ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 49 ก่อให้เกิดคลื่นลม (3)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ไร้ข้อสงสัย ถ้าหากเรื่องที่ถังซานสือลิ่วพูดไว้เหล่านี้เปลี่ยนไปเป็นความจริง เช่นนั้นสำนักฝึกหลวงจะต้องกลายเป็นสำนักที่มีเงื่อนไขดีที่สุดในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน แต่ในเมื่อเป็นสำนัก เช่นนั้นที่สำคัญที่สุดก็แน่นอนว่าไม่ใช่โรงอาหารกับเงินเบี้ยเลี้ยง แต่ต้องดูว่าเมื่ออยู่ที่นี่แล้วจะสามารถเรียนรู้อะไรไปได้บ้าง มีบางคนที่อาจจะไม่ใส่ใจ แต่ก็ยังมีนักเรียนจำนวนมากยิ่งกว่าที่ยังใส่ใจในจุดนี้

“ข้าได้ยินมาว่าสำนักฝึกหลวงในตอนนี้แม้กระทั่งอาจารย์สักคนก็ยังไม่มี พวกข้าเข้าไปแล้วจะได้เรียนอะไร”

นักเรียนหนุ่มที่ค่อนข้างมั่นใจในระดับของตนเองผู้นั้นเอ่ยถามขึ้นอย่างจริงจัง

“ท่านนี้คืออาจารย์ซินจากสำนักการศึกษากลาง โรงน้ำชาทางด้านนั้น ใช่ ร้านนั้นแหละ ใต้เท้ามุขนายกแห่งตำหนักอิงหัวเหมาชิวอวี่กำลังนั่งดื่มชาอยู่ภายในนั้น” ถังซานสือลิ่วมองคนผู้นั้นแล้วพูดขึ้น “เจ้าน่าจะเห็นแล้ว สำนักฝึกหลวงของพวกข้ามีกองทัพของนิกายหลวงคอยคุ้มกัน มีนักบวชของพระราชวังหลีทำหน้าที่รักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย ถ้าหากต้องการอาจารย์ เจ้ารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องยากหรือ”

“แต่ว่า…เหล่าคณาอาจารย์ของสำนักการศึกษากลางไม่ได้ทำการสอนมานานแล้ว อีกทั้งข้ายังกังวลอย่างมากว่าในสำนักฝึกหลวงจะสามารถเรียนวิชาอะไรได้ อย่างไรเสียที่นี่ก็ไม่ได้เปิดทำการสอนมานานหลายปีแล้ว” นักเรียนหนุ่มผู้นั้นได้ถามขึ้นอย่างจริงจัง

“โง่เขลา” ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วส่ายหน้าพูดขึ้น “เฉินฉางเซิงเชี่ยวชาญในคัมภีร์ลัทธิเต๋า อ่านตำรามากมาย สำนักฝึกหลวงมีประวัติศาสตร์มายาวนาน มีพื้นฐานลึกล้ำ เจ้าอยากจะเรียนอะไรทำไมจะไม่มี”

เมื่อพูดประโยคนี้จบ เขาก็ไม่ทำการอธิบายเพิ่มอีก และมองไปยังฝูงคนพลางพูดขึ้น “การรับนักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวงมีเวลาเพียงแค่วันเดียว ทุกคนอย่าได้พลาดโอกาสไป”

นักเรียนผู้นั้นเห็นเขาไม่สนใจตน กลับตัดสินใจขึ้นมาอย่างแน่วแน่ เป็นคนแรกที่เดินมาถึงหน้าโต๊ะแล้วพูดขึ้น “ข้าต้องการสมัคร”

ก็เหมือนกับเรื่องมากมายบนโลก ขอเพียงมีคนนำ เช่นนั้นแล้วผู้ที่ตามมาก็จะปรากฏขึ้นไม่หยุด เวลาเพียงครู่เดียว นักเรียนหนุ่มสาวมากมายที่ก่อนหน้านี้ยังยืนอยู่หน้าฝูงคน ล้วนมาถึงที่หน้าโต๊ะ เพราะว่ากังวลว่าจำนวนคนที่รับจะมีจำกัด กระทั่งเกิดการยื้อแย่งกันขึ้นมา ได้ยินเพียงแค่มีคนตะโกนขึ้นมาไม่หยุด “ข้าจะสมัคร ข้าต่อแถวเป็นคนที่สาม!”

“ข้าเองก็จะสมัคร ข้าเป็นอันดับสองของเมืองเจียงหนาน ข้านั้นถอดจิตสำเร็จแล้ว”

“เจ้าสำนักเฉิน ข้ายอมจ่ายค่าเรียน และข้าก็ไม่ต้องการเงินเบี้ยเลี้ยง ขอแค่พวกเจ้ายอมรับข้าไว้”

เพื่อที่จะเข้าร่วมการสอบเตรียมของการสอบใหญ่ ไปจนที่ถึงสิ่งสำคัญยิ่งกว่าอย่างการเข้าสู่สายตาของสำนักไม้เลื้อยในงานชุมนุมไม้เลื้อย ทุกเมืองในต้าโจวไปจนถึงแดนใต้ไม่รู้ว่ามีนักเรียนหนุ่มสาวจำนวนมากมายเท่าไหร่ที่ในตอนนี้ล้วนมารวมตัวกันที่จิงตู ในตอนนี้ได้ล้อมประตูสำนักฝึกหลวงเสียจนแม้แต่น้ำก็ยังไหลผ่านไม่ได้ สถานการณ์พลันเปลี่ยนเป็นวุ่นวายขึ้นมา

เฉินฉางเซิงรับใบสมัครที่นักเรียนเหล่านั้นเขียนส่งมา หลังจากที่อ่านดูก็ส่งให้พวกอาจารย์ซินไปลงบันทึก แต่ไม่ได้นำชื่อเหล่านี้บันทึกลงในสมุดรายชื่อโดยตรง เพราะว่าการที่อยากจะเข้าสำนักฝึกหลวงแน่นอนว่ายังต้องมีการสอบ ไม่เช่นนั้นหากคนที่เข้ามาเป็นพวกที่ทำเรื่องไม่ดี เช่นนั้นในอนาคตก็อย่าได้หวังว่าจะสงบสุขเลย

มีการช่วยเหลือจากอาจารย์ซินกับเหล่าอาจารย์จากสำนักการศึกษากลาง การสมัครเข้าสำนักฝึกหลวงของเด็กใหม่ก็ราบรื่นอย่างมาก ใบสมัครที่อยู่บนโต๊ะก็กองหนาขึ้นเรื่อยๆ เซวียนหยวนผ้อนวดมือไม่หยุด ถังซานสือลิ่วยิ้มและทักทายกับนักเรียนที่มาสมัครทุกคน และยังรับหน้าที่คอยตอบคำถามของพวกเขา การตอบคำถามไขข้อสงสัยก็ทำได้เป็นอย่างดี

เฉินฉางเซิงมองภาพเหตุการณ์นี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า ในใจคิดว่าเรื่องนี้มีอะไรดึงดูดกันแน่ ถึงกับทำให้เจ้าคนที่ปกติแสนจะขี้เกียจอย่างมากเอาใจใส่ได้ถึงขนาดนี้

ก็เป็นในตอนนี้เอง บนถนนมีเสียงเย้ยหยันเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างกะทันหัน “พูดเสียงน่าฟังยิ่งกว่าการขับร้อง ภูมิหลังแข็งแกร่งอะไร มีวิชามากมาย พูดไปพูดมา…ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าสองสามคนไม่มีปัญญารับมือกับการท้าประลองของสำนักไม้เลื้อยทั้งหลาย ดังนั้นถึงได้รับนักเรียนเหล่านี้เป็นการด่วนเพื่อมาเป็นตัวตายตัวแทนให้พวกเจ้าไม่ใช่หรือ”

เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ หน้าประตูสำนักฝึกหลวงก็เงียบอย่างน่าประหลาดขึ้นมาในทันที สีหน้าของนักเรียนหนุ่มสาวเหล่านั้นเปลี่ยนไป ต่างสบตากันอย่างไร้คำพูด เพราะพวกเขาพบว่าที่คนผู้นี้พูด ช่างมีเหตุผลอย่างมากจริงๆ ไม่เช่นนั้นทำไมก่อนหน้านี้ไม่รับ หลังจากนี้ไม่รับ แต่กลับเป็นเวลานี้ที่สำนักฝึกหลวงเริ่มรับสมัครนักเรียนใหม่

ฝูงคนค่อยๆ แหวกออก เผยให้เห็นคนที่พูดขึ้นผู้นั้น

ดวงตาของถังซานสือลิ่วค่อยๆ หรี่ลงมา แววตาเปลี่ยนเป็นเฉียบคมขึ้น

คนผู้นั้นน่าจะยังหนุ่มอย่างมาก กลิ่นอายกับการแต่งกายกับดูมีอายุอย่างมาก สวมชุดสีเขียวครามที่ถูกซักจนซีดขาว ที่เท้าก็สวมรองเท้าผ้าคู่หนึ่ง แววตากลับดูล้ำลึกอย่างมาก ราวกับว่าสามารถมองทะลุถึงจิตใจของทุกคน ริมฝีปากยกขึ้นให้เห็นถึงความเย้ยหยันที่เหมือนจะมีเหมือนจะไม่มี

เขามองถังซานสือลิ่วแล้วพูดขึ้น “ไม่ใช่เพราะพูดเปิดโปงแผนของเจ้า ในตอนนี้เจ้ารู้สึกอับอายอย่างมากหรือ”

ถังซานสือลิ่วไม่ได้ตอบคำถามนี้ แต่กลับจ้องคนผู้นั้นแล้วถามขึ้น “เปี๋ยเทียนซินหรือ”

เมื่อได้ยินชื่อนี้ เฉินฉางเซิงก็ยืนขึ้นมา เซวียนหยวนผ้อกำหมัดแน่น

“ถูกต้อง ข้าก็คือเปี๋ยเทียนซิน”

คนผู้นั้นมองดูการตอบสนองของพวกเขา แล้วเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ แสดงถึงความดูถูกเป็นอย่างมาก และพูดขึ้น “ข้าเป็นใครไม่สำคัญ ที่ข้าพูดเป็นความจริงหรือไม่ นี่ถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ”

เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ทำไมเจ้าถึงแน่ใจว่าที่เจ้าพูดเป็นสิ่งที่ถูกต้อง”

“เจ้าก็คือเฉินฉางเซิงหรือ”

คนผู้นั้นมองเขาอย่างตั้งใจ หลังจากนั้นก็ส่ายหน้า ดูเหมือนจะผิดหวังอยู่บ้าง แล้วพูดขึ้น “เดิมทีคิดว่าเจ้าจะยอดเยี่ยมเหมือนกับชิวซานจวินจริงๆ ตอนนี้ดูแล้วก็เพียงแค่นี้เอง”

เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไป แล้วพูดขึ้น “เชิญชี้แนะ”

“ในเมื่อรู้ว่าข้าคือเปี๋ยเทียนซิน ก็น่าจะรู้ว่าข้ามีฉายาว่าผู้อ่านใจ”

คนผู้นั้นพูดเยาะเย้ยขึ้น “ลูกเล่นเล็กน้อยเหล่านี้สามารถปิดบังพวกเด็กโง่ที่มาจากบ้านนอกเหล่านี้ได้ แต่มีหรือจะปิดบังข้าได้”

เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปอีกสักพัก แล้วส่ายหน้าพูดขึ้น “เช่นนี้ไม่ถูกต้อง”

เปี๋ยเทียนซินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองเขาเหมือนจะยิ้มเหมือนจะไม่ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ความถูกผิดของเจ้าคือสิ่งใด”

“เมื่อวานข้าเคยพูดกับถังซานสือลิ่วอยู่ประโยคหนึ่ง ไม่มีหลักฐาน ก็อย่าปักใจ”

เฉินฉางเซิงมองเขาแล้วพูดขึ้น “ที่เมืองสวินหยางข้าก็เคยพูดกับซูหลีมาก่อน อย่าคิดว่าโลกนี้มืดมิดเกินไปนัก เพราะว่านั่นจะเป็นการแสดงให้เห็นว่าตัวของเจ้านั้นมืดมิดเกินไป”

เมื่อฟังทั้งสองประโยคนี้จบ คิ้วที่เลิกขึ้นของเปี๋ยเทียนซินก็ค่อยๆ คลายลง แน่นอนว่าเขาไม่เห็นด้วยกับวิธีพูดของเฉินฉางเซิง และก็ไม่สนใจคำพูดครึ่งแรกของเขาที่พูดถึงถังซานสือลิ่ว แต่ประโยคครึ่งหลังของเขาที่พูดถึงซูหลี นี่ทำให้เขาจำเป็นต้องระมัดระวังขึ้นมา

“แต่ว่า พวกเจ้าก็ทำเช่นนี้”

ริมฝีปากของเขาปรากฏรอยยิ้มที่เย้ยหยันขึ้นมาอีกครั้ง แสดงให้เห็นถึงความชั่วร้าย โดยมองไปที่ถังซานสือลิ่วแล้วพูดขึ้น “หรือว่าในภายหลังสำนักฝึกหลวงจะไม่ให้นักเรียนเหล่านี้ออกสู้”

เหล่านักเรียนหนุ่มสาวที่อยู่รอบด้านล้วนเคร่งเครียดกันเป็นอย่างมาก ถ้าหากที่คนผู้นี้พูดเป็นความจริง เช่นนั้นการเข้าสำนักฝึกหลวงก็หมายความว่าเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมากไม่ใช่หรือ ตัวของพวกเขาไหนเลยจะสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของคนเหล่านี้ได้ ถ้าหากต้องตายอย่างไม่ชัดเจนเช่นนี้ จะกตัญญูต่อความหวังของบิดามารดาที่บ้านได้อย่างไร การสอบใหญ่อะไรนั่นไม่ใช่ว่าจะกลายเป็นฟองอากาศไปหรือ

สายตาจำนวนมากได้มาหยุดอยู่ที่ร่างของถังซานสือลิ่ว ซึ่งล้วนอยากจะฟังว่าสรุปแล้วเขาจะพูดว่าอย่างไร

ถังซานสือลิ่วนิ่งเงียบไปนาน ถึงได้ให้คำตอบของตัวเองออกมาได้

“พวกเขาสมัครเขาสำนักฝึกหลวง ถ้าหากผ่านการสอบ เช่นนั้นก็เป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง ในเมื่อเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง แน่นอนว่าจะต้องออกไปสู้แทนสำนักฝึกหลวง”

เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ทั้งหมดก็ส่งเสียงฮือฮาขึ้นมา