หญิงคนนี้พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่คำพูดของนางนั้นขวานผ่าซาก ทันทีหลังจากที่นางพูดจบ สามีของนางที่ดูค่อนข้างทำตัวไม่ถูกถึงกับต้องกระตุกนางอีกครั้ง
โม่เทียนเกอพอจะเดาได้คร่าวๆ ว่าผู้ฝึกตนชายคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ หญิงผู้นี้พูดจาโผงผางเกินไป ถ้าโม่เทียนเกอเป็นคนอารมณ์ร้อน นางคงจะรู้สึกไม่พอใจที่ได้ยินสิ่งที่นางเพิ่งพูดเป็นแน่
แต่โม่เทียนเกอขี้เกียจเกินกว่าจะมาโมโหกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ อีกอย่าง หญิงคนนี้ก็แค่พูดจาขวานผ่าซากเท่านั้นนางไม่ได้ดูถูกหรืออะไรสักหน่อย “สิ่งที่พี่ใหญ่พูดก็ถูก ขอให้ข้าได้คิดไตร่ตรองเสียก่อน”
รอยยิ้มกว้างเบ่งบานบนใบหน้าของหญิงคนนั้นหลังจากนางได้ยินคำตอบของโม่เทียนเกอ “ได้สิ! น้องสาว ใช้เวลาตามสบาย”
เมื่อเห็นว่านางไม่ได้ใช้ระดับการฝึกตนสูงของนางเพื่อระเบิดอารมณ์โกรธใส่พวกเขา ผู้ฝึกตนชายจึงถอนหายใจ พวกเขาสามีภรรยาอาจมีกันสองคน แต่ระดับการฝึกตนของพวกเขาไม่อาจเทียบกับของโม่เทียนเกอได้ ต่อให้ทั้งสองคนร่วมมือกัน โอกาสชนะผู้ฝึกตนที่อยู่จุดสูงสุดของขั้นกลางดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังก็แทบเป็นไปไม่ได้
ถึงอย่างนั้น ชาวเต๋าฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้น เพ่งมองไปยังเส้นขอบฟ้าและพูดว่า “สหายเยี่ยแห่งเต๋า ท่านควรจะตัดสินใจโดยเร็ว ยิ่งพวกเราชักช้า คนก็จะยิ่งเข้ามามากขึ้น”
มีร่องรอยแห่งความประหลาดใจในใจของโม่เทียนเกอ จิตสัมผัสของชาวเต๋าฟางเจิ้งคนนี้ทรงพลังมากอย่างไม่น่าเชื่อ! นางเองก็สามารถสัมผัสได้ว่าตอนนี้มีคนกำลังเข้าใกล้บริเวณนี้เช่นกัน
“ถ้าเป็นเช่นนั้น เราควรจะมุ่งหน้าออกไปได้แล้ว”
เมื่อได้ยินที่นางพูด ทั้งสามคนล้วนรู้สึกยินดี
ชาวเต๋าฟางเจิ้งมองสภาพรอบๆ แล้วจึงวางเกราะฉนวนกันเสียงด้วยความเร็วแสง “สหายเยี่ยแห่งเต๋า ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าท่านฝึกวิชาการฝึกตนแบบไหน” โม่เทียนเกอดูไม่พอใจกับคำถามของเขา ดังนั้นเขาจึงรีบพูดต่ออีกประโยค “อากาศพิษและลมพายุด้านล่างนั้นรุนแรงมาก เพราะงั้นจะดีที่สุดหากสหายเยี่ยแห่งเต๋ามีวิชาที่มีผลในการยับยั้ง”
โม่เทียนเกอคิดนิดหน่อยก่อนจะตอบว่า “ถึงแม้ข้าจะไม่มีวิชาประเภทนั้น แต่ข้าก็มีอาวุธเวทซึ่งอาจจะพอต้านทานลมพายุได้”
คำตอบของนางทำให้ทั้งสามคนยิ้มกว้างด้วยความดีใจ ชาวเต๋าฟางเจิ้งปรบมือ “ถ้างั้นก็ดีเลย! สำหรับสารพิษ ข้ามียาถอนพิษที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม หลังจากเรากินเข้าไป เราแค่ต้องปิดผนึกพลังวิญญาณของเราและใช้ทักษะตัวเบา สหายเยี่ยแห่งเต๋า อาวุธเวทของท่านสามารถปกป้องเราทั้งสี่คนจากการถูกลมพายุโจมตีได้หรือไม่?”
“คือ… เราก็ต้องลองถึงจะรู้น่ะ”
เมื่อพวกเขาหารือแผนการกันคร่าวๆ เสร็จเรียบร้อย ทั้งสี่คนคว้าเครื่องมือเวทบินได้ของพวกเขาออกมาแล้วจึงกระโดดเข้าไปสู่หุบเขา ภายใต้สายตาจ้องมองอย่างอิจฉาของผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังวิญญาณที่อยู่ตรงนั้น
โม่เทียนเกอเอากระบี่บินได้ธรรมดาออกมา เหตุผลแรกสำหรับเรื่องนี้ก็เพราะผ้าเช็ดหน้าไหมขาวจะต้องใช้ในการเดินทางเพื่อต้านทานลมพายุ เหตุผลที่สองเป็นเพราะนางต้องการจะปิดบังความร่ำรวยของนางไว้ ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวเป็นอาวุธเวท มันคงจะเตะตามากพอดูเมื่อนางเอาออกมา แต่ถ้าคนอื่นๆ เห็นว่ามันทำได้หลายอย่าง นางอาจจะทำให้คนอื่นโลภและอยากได้ขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จากการหารือกันสั้นๆ เมื่อครู่นี้ โม่เทียนเกอได้รู้ว่าชื่อของสามีคือเหยาจื่อซิวและชื่อของผู้หญิงคือซางหรูหว่าน พวกเขาเกิดในตระกูลผู้ฝึกตนและโตมาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่พวกเขายังเด็ก ในภายหลัง ตระกูลของพวกเขาตกต่ำลงและพวกเขาจึงกลายเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยว ที่จริงแล้วทั้งสองคนถือว่าโชคดีมาก พวกเขาบังเอิญช่วยชีวิตผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ที่บาดเจ็บสาหัสคนหนึ่งไว้ได้ ซึ่งเขาก็รู้สึกขอบคุณที่พวกเขามีบุญคุณช่วยชีวิตเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงมอบยาสร้างฐานแห่งพลังมากมายให้เป็นการตอบแทน และด้วยยาสร้างฐานแห่งพลังเหล่านี้ ทั้งสองคนจึงก้าวเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังด้วยกันได้สำเร็จอย่างน่าประหลาดใจ
แต่เดิมด้วยตัวตนในฐานะผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลัง มันคงไม่ยากสำหรับพวกเขาในการหากลุ่มการฝึกตน อย่างไรก็ตาม พวกเขาเคยชินกับการร่อนเร่อยู่บนโลกจึงไม่ชอบถูกผูกมัด อีกอย่างต้นทุนของพวกเขาก็ไม่ได้ดีเยี่ยม ต่อให้พวกเขาเข้าร่วมกลุ่มการฝึกตน โอกาสในการเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังก็ยังน้อยมากอยู่ดี ดังนั้นมันคงจะดีสำหรับพวกเขามากกว่าที่จะเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยว แบบนั้นพวกเขาก็จะมีความสุขมากกว่า
เมื่อเห็นว่าซางหรูหว่านทั้งซื่อสัตย์และตรงไปตรงมากับคำพูดของนาง และจิตใจของนางก็เป็นอิสระมากกว่าพวกศิษย์หัวกะทิจากกลุ่มการฝึกตน การรับรู้ที่โม่เทียนเกอมีต่อนางจึงดีขึ้นเล็กน้อย สามีของนาง เหยาจื่อซิวค่อนข้างจะเงียบกว่า เขายังมีไหวพริบดีมากกว่านางซึ่งทำให้พวกเขาเติมเต็มซึ่งกันและกันได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งสองคนมีชีวิตแต่งงานที่เข้ากันได้ดีและดูรักกันอย่างสุดซึ้ง
ส่วนชาวเต๋าฟางเจิ้ง เขาก็เป็นผู้ฝึกตนเดี่ยวเช่นกัน เขาค่อนข้างแก่และมีประสบการณ์มาก ถึงอย่างนั้นโม่เทียนเกอก็ยังไม่เห็นธาตุแท้ของเขา
ทั้งสามคนเดาว่าโม่เทียนเกอเป็นศิษย์จากกลุ่มการฝึกตน โม่เทียนเกอไม่ได้ปฏิเสธและแค่เลี่ยงประเด็นนั้น นางแค่บอกว่านางผ่านมาแถวนี้และบังเอิญเจอกับพลังทางจิตวิญญาณผันผวน ดังนั้นนางจึงมาเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
ขณะที่เหาะลงหุบเขา พวกเขาเห็นว่าหุบเขานั้นปกคลุมไปด้วยหมอกทั้งหมดซึ่งทำให้หุบเขานั้นดูลึกจนไร้ขอบเขต พวกเขายังคงเหาะลงไปเรื่อยๆ สักพักและในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงรอบนอกของบริเวณที่เต็มไปด้วยสารพิษ
ชาวเต๋าฟางเจิ้งหยิบยาถอนพิษออกมาและให้ยากับอีกสามคน โม่เทียนเกอรับยามาแต่แทนที่จะกิน นางแอบสลับมันกับยาวิเศษของนางเอง ชาวเต๋าฟางเจิ้งดูไม่น่าสงสัยเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เป็นคนที่นางเพิ่งพบเจอ ดังนั้นนางคิดว่านางควรจะระวังตัวเอาไว้หน่อย
ไม่นานหลังจากนั้น โม่เทียนเกอเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวออกมาพร้อมเสกคาถา ในชั่วพริบตา ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวเปลี่ยนเป็นก้อนอิฐซึ่งตกลงรอบตัวและล้อมรอบพวกเขาไว้โดยสิ้นเชิง โอบอุ้มทั้งสี่คนอยู่ภายในราวกับว่ามันคือบ้าน
นี่คือผลของห้าปีแห่งการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิของนาง ตอนแรกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวนี้สามารถทำได้แค่เปลี่ยนเป็นกำแพงอิฐที่ปกคลุมแค่ด้านเดียว อย่างไรก็ตาม หลังจากนางแกร่งขึ้น จำนวนด้านที่มันสามารถปกคลุมได้ก็เพิ่มขึ้นและพลังป้องกันของมันก็เพิ่มขึ้นด้วย
ภายใต้การคุ้มครองของผ้าเช็ดหน้าไหมขาว ทั้งสี่คนเหาะลงอย่างระมัดระวัง
อากาศพิษไม่ได้หนาแน่นนัก แต่ขณะที่พวกเขายังคงเหาะอยู่ พวกเขาได้ยินเสียงของลมพัดตีอย่างรุนแรงอยู่ภายนอกผ้าเช็ดหน้า เสียงยิ่งเสียดแทงมากขึ้นเรื่อยๆ มากเสียจนมันฟังดูเหมือนอะไรบางอย่างกำลังแยกออกจากกันขณะที่มันกระแทกเข้ากับกำแพงอิฐโดยตรง
โม่เทียนเกอย่นคิ้วเล็กน้อย เป็นไปตามที่พวกเขาคาด ลมพายุนั้นรุนแรง ถ้าผ้าเช็ดหน้าไหมขาวไม่ได้ถูกปลุกเสกมาโดยเทพผู้ฝึกตนและเป็นเพียงอาวุธเวทธรรมดา บางทีพวกเขาอาจจะไม่สามารถผ่านลมพายุมาก็เป็นได้
พอเห็นว่าใบหน้าของโม่เทียนเกอค่อนข้างซีดขึ้น ความกังวลก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซางหรูหว่าน นางถามอย่างอ่อนโยน “น้องเยี่ย เจ้าไปต่อไหวไหม”
ด้วยใบหน้าซีดเซียว โม่เทียนเกอตอบ “ข้าไม่มีพลังทางจิตวิญญาณมากพอ เจ้ากับสามีของเจ้าช่วยข้าหน่อยได้ไหม”
ซางหรูหว่านและเหยาจื่อซิวเหลือบมองหน้ากัน จากนั้นทั้งคู่จึงทำท่ามุทราขึ้นพร้อมกัน เหยาจื่อซิวถ่ายทอดพลังทางจิตวิญญาณให้ซางหรูหว่านและซางหรูหว่านส่งพลังต่อมายังโม่เทียนเกอ
ชาวเต๋าฟางเจิ้งกำลังจดจ่ออยู่กับการเฝ้าระวังเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
ลมพายุยิ่งรุนแรงดุดันมากขึ้น ทั้งสามคนค่อยๆ ใช้พลังทางจิตวิญญาณของตัวเองไปจนหมดและต้องเริ่มทานยาวิเศษกันแล้ว
ขณะที่ชาวเต๋าฟางเจิ้งให้ยาวิเศษกับพวกเขาเพื่อช่วยพวกเขาจากสารพิษและโม่เทียนเกอใช้อาวุธเวทของนางเพื่อปกป้องพวกเขาจากลมพายุ คู่รักเหยาไม่ได้ให้การช่วยเหลืออะไร เพราะเหตุนั้นทั้งสองคนจึงไม่กล้าบ่น พวกเขาแค่ทานยาบำรุงครอบจักรวาลอยู่เงียบๆ และถ่ายทอดพลังทางจิตวิญญาณทั้งหมดให้โม่เทียนเกอต่อไป
เมื่อเวลาผ่านไป สุดท้ายยาบำรุงครอบจักรวาลของคู่รักเหยาก็หมดสิ้น หลังจากควานหาในกระเป๋าเอกภพของเขาเพื่อหายาเพิ่ม เหยาจื่อซิวกระซิบกับซางหรูหว่าน “น้องหว่าน เจ้ามียาครอบจักรวาลอีกไหม”
ซางหรูหว่านที่ใบหน้าค่อยๆ ซีดเผือดส่ายหน้า “นี่ขวดสุดท้ายแล้ว” พวกเขาเป็นแค่ผู้ฝึกตนเดี่ยวธรรมดาจึงไม่ได้มีทรัพย์สินมากมายอะไร
โม่เทียนเกอกลืนยาครอบจักรวาลแล้วจึงพูดว่า “ชาวเต๋าฟางเจิ้ง เจ้ามาแทนที่พวกเขาได้ไหม”
ตอนนี้ทั้งสี่คนลงเรือลำเดียวกันแล้ว ดังนั้นชาวเต๋าฟางเจิ้งจึงไม่คัดค้านอย่างแน่นอน เขาพยักหน้าและพูดว่า “น้องเหยา เจ้ากับภรรยาเจ้าควรพักก่อนเถิด ข้ายังพอมียาครอบจักรวาลอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นคงไม่เป็นปัญหาที่ข้าจะทำแทนพวกเจ้าสักพัก”
คู่รักเหยาใช้ยาวิเศษของตัวเองไปจนหมดสิ้น ดังนั้นพวกเขาจึงตอบตกลงกับข้อเสนอของเขาเป็นธรรมดา เหยาจื่อซิวพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น เราจะไม่เกรงใจล่ะ”
ชาวเต๋าฟางเจิ้งประกบมือแล้วจึงเคลื่อนพลังทางจิตวิญญาณของเขาส่งไปให้โม่เทียนเกอผ่านทางหลังของนาง เหยาจื่อซิวและซางหรูหว่านไม่มีอะไรทำในตอนนี้ ทั้งคู่จึงใช้เวลานี้เพื่อหลับตาพักผ่อน
ขณะนั้นเอง เสียงเหมือนเสียงสะอื้นดังขึ้นด้านนอก ทันใดนั้นลมพายุมากมายโจมตีเข้าหาพวกเขาและฟาดอย่างหนักบนกำแพงอิฐรอบตัวพวกเขาทีละด้าน แค่ในช่วงเวลาสั้นๆ โม่เทียนเกอเสียการควบคุมกำแพงอิฐทำให้ทั้งสี่คนถูกเหวี่ยงไปมา
ซางหรูหว่านตะโกน “พี่ซิว!”
เหยาจื่อซิวกระโดดไปหานางทันที พวกเขาจับมือกันแน่นและพยายามจะทรงตัวให้มั่น
ระดับการฝึกตนของโม่เทียนเกอและของฟางเจิ้งสูงกว่าพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถปรับตัวได้เร็วกว่าคู่นั้น ชั่วขณะที่นางรู้ตัวว่าอาวุธเวทของนางสูญเสียการควบคุม โม่เทียนเกอกัดปลายลิ้นของนางทันทีถุยเลือดสดเต็มปากออกมาและพยายามฝืนกลับมาควบคุมอาวุธเวทของนางให้ได้ ชาวเต๋าฟางเจิ้งก็เคลื่อนพลังทางจิตวิญญาณของเขาทันทีและส่งพลังเข้าร่างโม่เทียนเกอ
หลังจากระแสลมพายุทะลักทลายผ่านไปและทั้งสี่คนกลับมาทรงตัวได้อีกครั้ง โม่เทียนเกอพูดว่า “สถานการณ์ของเราไม่ค่อยดี ถ้าลมพายุแรงกว่านี้อีกหน่อย อาวุธเวทของข้าต้องไม่สามารถทัดทานได้แน่”
สิ่งที่นางพูดทำให้อีกสามคนขมวดคิ้ว พวกเขาเคยเผชิญกับลมพายุด้วยตัวเองมาก่อนแล้วพวกเขาจึงรู้ว่ามันเลวร้ายแค่ไหน ตอนนี้คู่รักเหยาใช้ยาครอบจักรวาลของพวกเขาไปจนหมดและกำลังขาดแคลนพลังทางจิตวิญญาณ ถ้าพวกเขายังคงไปต่อ แม้แต่การปกป้องตัวพวกเขาเองก็คงจะยากแน่ สำหรับชาวเต๋าฟางเจิ้ง เขาอาจมีแรงเหลืออยู่บ้าง แต่หากโม่เทียนเกอไม่สามารถทนต่อได้และพวกเขาสูญเสียการป้องกันจากผ้าเช็ดหน้าไหมขาว เขาเองก็คงไม่สามารถทำอะไรเพื่อให้รอดชีวิตจากลมพายุพวกนั้นได้เช่นกัน
ขณะที่พวกเขายังลังเล ลมพายุอีกระลอกได้พัดเข้ามาใหม่ ครั้งนี้โม่เทียนเกอเตรียมตัวไว้อยู่แล้ว นางใช้จิตสัมผัสของนางโดยตรงเพื่อควบคุมผ้าเช็ดหน้าไหมขาวให้มั่นคง ถึงอย่างนั้นลมพายุระลอกนี้ก็ยิ่งรุนแรงยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก ไม่ว่าจิตสัมผัสของโม่เทียนเกอจะทรงพลังแค่ไหน นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงคำว่า “ใจยังสู้แต่ร่างกายทนไม่ไหว” นางรีบตัดสินใจทันทีและตะโกน “ไม่ได้การแล้ว! เราต้องกลับไป!”
ชาวเต๋าฟางเจิ้งแสดงให้เห็นสีหน้าขัดแย้ง “งั้น… เราก็น่าจะถึงก้นหุบเขาเร็วๆ นี้ใช่ไหม”
โม่เทียนเกอขึ้นเสียง “ถ้ามีอีกระลอกเข้ามา ข้ารับไม่ไหวแน่! สหายแห่งเต๋าฟางเจิ้ง เจ้ารับประกันได้หรือว่าเจ้าสามารถไปต่อได้”
คำพูดของนางทำให้ชาวเต๋าฟางเจิ้งเงียบ ระดับการฝึกตนของเขาต่ำกว่าโม่เทียนเกอเล็กน้อย ถ้าแม้แต่โม่เทียนเกอยังไม่สามารถไปต่อได้ เขาก็ไม่น่าจะทำได้แน่นอน
การจู่โจมของลมพายุอีกชุดหนึ่งพัดเข้ามา ใบหน้าของซางหรูหว่านซีดเผือดและ “อุก” นางกระอักเลือดออกมา
เหยาจื่อซิวตกใจกลัว “น้องหว่าน!”