ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 47 ก่อให้เกิดคลื่นลม (1)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“แน่นอนว่าไหว”

บนใบหน้าของถังซานสือลิ่วไม่เห็นความรู้สึกล้มเหลวเลยแม้แต่น้อย แล้วพูดขึ้น “เจ้าได้สังเกตหรือไม่ ถึงแม้ตั้งแต่ต้นจนจบจะไม่มีคนเข้ามา แต่คนที่มาดูพวกเรายิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”

เซวียนหยวนผ้อถูกอากาศร้อนจนรู้สึกลำบากอย่างมาก จึงพ่นลมหายใจแล้วพูดขึ้น “คนทั่วทั้งจิงตูล้วนมาหัวเราะเยาะพวกเรา ยังจะมีอะไรดีอีก”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เฉินฉางเซิงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา

“ช่างเป็นเจ้าหมีโง่จริงๆ” ถังซานสือลิ่วพูดกับเฉินฉางเซิง “เจ้าลองมองฝูงคนให้ละเอียด มีคนจำนวนมากที่มาดูเรื่องสนุกดูอายุน้อยกว่าก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่ ดวงตาก็ยิ่งดูมีพลัง”

เฉินฉางเซิงมองไปทางฝูงคน และพบว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ ในบรรดาคนที่มาชมเรื่องสนุกที่สำนักฝึกหลวงในวันนี้ โดยมากล้วนเป็นคนหนุ่มสาว

“พวกเขาไม่ได้มาชมเรื่องสนุก…” ถังซานสือลิ่วขยิบตาให้เซวียนหยวนผ้อแล้วพูดขึ้น “และก็ไม่ได้มาหัวเราะเยาะ แต่ว่ามาดูพวกเรา”

เฉินฉางเซิงถามขึ้นอย่างตะลึง “หรือเจ้าจะหมายความว่า พวกเขากำลังครุ่นคิดว่าจะสมัครดีหรือไม่อยู่จริงๆ”

“ถูกแล้ว” ถังซานสือลิ่วมองไปยังโรงน้ำชาที่อยู่ไม่ไกลออกไปแห่งนั้น และมองไปยังเหล่ายอดฝีมือของตระกูลเทียนไห่ที่อยู่นอกฝูงคนเหล่านั้นซึ่งใบหน้ามีความเหยียดหยามอยู่ พลางพูดขึ้น “ทุกคนล้วนลืมเรื่องสำคัญไปเรื่องหนึ่ง การสอบเตรียมของการสอบใหญ่ในปีหน้าใกล้เข้ามาแล้ว ที่ตามมาก็คืองานชุมนุมไม้เลื้อย จิงตูในตอนนี้ที่มีมากที่สุดก็คือนักเรียนที่อายุน้อย ชำระกระดูกสำเร็จหรือ ขั้นถอดจิตก็ยังไม่มากเกินไป!”

หลังจากที่เฉินฉางเซิงนึกถึงเมื่อปีก่อนที่ตนกับลั่วลั่วไปสอบเตรียมการสอบใหญ่ ก็มองไปยังนักเรียนวัยเยาว์เหล่านั้นที่อยู่บนถนน ถึงได้เข้าใจว่าทำไมตั้งแต่ต้นจนจบถังซานสือลิ่วถึงได้รักษาความมั่นใจเอาไว้ได้

นักเรียนหนุ่มสาวเหล่านั้นล้วนมาจากเมืองต่างๆ จนถึงแดนใต้ ไม่เหมือนกับนักเรียนของหกสำนักไม้เลื้อยที่มีสำนักเป็นภูมิหลัง ดังนั้นระดับทั้งหมดก็จะแย่ลงไปขั้นหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าพรสวรรค์ของพวกเขาจะต้องย่ำแย่อย่างมาก ความจริงแล้ว การสอบเตรียมของการสอบใหญ่ในทุกปีกับหลังงานชุมนุมไม้เลื้อย ล้วนมีนักเรียนจำนวนมากที่มาจากเมืองต่างๆ ถูกหกสำนักไม้เลื้อยรับเอาไว้ และนักเรียนหนุ่มสาวเหล้านี้ แน่นอนก็หวังว่าจะสามารถเข้าหกสำนักไม้เลื้อยได้ และได้เรียนวิชาการบำเพ็ญเพียรที่สูงส่งลึกล้ำอย่างแท้จริง ติดตามอาจารย์ที่มีชื่อ ได้รับภูมิหลังของสำนักที่แข็งแกร่ง

สำนักฝึกหลวง ก็เป็นหนึ่งในหกสำนักไม้เลื้อย สำหรับนักเรียนจากเมืองภายนอกเหล่านี้ คิดว่าจะต้องมีแรงดึงดูดอย่างมากเป็นแน่

“แต่ว่า…ทำไมพวกเขาถึงไม่ยอมเข้ามาสมัครกัน กระทั่งแม้แต่จะถามสักคำก็ยังไม่มี”

เฉินฉางเซิงมองเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่อยู่ในฝูงคน ซึ่งมีใบหน้าเยาว์วัย และค่อนข้างจะเป็นกังวล จึงถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ

“ขอร้องเถอะ วันนี้…ไม่ ฤดูร้อนในปีนี้ สำนักฝึกหลวงนั้นเป็นจุดสนใจของทั่วทั้งจิงตู เด็กบ้านนอกที่น่าสงสารพวกนี้ ไหนเลยจะกล้าโผล่หัวออกมา จะต้องมีคนช่วยผลักดันสักหน่อย”

“อืม…เมื่อปีก่อนตอนที่ข้ามาที่จิงตู ก็เป็นเด็กหนุ่มบ้านนอกผู้หนึ่ง”

“เรื่องแรกที่เจ้าทำเมื่อเข้ามาที่จิงตูก็คือการไปถอนหมั้นที่จวนขุนพลเทพตงอวี้ หรือเจ้าคิดว่าคนอื่นล้วนหน้าหนาเหมือนกับเจ้า แล้วก็กล้าหาญขนาดนั้น”

ก็เป็นในตอนนี้เอง ถังซานสือลิ่วสังเกตเห็นว่าสายตาของพวกคนหนุ่มที่อยู่ในฝูงคนเหล่านั้นค่อยๆ เป็นกังวลและดิ้นรนขึ้นมา ในใจก็ยิ่งมีความมั่นใจ จึงพูดขึ้นเสียงเบา “ช่วงคับขันมาถึงแล้ว”

ร่มที่ใช้บังแดดไม่ใหญ่พอ จานฝนหมึกที่อยู่ตรงหน้าโต๊ะถูกแดดเผาจนร้อนระอุ ตอนที่เซวียนหยวนผ้อเคลื่อนย้าย นิ้วมือก็ถูกลวกจนบวมแดงและเจ็บปวดอยู่บ้าง เมื่อได้ยินคำพูดของถังซานสือลิ่ว ก็คิดว่าเขากำลังเยาะเย้ยตน ไม่แน่ว่าหลังจากนี้อาจจะพูดล้อเลียนอย่างพวกเท้าหมีน้ำแดงอะไรขึ้นมา ในตอนที่กำลังจะเตรียมชูหมัดขึ้นมาพูดกับเขา กลับถูกทำให้ตกใจไปเลย

เสียงตุ้บดังขึ้น ถังซานสือลิ่วได้กระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนโต๊ะ

มีสายลมพัดขึ้น ร่มที่ใช้บังแดดถูกแหวกออก

ฝูงคนพลันเงียบลงอย่างกะทันหัน ไม่มีคนวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาอีก และพากันมองดูที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวง มองดูถังซานสือลิ่วที่ยืนอยู่บนโต๊ะ ในใจคิดว่านี่จะทำอะไรอีก

ในตอนนี้แสงอาทิตย์ตกกระทบอยู่บนร่างของเขา ชุดปักดิ้นทองราคาแพงตัวนั้นของเขาโบกสะบัดไปตามลม กระบี่เวิ่นสุ่ยตรงช่วงเอวส่องประกายระยิบระยับ ที่ส่องประกายยิ่งกว่าก็คือพวกป้ายหยกที่ผูกอยู่บนชุดของเขาเหล่านั้น และยังมีกำไลทองที่อยู่ที่ข้อมือของเขา

เฉินฉางเซิงหันมองไป เขารู้สึกเพียงแค่ว่าตาของตนใกล้จะบอดอยู่แล้ว ตอนนี้เขาถึงได้เข้าใจว่าทำไมตอนเช้าเขาถึงต้องแต่งตัวออกมาเช่นนี้ และก็เพิ่งเข้าใจว่าที่เรียกว่าป้ายสัญลักษณ์หมายความว่าอย่างไร

“ข้าว่า ทุกคนล้วนเป็นคนหนุ่ม จำเป็นที่จะต้องเหนียมอายขนาดนี้เลยหรือ อยากมาก็รีบมาสิ! เวลาไม่รอคอยใครนะ! ผองเพื่อนทั้งหลาย!”

ถังซานสือลิ่วยืนอยู่บนเก้าอี้ มองจากที่สูงลงมา มองไปยังเหล่าเด็กหนุ่มเหล่านั้นที่อยู่ในฝูงคนแล้วร้องเรียกอย่างอบอุ่นคึกคัก

เฉินฉางเซิงรู้สึกขายหน้าอย่างมาก จนแทบจะเอาหัวมุดลงไปในโต๊ะแล้ว เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยถึงสามารถกลายเป็นสถานที่ที่มีเงินมากที่สุดในดินแดนต้าลู่

ก่อนอื่นฝูงชนพลันเงียบไป หลังจากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมา

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง มีชาวเมืองที่มาดูเรื่องสนุกผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในฝูงคนตะโกนขึ้นมา “ทำไมทุกคนถึงต้องสมัครเข้านักฝึกหลวงของพวกเจ้าล่ะ”

ไม่เพียงถังซานสือลิ่วจะไม่พอใจ แต่เขากลับดีใจอย่างมาก ในใจคิดว่าเมื่อวานตนลืมให้ทางโรงพนันเทียนเซียงส่งมืออาชีพมาสนับสนุนสักสองสามคน ใครจะคิดเล่าว่าคนจะปรากฏขึ้นมาเอง เขาจึงเตรียมเสียงแล้วพูดขึ้น “ถึงแม้การสอบเตรียมของการสอบใหญ่จะมาถึงในภายหลัง แต่ก็เป็นเรื่องด่วนที่อยู่ตรงหน้าแล้ว เหลือเพียงแค่ช่วงสุดท้ายอีกไม่กี่วัน หรือว่าพวกเจ้าไม่อยากก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว ไม่อยากที่จะแสดงความโดดเด่นที่งานชุมนุมไม้เลื้อยหรือ”

นักเรียนหนุ่มผู้หนึ่งที่มีใบหน้าหมองคล้ำ ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะเป็นนักเรียนที่เรียนเองที่บ้านจากบ้านนอกที่ไหนสักแห่ง ได้รวบรวมความกล้าถามขึ้น “พวกเราสามารถไปสมัครสอบสำนักอื่นได้”

พูดมาแล้วก็ใช่ ในจิงตูที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือหกสำนักไม้เลื้อย และยังมีสำนักอยู่อีกนับไม่ถ้วน

ถังซานสือลิ่วมองนักเรียนหนุ่มที่มาจากบ้านนอกผู้นั้น แล้วพูดขึ้นอย่างเย้ยหยัน “เจ้าเอาสำนักเหล่านั้นมาเทียบกับสำนักฝึกหลวงของข้าหรือ”

เมื่อคำพูดนี้ออกมา ไม่ว่าจะเป็นคนที่มาชมเรื่องสนุกหรือมารอหัวเราะเยาะก็ล้วนพากันพยักหน้า ในใจคิดว่าต่อให้สำนักฝึกหลวงจะเคยเสื่อมโทรมอย่างไร แต่ในเมื่อเปิดสำนักขึ้นมาใหม่แล้ว เช่นนั้นก็ไม่ใช่ที่ที่สำนักธรรมดาจะสามารถเทียบเคียงได้ ตามมาก็มีคนถามขึ้นอีก “เช่นนั้นทำไมพวกเราถึงไม่สามารถเข้าสำนักอื่นอีกห้าแห่งกัน”

“สำนักไม้เลื้อยตามปกติแล้วมีเพียงหลังการสอบเตรียมของการสอบใหญ่จบลงถึงจะเปิดรับอีกครั้ง มีเพียง…ทุกคนฟังไว้ให้ชัดๆ…มีเพียงสำนักฝึกหลวงของข้าที่จะเปิดรับนักเรียนใหม่ก่อนการสอบเตรียม!”

ไม่รู้ว่าถังซานสือลิ่วไปล้วงพัดออกมาจากที่ไหน เขาพัดไปพลางพูดไปพลาง “ถ้าหากพวกเจ้าแม้แต่การสอบเตรียมก็ยังไม่ผ่าน สำนักไหนจะยังรับเจ้าอีก พูดไปพูดมา ก็ยังเป็นการสมัครสอบเข้าสำนักฝึกหลวงของข้าถึงจะมั่นคงที่สุด”

“พวกข้าไม่ต้องการความมั่นคง” นักเรียนหนุ่มผู้หนึ่งที่ดูค่อนข้างสุขุมได้ส่ายหัวพูดขึ้น “ในเมื่อเดินทางไกลนับพันลี้มาถึงจิงตู แน่นอนว่าก็ได้ทำการเตรียมใจฝ่าอุปสรรคอย่างเต็มกำลัง พวกข้ายอมที่จะรอหลังการสอบเตรียมจบลง แล้วค่อยไปสมัครสอบสำนักอื่น”

เห็นได้อย่างชัดเจน นักเรียนหนุ่มผู้นี้มีความเชื่อมั่นในระดับความแข็งแกร่งกับความรู้ของตนอย่างแน่วแน่

ถังซานสือลิ่วมองคนผู้นั้นแล้วถามขึ้น “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่”

นักเรียนหนุ่มผู้นั้นเอ่ยตอบ “ปีนี้อายุยี่สิบสี่”

“เช่นนั้นก็ยังเป็นคนหนุ่ม ทำไมถึงได้ไม่มีความเฉียบคมของคนหนุ่มเลยสักนิด”

ถังซานสือลิ่วมองนักเรียนหนุ่มผู้นั้นแล้วค่อยๆ เลิกคิ้วพลางพูดขึ้น แสดงให้เห็นถึงความดูถูกอยู่เล็กน้อย

นักเรียนผู้นั้นคิดจะแก้ต่างสักสองสามคำ ถังซานสือลิ่วกลับไม่ได้ให้โอกาสกับเขาอีก และมองไปทางฝูงคนพลางพูดขึ้น “ทำไมพวกเจ้าถึงจะต้องเข้าสำนักเทียนเต้าให้ได้ ก็เพราะว่าใต้เท้าสังฆราชจบมาจากสำนักเทียนเต้าหรือ ทำไมจะต้องเขาหอจงซื่อกับสำนักจวนราชวังหลี ก็เพราะว่าจะได้อยู่ใกล้กับใต้เท้าสังฆราชสักหน่อยหรือ ทำไมถึงต้องเข้ากระทรวงสิบสามชิงเหย้ากัน เพราะว่าในนั้นมีศิษย์พี่หญิงที่งดงามมากมายหรือ”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ในฝูงคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

“ถ้าหากพวกเจ้ายืนยันจะเข้าสำนักเด็ดดารา ข้าก็ไม่มีข้อโต้แย้งอะไร มีเพียงแค่การอวยพรกับชื่นชม แต่ถ้าเดิมทีแล้วพวกเจ้าอยากจะเข้าไม่กี่สำนักนั่น…” ถังซานสือลิ่วเก็บพัดลง แล้วเคาะกับฝ่ามือ มองดูฝูงคนอย่างหยิ่งยโสแล้วพูดขึ้น “เช่นนั้นทำไมพวกเจ้าถึงไม่เลือกเข้าสำนักฝึกหลวงของข้ากัน ทุกคน! พวกเราล้วนเป็นคนหนุ่ม สดใหม่กระจ่างใส ไม่ยึดติดกับรูปแบบเก่าๆ ไม่เดินในเส้นทางตามปกติ สำนักฝึกหลวงของข้ามีเรื่องราวมากมายรอคอยอยู่ เป็นกระดาษขาวแผ่นหนึ่งที่สะอาดอย่างหาใดเปรียบ พวกเจ้ามีเหตุผลอะไรที่จะไม่มาร่วมกันสรรค์สร้าง อีกอย่าง สำนักเหล่านั้นมีตรงไหนที่เทียบกับสำนักฝึกหลวงของข้าได้”

นักเรียนหนุ่มผู้นั้นรู้สึกราวกับว่าพัดเล่มนั้นกำลังเคาะอยู่ที่หัวใจของตน จิตใต้สำนึกก็สั่งให้จริงจังขึ้นมามาก ถึงกับฟังคำพูดทั้งหมดนี้เข้าไปแล้ว กระทั่งรู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง

นักเรียนที่มาจากชนบทของเมืองต่างๆ กระทั่งเป็นชาวบ้านจากแดนใต้ที่ห่างไกล สำหรับสำนักต่างๆ ในจิงตูก็เพียงแค่เคยได้ยินข่าวลือมาบ้างก็แค่นั้น และไม่ได้ชัดเจนถึงความแตกต่างระหว่างกัน ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกว่าคำพูดของถังซานสือลิ่วนี้มีอะไรเป็นพิเศษ แต่สำหรับยอดฝีมือจากตระกูลเทียนไห่เหล่านั้นไปจนถึงบุคคลสำคัญและขุนนางจำนวนมากที่อยู่ในรถม้า คำพูดนี้ช่างเสียดหูเป็นอย่างมาก

สำนักเทียนเต้า หอจงซื่อ สำนักจวนราชวังหลี กระทรวงสิบสามชิงเหย้า…ล้วนเทียบกับสำนักฝึกหลวงไม่ได้ ต้องรู้ว่าผู้แข็งแกร่งนับสิบคนที่วันนี้เตรียมมาท้าประลองกับสำนักฝึกหลวงนั้น โดยพื้นฐานล้วนจบมาจากสี่สำนักนี้ ถึงจะเป็นเปี๋ยเทียนซินที่ไม่เคยได้โผล่หน้ามา ถึงจะพูดว่ามีครอบครัวที่ไม่ธรรมดา แต่เขาเองก็เคยเป็นศิษย์ที่อยู่ที่สำนักจวนราชวังหลี

เหมาชิวอวี่กับนักพรตซือหยวนที่อยู่ในโรงน้ำชาก็ยังอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา นักพรตซือหยวนนั้นจบมาจากสำนักจวนราชวังหลี เหมาชิวอวี่ก็ยิ่งเคยเป็นนักเรียนของสำนักเทียนเต้ามาก่อน ภายหลังก็เป็นอาจารย์ไปจนถึงเจ้าสำนัก เวลานับร้อยปีก็ทุ่มเทอยู่ตรงนั้น ไหนเลยที่พวกเขาจะยอมรับวิธีการพูดเช่นนี้ของถังซานสือลิ่ว

ในฝูงคนก็มีเสียงที่ถามขึ้นด้วยความโกรธอย่างมาก “เจ้าอาศัยอะไรมาพูดเช่นนี้”

ถังซานสือลิวไม่ได้มองคนผู้นั้น แล้วพูดขึ้นต่อ “ใต้เท้าสังฆราชนั้นจบมาจากสำนักเทียนเต้าจริงๆ สำนักจวนราชวังหลีกับหอจงซื่อก็อยู่ในพระราชวังหลีจริงๆ แต่พวกเจ้าต้องดูให้ชัดเจน เจ้าสำนักฝึกหลวงของพวกข้ามีนามว่าเฉินฉางเซิง…พวกเจ้าร่ำเรียนที่สำนักจวนราชวังหลีกับหอจงซื่อไปชั่วชีวิตก็ไม่อาจจะได้เห็นใต้เท้าสังฆราชแม้เพียงสักครั้ง แต่ถ้าหากพวกเจ้าเข้าสำนักฝึกหลวงเล่า”

เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดพูดลง แย้มยิ้มโดยที่ไม่พูด แสดงให้เห็นว่ามีความนัยแอบแฝง

ทุกคนล้วนรู้ถึงท่าทีของใต้เท้าสังฆราชที่มีต่อเฉินฉางเซิง

นักเรียนหลายคนต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน มีการถกเถียงกันเสียงเบา ดูเหมือนว่าจะหวั่นไหวอยู่บ้าง

“ให้พวกข้าพูดตรงๆ กว่านี้อีกหน่อยแล้วกัน…ทุกคนเชิญดู สหายน้อยที่สูงใหญ่ราวภูเขาผู้นี้ เขามีนามว่าเซวียนหยวนผ้อ เป็นเด็กหนุ่มเผ่าหมีที่แสนจะธรรมดาของแดนปีศาจ”

ถังซานสือลิ่วใช้พัดชี้ไปทางเซวียนหยวนผ้อแล้วพูดขึ้น “พูดถึงพรสวรรค์ก็ไม่มี พูดถึงวิชาก็ไม่ได้ จะเอาภูมิหลังก็ไม่มี สามารถพูดได้ว่าไม่มีอะไรเลย แม้แต่ตัวของเขาเองยังต้องละอายใจ กระทั่งลาออกจากสำนักเด็ดดาราด้วยตัวเอง หลังจากนั้น…ก็ถูกเฉินฉางเซิงกับองค์หญิงลั่วลั่วเก็บกลับมาจากตลาดกลางคืน ผลเป็นอย่างไร”

ฝูงคนเปลี่ยนเป็นเงียบเสียงขึ้นมา

 เขาพอใจผลลัพธ์เช่นนี้อย่างมาก จึงพูดต่อ “ผลเป็นอย่างไร เขาเข้าสำนักฝึกหลวง บาดแผลยังไม่หายดี การสอบใหญ่ก็ไม่ได้เข้าร่วม หอความลับสวรรค์ก็จัดอันดับเขาเข้าไปในประกาศชิงอวิ๋นแล้ว!”

เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ เหล่านักเรียนหนุ่มที่มาจากนอกเมืองเหล่านั้นก็ราวกับได้ครุ่นคิด เมื่อมองดูเซวียนหยวนผ้อที่อยู่หลังโต๊ะ ก็ยิ่งหวั่นไหวขึ้นมา

เรื่องนี้มีคนรู้จำนวนมาก อีกทั้งยังสามารถทำให้คนยอมรับได้อย่างมากจริงๆ สำนักฝึกหลวงดูเหมือนสถานที่ที่ทำให้ก้อนหินกลายเป็นทองขึ้นมาได้จริงหรือ