สมแล้วที่เป็นผู้สืบทอดของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย คำพูดนี้ของถังซานสือลิ่วมีพลังที่จะดึงดูดใจคนจริงๆ หน้าประตูสำนักฝึกหลวงแปรเปลี่ยนเป็นเงียบขึ้นมาอย่างมาก หลายคนล้วนเริ่มที่จะครุ่นคิดถึงเงื่อนไขที่อยู่ในประกาศรับนักเรียนใหม่อย่างจริงจัง
แน่นอนว่ามีเพียงคนเดียวที่ไม่พอใจซึ่งก็คือเซวียนหยวนผ้อ เขาได้ยินแล้วก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก อะไรที่เรียกว่าพรสวรรค์ก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี แล้วยังละอายใจ ข้าละอายใจบ้านเจ้าสิ แต่เขาชัดเจนดีว่าทำไมถังซานสือลิ่วถึงได้ยกตัวเองขึ้นมาเป็นตัวอย่าง ดังนั้นจึงทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงอดทนเอาไว้ ต่อให้ลมหายใจจะรุนแรงขึ้นมามาก กระทั่งภายใต้การให้สัญญาณของถังซานสือลิ่ว ก็ยังถูกบีบให้ยืนขึ้นมา เขายกแขนขวาที่หนาใหญ่ เผยรอยยิ้มที่แสนซื่อ พร้อมทั้งโบกมือให้กับฝูงคนที่อยู่รอบด้าน
ในฝูงคนพลันส่งเสียงปรบมือขึ้นมา
ถังซานสือลิ่วพอใจกับผลลัพธ์จากการโฆษณาของตนอย่างมาก และพูดขึ้นต่อ “เมื่อครู่พูดถึงองค์หญิงลั่วลั่ว…”
เสียงของเขาถูกปรับให้สูงขึ้นอย่างกะทันหัน และพูดขึ้น “ถูกแล้ว! ถ้าหากพวกเจ้าเข้าสำนักฝึกหลวงหญิงสาวผู้สูงส่งแห่งแม่น้ำแดงแปดร้อยลี้ และแดนปีศาจ สมบัติล้ำค่ากลางฝ่ามือของนักปราชญ์ทั้งสอง บุตรสาวของจักรพรรดิขาวองค์หญิงลั่วเหิง ก็จะเป็นเพื่อนร่วมสำนักของพวกเจ้า!”
“และยังมีผู้สืบทอดที่ใต้เท้าสังฆราชกำหนดไว้ เจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวงที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์เฉินฉางเซิง ก็จะให้การนำแนะแก่ทุกคนอย่างอบอุ่น!”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ เขาก็ส่งสัญญาณให้เฉินฉางเซิงลุกขึ้นมาโบกมือให้กับทุกคน
เฉินฉางเซิงรู้สึกขายหน้าอย่างมาก จึงหันหน้าไปมองใบประกาศที่อยู่บนกำแพงข้างประตูสำนักฝึกหลวงอย่างจริงจัง ราวกับว่าในกระดาษสีแดงและตัวอักษรสีดำนั้นซุกซ่อนความลับอันยิ่งใหญ่ของการท้าลิขิตพลิกโชคชะตาอยู่
ถังซานสือลิ่วไม่สนใจ เขามองฝูงคนแล้วพูดต่อ “พวกเจ้าน่าจะเข้าใจแล้ว ทั่วทั้งจิงตู ไม่ ทั่วทั้งโลกมนุษย์ รวมถึงสำนักต้นไหวกับพรรคหลีซานส่วนหน้า ก็ไม่มีที่ไหนที่จะมีภูมิหลังและที่พึ่งที่แข็งแกร่งไปกว่าสำนักฝึกหลวงของข้าอีกแล้ว และที่สำคัญที่สุด ถ้าหากพวกเจ้าสอบเข้าสำนักฝึกหลวง ก็ยังมีเพื่อนร่วมสำนักที่แสนจะยอดเยี่ยมอีกคน”
ชาวเมืองจิงตูที่เริ่มสนใจคนแรกสุดผู้นั้น ในตอนนี้ก็บังเอิญถามขึ้นมาอีก “เป็นใครกัน”
ดวงตาของถังซานสือลิ่วส่องประกายขึ้นมา ในใจคิดว่าภายหลังจะต้องให้ผู้ดูแลของโรงพนันเทียนเซียงหาวิธีหาตัวคนผู้นี้ แล้วมอบของขวัญเล็กน้อยให้สักหน่อยถึงจะถูก
ดวงตาของเขาเรืองรองขึ้นมา ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรง ตัวของเขาเองก็ราวกับจะส่องประกายขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นกระบี่เวิ่นสุ่ย กำไลทอง หรือป้ายหยก ล้วนส่องประกายอยู่ต่อให้ทุกๆ คน
เขาหัวเราะขึ้นมาเสียงดังสามครั้ง แล้วพูดขึ้น “ขอโทษที คนผู้นั้นก็คือข้าเอง”
……
……
“บางที สหายที่มาจากแดนไกลบางคนอาจจะไม่รู้ว่าข้าคือใคร ขอให้ข้าได้แนะนำตัวกับทุกคนสักหน่อย ข้ามีนามว่าถังซานสือลิ่ว”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขามองไปที่เฉินฉางเซิงแล้วพูดขึ้นต่อ “ข้าไม่ได้เป็นลูกคนที่สามสิบหกของที่บ้าน แต่เมื่อตอนที่ข้าอายุสิบห้าแล้วได้เข้าไปอยู่ในประกาศชิงอวิ๋นเป็นครั้งแรก ก็ได้อยู่ในอันดับที่สามสิบหก”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เหล่าเด็กบ้านนอกที่ไม่รู้จักเขาจริงๆ พวกนั้นก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ในใจคิดว่าอายุเพียงแค่สิบห้าปีก็สามารถเข้าไปอยู่ในประกาศชิงอวิ๋น สำนักฝึกหลวงช่างเป็นสำนักที่มีพยัคฆ์หมอบตำราซ่อนอยู่จริงๆ
“ทุกคนอย่าได้ตกตะลึงเกินไปนัก ขอให้มองไปที่ด้านหลังของข้าอีกครั้ง” ถังซานสือลิ่วชี้ไปที่เฉินฉางเซิงแล้วพูดขึ้น “เจ้าสำนักเฉินของพวกเรา ยังต้องผ่านไปอีกสามเดือนถึงจะอายุครบสิบหกปีเต็ม พูดให้ชัดเจนคือ ในตอนที่เขาอายุสิบห้าปีก็อยู่ในขั้นทะลวงอเวจีขั้นสูงแล้ว เขาไม่เคยอยู่ในประกาศชิงอวิ๋น เพราะว่าตอนที่เขามีคุณสมบัติจะเข้ามาอยู่ในประกาศชิงอวิ๋น ประกาศชิงอวิ๋นก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะรองรับเขาแล้ว”
เฉินฉางเซิงในตอนนี้เป็นคนที่มีชื่อเสียงในดินแดนต้าลู่ เมืองที่ห่างไกลออกไปก็ยังเล่าขานเรื่องราวของเขา แต่เมื่อได้ยินการแนะนำนี้ เหล่านักเรียนหนุ่มสาวที่อยู่ในฝูงคนก็ยังรู้สึกตกตะลึงยิ่งนัก สายตาที่มองไปยังใบประกาศรับนักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวงแผ่นนั้นอีกครั้ง ก็เปลี่ยนเป็นร้อนแรงขึ้นมา และสายตาที่ร้อนแรงบางส่วนก็ตรงมาอยู่ที่ร่างของเขาแล้ว
เฉินฉางเซิงเองก็ทำอะไรไม่ได้ จึงลุกขึ้นมาอย่างจนใจ พลางโบกมือไปรอบด้าน ทำให้ได้รับเสียงโห่ร้องอย่างร้อนแรง
“พูดถึงประกาศชิงอวิ๋น ข้าถึงนึกขึ้นมาได้ว่ายังพูดไม่จบ ในสำนักฝึกหลวงในตอนนี้ยังมีเพื่อนร่วมสำนักในอนาคตของทุกคนนอนอยู่อีกคน”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นเสียงดัง “เขามีนามว่าวั่วฟูเจ๋อซิ่ว”
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ในที่นี้ก็ส่งเสียงดังสนั่นขึ้นมา
ที่เฉินฉางเซิงมีชื่อเสียงเป็นเรื่องของในหนึ่งปีนี้ แต่ตำนานของเด็กหนุ่มเผ่าหมาป่าที่ต่อสู้กับเผ่ามารตามลำพังที่พื้นที่ราบหิมะ ได้แพร่กระจายไปทั่วโลกมนุษย์มาหลายปีแล้ว
สวีโหย่วหรงในตอนนั้นเป็นอันดับหนึ่งของประกาศชิงอวิ๋น เจ๋อซิ่วก็อยู่รองจากนางมาโดยตลอด แต่เหล่าคนหนุ่มสาวที่มีเจตนารมณ์อยู่ที่การร่ำเรียนและวิถีเต๋า ไหนเลยจะมีเหตุผลที่จะไม่รู้จักชื่อของเขา
ถังซานสือลิ่วพูดต่อ “พูดถึงประกาศชิงอวิ๋น ในตอนนั้นมีเพียงคนเดียวที่สามารถเอาชนะเขาได้ก็คือสวีโหย่วหรง แต่พวกเจ้าน่าจะรู้ สวีโหย่วหรงนางก็คือ…ของเจ้าสำนักเฉิน”
เฉินฉางเซิงอดไม่ได้อีกครั้ง จึงถึงตาใส่เขาไปทีหนึ่ง
ถังซานสือลิ่วถึงได้พบว่าตนเหลิงไปบ้างแล้ว จึงรีบเปลี่ยนเรื่องพูดขึ้นมา “วันนี้แสงแดดค่อนข้างแรง ลืมไปว่าพูดถึงไหนแล้ว เมื่อครู่ข้ากำลังพูดถึงตนเองอยู่ใช่หรือไม่”
ฝูงคนได้ส่งเสียงโห่ร้องขึ้นมา ไปจนถึงเสียงของเด็กสาวผู้หนึ่งที่กล่าวว่าฝูงคนอย่างไม่พอใจ
ถังซานสือลิ่วสงบใจ และพูดขึ้นอย่างสงบนิ่งจริงจัง “ดังนั้นข้าถึงสามารถพูดได้ ถ้าหากทุกคนสอบเข้าสำนักฝึกหลวง ที่สำคัญที่สุดก็คือมีเพื่อนร่วมสำนักอย่างข้านี้ พูดอีกอย่างคือ ทำไมสำนักฝึกหลวงเหนือกว่าเพราะมีข้า ไม่ใช่เพราะว่าข้าแข็งแกร่งมากมาย ถ้าพูดถึงระดับความแข็งแกร่ง แน่นอนว่าข้าไม่อาจเทียบเฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วที่เป็นตัวประหลาดเช่นนี้ได้ แต่ว่า…ข้ามาจากตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย ข้าสามารถเป็นผู้สนับสนุนที่มั่นคงที่สุดในเส้นทางการเล่าเรียนของทุกคน”
เขาชี้ไปที่ใบประกาศที่อยู่ทางประตูสำนักฝึกหลวงแผ่นนั้น แล้วพูดขึ้น “ยกตัวอย่างเช่นพวกข้าไม่เก็บค่าเรียน แล้วยังมีเงินเบี้ยเลี้ยง แน่นอนว่ากำหนดเพียงแค่ช่วงปีนี้ ในภายหลังหมดสิทธิ์”
มีนักเรียนหนุ่มผู้หนึ่งย่นคิ้วถามขึ้น “ไม่เก็บเงินแล้วยังให้เงิน ไม่ใช่ว่าพวกเจ้ากำลังซื้อนักเรียนหรือ”
“ไม่ใช่ซื้อ แต่เป็นการซื้อตัว” สีหน้าของถังซานสือลิ่วยังคงเรียบเฉย เขาแย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น “เมื่อชำระกระดูกสำเร็จ หลังเข้าสำนักมีที่พักและอาหารให้ เงินเดือนห้าตำลึง หากอยู่ขั้นถอดจิตขั้นต้น เงินเดือนห้าสิบตำลึง ทุกครั้งที่เลื่อนระดับ เงินเดือนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ถ้าหากเข้าสู่ขั้นทะลวงอเวจีได้สำเร็จ นอกจากเงินเดือนแล้ว ยังมีหินผลึกสิบก้อนไว้ช่วยในการบำเพ็ญเพียร”
บนใบประกาศรับนักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวงเขียนเพียงว่าจะมีเงินเบี้ยเลี้ยง และไม่เก็บค่าเรียน แต่กลับไม่ได้ลงรายละเอียดจำนวนเงิน ในตอนนี้ได้ยินถังซานสือลิ่วบรรยายรายละเอียด ฝูงคนก็เงียบเป็นเป่าสากในทันที ต่อให้เป็นยอดฝีมือจากตระกูลเทียนไห่ที่อยู่ไกลออกไปเหล่านั้นก็ยังตกตะลึง แม้กระทั่งผู้ดูแลของโรงพนันทั้งสามที่อยู่ใต้ศาลา ก็ยังมองไปทางผู้ดูแลของโรงพนันเทียนเซียง สีหน้าตกตะลึงอย่างน่าประหลาด ในใจคิดว่าคุณชายน้อยของเจ้าใช้เงินเช่นนี้ ตระกูลที่เวิ่นสุ่ยรู้เรื่องหรือไม่
ถังซานสือลิ่วพอใจกับการตอบสนองในตอนนี้อย่างมากแล้วพูดขึ้นต่อ “ส่วนปัญหาเรื่องอาหารการกิน ทุกคนไม่ต้องกังวล หอเฉิงหู…ในตอนนี้ก็คือโรงอาหารของสำนักฝึกหลวง”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ พวกนักเรียนหนุ่มที่มาจากนอกเมืองพวกนั้นยังพอว่า แต่พวกชาวเมืองจิงตูเหล่านั้น โดยเฉพาะพวกที่ตะกละพวกนั้นแทบที่จะเป็นลมไปเลย
หอเฉิงหู เป็นโรงสุราที่มีชื่อที่สุดและก็แพงที่สุดในจิงตู ถึงกับ…หยุดกิจการไปแล้วจริงๆ หรือ ถึงกับกลายมาเป็นโรงอาหารของสำนักฝึกหลวงแล้วหรือ
เซวียนหยวนผ้อพอใจอย่างมาก และตัดสินใจจะยกโทษให้กับการกระทำเมื่อครู่ของถังซานสือลิ่ว
แต่สายตาของคนจำนวนมากที่มองถังซานสือลิ่ว ก็เหมือนกับมองศัตรูผู้ฆ่าบิดาตน
ถังซานสือลิ่วมองคนเหล่านั้นแล้วถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะ”
มีคนอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น “ท่านทำเช่นนี้ก็ออกจะเกินไปแล้ว มีสำนักที่ไหนทำเช่นนี้หรือ”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นอย่างจริงจัง “ข้าค่อนข้างจะร่ำรวย หรือว่าทุกคนยังไม่ชัดเจนกับความจริงข้อนี้อีก”