ เขาเพียงแค่ชอบเที่ยวเล่นเล็กน้อย นิสัยยังไม่แน่นอน ตระกูลพวกเรามีเยี่ยเอ๋อร์กับเหยียนเอ๋อร์เข้าราชสำนักทำงานก็พอแล้ว โย่วเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอ ฉั่งเอ๋อร์ชอบเที่ยวเล่น ข้าไหนเลยตัดใจบังคับพวกเขาได้”

 

 

นางเปลี่ยนเรื่อง กล่าวต่อ “พวกเราเป็นคนบ้านเดียวกันย่อมรู้เรื่องในบ้านตัวเอง แต่คนนอกไม่รู้! แต่ละคนยังคิดว่าฉั่งเอ๋อร์เป็นลูกคุณหนูไม่พัฒนา พูดจาถือดี พี่ชายพวกเขาหลายคนข้าก็ดูแลเข้มงวดมาตั้งแต่เด็ก ไหนเลยจะกลายเป็นลูกคุณหนูได้”

 

 

“อืมๆๆ เสด็จแม่พูดถูก วิถีจวนจิ้นอ๋องของพวกเราบริสุทธิ์เช่นนี้ ท่านกับเสด็จพ่อก็ไม่ใช่คนตามใจลูก คุณชายสี่เพียงแค่ติดเพื่อน จะเกี่ยวข้องกับลูกคุณหนูได้อย่างไร ทั้งหมดล้วนเป็นคำพูดไร้สาระของคนข้างนอก” เสิ่นเวยมองพระชายาจิ้นอ๋องด้วยสีหน้าเลื่อมใสทั้งใบหน้า

 

 

“ยังคงเป็นภรรยาโย่วเอ๋อร์ที่ดูออก” พระชายาจิ้นอ๋องชมเสิ่นเวยหนึ่งประโยค “พวกเราเป็นตระกูลเมตตา ไม่ได้ไปตามอธิบายทีละคนๆ แต่คู่สมรสนี้หมายปองไว้ดีแล้ว ข้าจึงอยากไหว้วานคนไปเจรจาอีกครั้ง เฮ้อ ลูกๆ ล้วนแต่เป็นหนี้ เพื่อฉั่งเอ๋อร์ ข้าเองก็ทำได้เพียงออกหน้าแทน”

 

 

เสิ่นเวยพูดในใจ เอาแล้ว

 

 

เป็นดังคาด ไม่ต้องให้เสิ่นเวยเอ่ยปากถาม พระชายาจิ้นอ๋องก็พูดเอง “ข้ากำลังไตร่ตรอง คนอื่นพูดก็ไม่มีน้ำหนักอะไร กลับเป็นคำพูดของท่านเสนาบดีฉินพวกเขาจึงจะเชื่อถือ ท่านเสนาบดีฉินเป็นขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก สตรีเรือนหลังเช่นพวกเราเหล่านี้ก็ไม่พอจะเจรจา! ท่านอ๋องกลับไปพูดกับเขาได้ แต่เรื่องช่วยคนนี้ไม่ว่าอย่างไรก็รบกวนท่านอ๋อง ข้าฟังว่าท่านเสนาบดีฉินชอบภาพวาด บังเอิญว่าเขากำลังสั่งคนให้ไปหาภาพผลงาน ‘ตกปลาใต้จันทรา’ ของจางเต้าจื่อในรัชสมัยก่อนอยู่พอดี หากพวกเราส่งภาพวาดนี้ไปให้เขาได้ แล้วค่อยเชิญเขามาเจรจาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้วหรือ ภรรยาโย่วเอ๋อร์คิดว่าอย่างไร” นางจ้องมองดวงตาของเสิ่นเวย

 

 

อ้อ นี่คือวางแผนจะเอาสินเดิมของนางแล้ว! ในใจเสิ่นเวยเข้าใจดี แต่สีหน้ากลับแสร้งไม่รู้เรื่อง “แต่พวกเราจะไปช่วยเขาหาภาพผืนนั้นจากไหนเล่า”

 

 

เมื่อเสิ่นเวยพูดประโยคนี้ออกไป รอยยิ้มบนใบหน้าของพระชายาจิ้นอ๋องก็จางลงหลายส่วน “คนอื่นไม่รู้ ภรรยาโย่วเอ๋อร์จะไม่รู้ได้อย่างไร ภาพ ‘ตกปลาใต้จันทรา’ ภาพนั้นเคยเป็นสินเดิมของแม่เจ้า”

 

 

ภรรยาโย่วเอ๋อร์ผู้นี้ อย่ามองว่าพูดจาน่าฟัง อันที่จริงกลับเป็นคนเจ้าเล่ห์เหมือนกัน ตนก็พูดชัดเจนเพียงนั้นแล้ว นางไม่พูดว่าเอาภาพออกมาเองซ้ำยังแสร้งโง่ เหอะ ช่างเป็นคนเนรคุณจับไม่อยู่จริงๆ

 

 

“เสด็จแม่จะบอกว่าตอนนี้ภาพผืนนั้นอยู่ในมือลูกงั้นหรือ” ทั้งใบหน้าเสิ่นเวยตกใจจริงๆ “เสด็จแม่อย่าโกรธ ลูกไม่รู้จริงๆ ท่านเองก็ทราบ ลูกเติบโตในชนบท ในด้านกวีหละหลวมจริงๆ ยิ่งไม่เข้าใจอักษรภาพวาดอะไร ลูกจะกลับไปหาให้ หากมีภาพผืนนี้จริงๆ ลูกจะส่งมาให้ท่าน อย่างไรเสียนี่ก็เกี่ยวข้องกับเรื่องมงคลสมรสของคุณชายสี่ ภาพนี้อยู่ในมือลูกก็ไม่มีประโยชน์ คิดเสียว่าเป็นของขวัญแสดงความกตัญญูของลูกต่อเสด็จแม่” เสิ่นเวยกล่าวอย่างจริงใจ

 

 

“ดีๆๆ ข้าบอกแล้วว่าเจ้าเป็นคนดี รอฉั่งเอ๋อร์แต่งงานแล้ว ข้าจะให้พวกเขาสองสามีภรรยาไปขอบคุณเจ้า” สายตาที่พระชายาจิ้นอ๋องมองเสิ่นเวยก็อ่อนโยนขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

เสิ่นเวยรีบโบกมือปฏิเสธ “ขอบคุณไม่ขอบคุณอะไร พวกเราต่างก็เป็นคนบ้านเดียวกัน เสด็จแม่พูดเช่นนี้ห่างเหินเกินไปแล้ว ลูกน่ะ หวังเพียงแค่เสด็จแม่จะไม่รังเกียจก็พอแล้ว”

 

 

ท่าทางรู้ประสานั้นทำให้พระชายาจิ้นอ๋องพอใจนางมากขึ้นสามส่วน