ตอนที่ 156-2 เข้าสู่หุบเขา

ลำนำสตรียอดเซียน

โม่เทียนเกอไม่ได้พูดอะไรและควบคุมกระบี่บินของนางไปอีกทางทันที ถ้านางยังไปต่อเช่นนี้ ความประมาทแค่นิดเดียวอาจทำให้นางต้องเสียชีวิตที่นั่นก็เป็นได้ นางไม่ใช่ผู้ฝึกตนเดี่ยว นางเข้าโรงเรียนและมีท่านอาจารย์ ทักษะของนางโดดเด่นและนางก็ไม่ได้ขาดแคลนยาวิเศษ ต่อให้นางไม่ได้ครอบครองสมบัติพิเศษชิ้นนี้ ซึ่งการมีอยู่ของมันยังคงน่าสงสัย นางก็ยังมีโอกาสที่จะบรรลุเต๋าอันยิ่งใหญ่ได้อยู่ดี การต้องตายไปกับสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่จริงหมายความว่านางสูญเสียมากกว่าที่นางได้รับ!

 

 

เมื่อเห็นนางเปลี่ยนทิศทาง ฟางเจิ้งร้องเรียก “สหายเยี่ยแห่งเต๋า!” เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ยอมล้มเลิก

 

 

โม่เทียนเกอพูดอย่างเย็นชา “เราจะตายอยู่ที่นี่กันหมดถ้าเราไม่กลับไป! ไม่ว่าสมบัติจะดีสักแค่ไหน แต่เราก็ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อดื่มด่ำกับมันสิ”

 

 

ใบหน้าของชาวเต๋าฟางเจิ้งแดงก่ำ แต่ท้ายที่สุดเขาก็นิ่งเงียบ ไม่เหมือนกับคนพวกนี้ เขาไม่มีเวลาในช่วงอายุขัยเหลืออยู่อีกมากนัก ดังนั้นเขาจึงอยากได้รับโอกาสดีๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาทำให้สาวน้อยคนนี้ขุ่นเคืองใจตอนนี้ เขาจะต้องเสียการคุ้มครองจากอาวุธเวทของนางและจะต้องตายอยู่ที่นี่!

 

 

เขาเพ่งมองที่ก้นหุบเขาซึ่งสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าแล้ว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ

 

 

เหยาจื่อซิวก็ไม่เต็มใจพอๆ กับเขา ซางหรูหว่านที่ยืนอยู่ข้างเขาพูดอย่างแผ่วเบา “พี่ซิว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่เราทั้งสองคนปลอดภัย”

 

 

เหยาจื่อซิวนิ่งเงียบเป็นเวลานานก่อนที่เขาจะส่งเสียง “อืม” เบาๆ

 

 

พวกเขาเหาะขึ้นด้วยความเงียบสงัด ในที่สุดลมพายุก็อ่อนกำลังลง ทำให้ทั้งสี่คนค่อยคลายความตึงเครียดที่พวกเขารู้สึกเมื่อก่อนหน้านี้

 

 

อย่างไรก็ตาม จู่ๆ ก็มีเสียงดังกระหึ่ม คู่รักเหยาเงยหน้าขึ้นมองแต่ทันใดนั้นพวกเขาก็ตัวซีดไปด้วยความหวาดกลัว “สหายแห่งเต๋า!”

 

 

โม่เทียนเกอมองขึ้นไปตามสายตาของพวกเขา ดวงตาของนางเบิกโพลงทันที

 

 

ส่วนหนึ่งของภูเขาระเบิดออกเพราะลมพายุและกำลังตกลงมาทางพวกเขา!

 

 

“น้องเหยา! สกัดมันไว้ เร็ว!” ชาวเต๋าฟางเจิ้งตะโกน

 

 

ในที่สุดคู่รักเหยาก็ตอบสนอง พวกเขารีบประกบมือกันและทำท่ามุทรา ในไม่ช้าเกราะป้องกันก็ปรากฏขึ้นเหนือหัวทุกคน

 

 

กำแพงอิฐของผ้าเช็ดหน้าไหมขาวเพียงแค่ปกคลุมสี่ด้าน ไม่สามารถบังหินที่ตกมาจากด้านบนได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหวังพึ่งเกราะป้องกันอันนี้

 

 

ใจของโม่เทียนเกอหล่นวูบ ไม่มีเวลามาคิดถึงอะไรอื่นอีก นางคลำหายาวิเศษในกระเป๋าเอกภพซึ่งนางเอาเข้าปากทันที ในวินาทีถัดมา นางรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่สะท้านไปทั่วทั้งร่างของนาง หินเหล่านั้นกำลังตกลงมาใส่พวกเขาแล้ว!

 

 

เมื่อระลอกแรกของหินตกลงมา คู่รักเหยาสามารถจะสกัดกั้นพวกมันไว้ได้ด้วยความพยายามอย่างมาก เมื่อเผชิญกับระลอกที่สอง เกราะป้องกันสั่นสะท้านและแสงบนพื้นผิวของมันริบหรี่ลง เมื่อระลอกที่สามเข้ามา เกราะป้องกันก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในที่สุด

 

 

ทันใดนั้นโม่เทียนเกอเสียการควบคุมกำแพงอิฐอย่างกะทันหัน นางรีบประกบมือทันทีทำให้กำแพงทั้งสี่ด้านเปลี่ยนร่างกลับไปเป็นผ้าเช็ดหน้าไหมขาว จากนั้นนางทำท่ามุทราด้วยความพยายามจะหนีเข้าไปในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางแต่โชคร้ายที่นางไม่สามารถทนได้ ในชั่วพริบตา นางถูกดูดเข้าไปในลมพายุบ้าระห่ำ…

 

 

 

 

ไม่ชัดเจนนักว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดก่อนที่โม่เทียนเกอจะค่อยๆ ฟื้นคืนสติอีกครั้ง

 

 

เจ็บ… ทั่วทั้งร่างของนางปวดไปหมด…

 

 

หลังจากที่นางหลับตาและปล่อยให้พลังทางจิตวิญญาณไหลไปตามทุกตารางนิ้วของเส้นลมปราณแล้วเท่านั้นที่ความเจ็บปวดในร่างกายนางค่อยๆ ลดลงเล็กน้อย

 

 

หลังจากผ่านไปนาน สุดท้ายนางก็พอจะมีแรงกลับมาบ้างและค่อยๆ พยุงตัวขึ้นในท่านั่งอย่างช้าๆ

 

 

นางหันไปเพื่อตรวจดูสภาพรอบตัว ภาพที่อยู่ตรงหน้านางทำให้นางรู้สึกประหลาดใจ

 

 

ภายใต้ดวงอาทิตย์ส่องสว่างสดใส มีหญ้าเขียวชอุ่มอยู่ทุกที่ สายลมเย็นพัดอย่างอ่อนโยนและกระแสน้ำในลำธารทำให้เกิดเสียงคลื่นกระทบ นี่เป็นภาพทิวทัศน์ที่สวยงามราวกับแดนสววรค์

 

 

นางเริ่มคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่นางจะหมดสติ

 

 

นางพบกับพลังทางจิตวิญญาณผันผวน ตามหาแหล่งที่มาของมัน เข้าไปในหุบเขากับคู่รักเหยาและชาวเต๋าฟางเจิ้ง เผชิญกับกระแสลมพายุโหม… สุดท้ายนางต้องการเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนแต่นางไม่สามารถทำได้ทันเวลา นางถูกดูดเข้าไปในพายุและหมดสติไป

 

 

นางสำรวจร่างกายเพื่อตรวจสภาพและพบว่านางไม่มีบาดแผลใดๆ ทั้งตานเถียนและเส้นลมปราณของนางแข็งแกร่งมาก มันจึงไม่ได้รับความเสียหายอะไร สาเหตุที่นางไม่ได้รับบาดเจ็บภายนอกก็เป็นเพราะนางใส่เสื้อเกราะไหมเมฆาโลกาสวรรค์อยู่ เครื่องมือเวทชิ้นนี้คือสิ่งที่ฉินซีโขมยมาจากโถงกุยหยวนของสำนักอวิ๋นอู้และมอบให้นางพร้อมกับไม้หลบลี้หนีหล้าเมื่อพวกเขาออกจากเขาอวิ๋นอู้ ไม้หลบลี้หนีหน้าเคยช่วยชีวิตนางมาแล้วครั้งหนึ่ง และตอนนี้เสื้อเกราะไหมเมฆาโลกาสวรรค์ตัวนี้ก็ยังช่วยชีวิตนางไว้อีก…

 

 

โม่เทียนเกอสะกดกลั้นความรู้สึกว้าวุ่นเหล่านั้นไว้แล้วจึงยืนขึ้นจากพื้น

 

 

ที่จริงแล้วนี่คือหุบเขา แต่มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากหุบเขาเดิมที่ปกคลุมไปด้วยหมอกและเต็มไปด้วยอากาศพิษกับลมพายุบ้าคลั่ง นี่มันสถานที่แบบไหนกัน นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

 

 

หลังจากเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวมาและขึ้นไปบนผ้า นางบินล่องลอยอยู่กลางอากาศ จากกลางอากาศ นางเห็นได้ว่านี่คือหุบเขารูปตัวที มีกำแพงหินสูงชันอยู่โดยรอบ นอกจากบินขึ้นไปนางก็ไม่เห็นทางออกทางอื่นอีก ฉะนั้นโม่เทียนเกอจึงบินขึ้นไปใกล้กับกำแพงหินอย่างระมัดระวัง

 

 

นางไม่รู้ว่าตอนนี้คู่รักเหยาและชาวเต๋าฟางเจิ้งเป็นอย่างไร คู่รักเหยาอยู่ด้วยกันและชาวเต๋าฟางเจิ้งก็มีประสบการณ์มาก คาดว่าพวกเขาคงมีวิธีการปกป้องตัวเองอยู่บ้างล่ะ ที่นี่สวยจนแทบหยุดหายใจ พืชพันธุ์ต่างๆ เชียวขจีและมีสัตว์ตัวน้อยไร้พิษสงผ่านไปมาเป็นครั้งคราว มันไม่น่าจะมีอะไรอันตรายที่นี่ จริงไหม

 

 

ขณะที่สายตาของโม่เทียนเกอกวาดมองไปรอบบริเวณข้างใต้นาง จู่ๆ นางก็พบเข้ากับของสีดำ นางหน้านิ่วคิ้วขมวดและเหาะลงไปทางนั้น

 

 

สิ่งนั้น… ดูเหมือนกับกองก้อนหิน ขณะที่นางเข้าไปใกล้ขึ้น นางก็เห็นมันได้ชัดเจนขึ้น มันดูเหมือนจะเป็น… รูปปั้นหิน!

 

 

โม่เทียนเกอรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันทีและเหาะลงไปต่อ การมีอยู่ของรูปปั้นหินบ่งบอกว่าที่นี่มีมนุษย์อยู่ ในเมื่อที่นี่มีมนุษย์อยู่ นางก็จะสามารถถามพวกเขาเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ได้และถามว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่

 

 

เมื่อนางร่อนลงที่พื้น นางจ้องมองที่รูปปั้น

 

 

รูปปั้นนั้นสูงหลายร้อยฟุต จากหน้าตาและท่าทาง มันดูเหมือนจะเป็นรูปปั้นผู้หญิง ผมของนางเกล้าขึ้นเป็นมวยสูงและมีปิ่นปักผมนกฟีนิกซ์ปักอยู่ เครื่องแต่งกายของนางค่อนข้างแปลก ส่วนบนของชุดนั้นสั้น มันห่อหุ้มร่างกายท่อนบนอย่างแน่นหนาแต่ปล่อยไหล่เปลือยเปล่า ส่วนล่างของชุดที่จริงเป็นกระโปรงยาว ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่รูปปั้น แต่มันก็ให้ความรู้สึกที่สดชื่นและสง่างาม

 

 

เสื้อผ้าพวกนี้… ดูเหมือนจะเป็นชุดจากหลายพันปีก่อน! ผู้หญิงเมื่อหลายพันปีก่อนไม่เหมือนกับผู้หญิงสมัยปัจจุบันที่ต้องปกปิดตัวเองให้มิดชิด พวกนางเปิดไหล่เพื่อให้ดูสวย พวกนางชอบใส่กระโปรงยาวที่พริ้วไหวและทำให้พวกนางดูเหมือนเทพธิดา เหมือนกับนางอัปสรโบยบินในภาพวาด

 

 

โม่เทียนเกอพินิจดูรูปปั้นหินนี้อย่างตั้งใจ มีตะไคร่ขึ้นทั่วทั้งรูปปั้น ดูเหมือนมันถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานานแล้ว นางรู้สึกค่อนข้างผิดหวัง ดูเหมือนว่าคนจากหุบเขานี้น่าจะย้ายถิ่นฐานไปแล้ว

 

 

ภายใต้รูปปั้นหินมีแท่นยกสูงที่ทำจากหินซึ่งดูเหมือนจะเป็นแท่นบูชา แต่มีวัชพืชกำลังโตอยู่ในกระถางธูป

 

 

โม่เทียนเกอขมวดคิ้วทันทีและวางมือลงบนกระถางธูปที่อยู่บนแท่นบูชาหิน นางผลักมันเบาๆ และทันใดนั้นพลังทางจิตวิญญาณจางๆ ก็แผ่กระจายออกมา