เปี๋ยเทียนซินคาดไม่ถึงอยู่บ้าง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าถังซานสือลิ่วจะยอมรับเรื่องนี้ จึงพูดเย้ยหยันขึ้น “ตัวเจ้าถึงแม้จะมีพฤติกรรมที่ทำให้คนไม่ชอบใจอย่างมาก แต่ก็ยังถือว่าตรงไปตรงมา”
หลังจากนั้นเขาก็มองไปทางนักเรียนเหล่านั้นแล้วพูดขึ้นเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม “พวกเจ้าได้ยินแล้ว”
นักเรียนหนุ่มสาวเหล่านั้นลนลานกันขึ้นมาในทันที พวกนักเรียนที่เตรียมจะยื่นใบสมัครแต่ยังไม่ได้ยื่นก็อาศัยตอนที่ไม่มีใครสังเกต เดินออกไปทางฝูงคน นักเรียนที่ส่งใบสมัครไปแล้วเหล่านั้นมีใบหน้าซีดขาว และรู้สึกเสียใจในภายหลังเป็นอย่างมาก มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งมองเฉินฉางเซิงอย่างเป็นกังวล พลางพูดขึ้นอย่างตะกุกตะกัก “ท่าน…ท่านว่า…เมื่อครู่ข้าเพิ่งส่งใบสมัครไป…สามารถถอนตัวได้หรือไม่”
“แน่นอนว่าสามารถถอนตัวได้” ถังซานสือลิ่วได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มผู้นั้น เขาไม่ได้หันหน้าไป แต่จ้องดวงตาของเปี๋ยเทียนซินต่อ พลางพูดขึ้น “แต่ว่า คนที่ถอนตัวไปในตอนนี้ ก็จะไม่มีโอกาสได้เข้าสำนักฝึกหลวงอีก”
หลังจากนั้นเขาก็เลิกคิ้วขึ้นมา แย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น “แต่เมื่อเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง ข้าขอสาบานในนามของใต้เท้าสังฆราช พวกเจ้าไม่มีทางที่จะได้รับผลกระทบใดจากการประลองระหว่างสำนัก”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลายคนที่เตรียมจะไปหยิบใบสมัครของตนกลับมาก็หยุดมืออยู่บนโต๊ะในทันที สำนักฝึกหลวงถึงกับใช้ชื่อของใต้เท้าสังฆราชมาให้คำสาบาน อีกทั้งคนผู้นี้ยังแสดงออกอย่างสบายๆ เช่นนี้ หรือว่า เรื่องนี้จะไม่ได้เป็นดั่งที่คนผู้นั้นพูดกัน
เปี๋ยเทียนซินพูดเย้ยหยันขึ้น “ดาบกระบี่ไร้ตา เจ้าเอาอะไรมารับรอง หรือจะพูดว่าเจ้าคิดจะอวดฉลาดอะไรอีก”
ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วพูดเยาะเย้ยขึ้น “คนที่ไม่ค่อยมีสติปัญญาเช่นเจ้า แน่นอนว่าง่ายที่จะมองเรื่องทั้งหมดเป็นการอวดฉลาด”
ถ้าหากเป็นการอวดฉลาดจริง เช่นนั้นก่อนหน้านี้ตอนที่คนผู้นี้พูดกับทุกคนว่าการที่สำนักฝึกหลวงรับนักเรียนใหม่มีเจตนาร้ายแฝงอยู่ เขาก็สามารถที่จะปฏิเสธเสียงแข็งได้ ส่วนหลังจากที่หลอกนักเรียนพวกนี้ให้เขาสำนักฝึกหลวงได้แล้ว ต่อไปจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็สามารถที่จะมาพูดกันใหม่ได้ แต่ว่าเขาไม่ได้ทำ กลับยอมรับต่อหน้าทุกคนว่าสำนักฝึกหลวงรับนักเรียนใหม่ ก็สมเหตุสมผลที่จะเข้าร่วมการประลองระหว่างสำนักแทนสำนักฝึกหลวง
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่ปักใจและยากจะอธิบาย ความตรงไปตรงมาก็คืออาวุธที่ทรงพลังที่สุด นี่ก็คือสติปัญญาของสุภาพชน
เรื่องจริงได้เป็นข้อพิสูจน์ คนจำนวนมากยอมที่จะยอมรับความตรงไปตรงมาเช่นนี้ นักเรียนหนุ่มสาวบางส่วนเมื่อผ่านการครุ่นคิดไปมาหลายครั้ง ก็ยังเก็บใบสมัครคืนจากทางเฉินฉางเซิง แต่มีนักเรียนจำนวนมากยิ่งกว่าที่เชื่อคำรับรองของถังซานสือลิ่ว อาจพูดได้ว่าไม่กล้าสงสัยเกียรติของใต้เท้าสังฆราช ถึงแม้จะไม่สงบอยู่บ้าง แต่ก็ยังทำการสมัครต่อให้เสร็จ ที่ตามมา ในแถวก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยเข้ามา เข้ามาในแถวสมัครสอบเข้าสำนักฝึกหลวง
เมื่อพบว่าคำพูดของตนไม่ค่อยได้ผลนัก สีหน้าของเปี๋ยเทียนซินก็มืดคล้ำขึ้นมา เขาหันไปมองเฉินฉางเซิงแล้วพูดขึ้นอย่างดูถูก “ถ้าหากในภายหลังพวกเขาไม่ได้ถูกหลอก เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณคำพูดก่อนหน้านี้ของข้า และข้าคิดว่า พวกเจ้าในตอนนี้น่าจะโมโหกันเป็นอย่างมาก ที่ถูกข้าเปิดโปงเจตนาร้าย ภายหลังหากคิดจะใช้ประโยชน์จากนักเรียนเหล่านี้ เกรงว่าจะต้องลำบากอย่างมาก”
เฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วสอบตากันครั้งหนึ่ง และโมโหขึ้นมาจริงๆ แล้ว
การที่สำนักฝึกหลวงรับนักเรียนใหม่ แน่นอนว่าเกี่ยวข้องกับการกดดันของตระกูลเทียนไห่ แต่ว่าพวกเขาไม่มีทางเคยคิดจะใช้ประโยชน์นักเรียนที่มาจากต่างเมืองไปจนถึงชนบทเหล่านี้เลย
เห็นชัดๆ ว่าไม่ได้มีเจตนาเช่นนี้ กลับถูกคนยัดเยียดข้อหาให้เช่นนี้ นี่ก็ถือการทำให้ปักใจ
และเรื่องเช่นนี้ก็ไม่ต้องการหลักฐาน ขอเพียงแค่เป็นคำพูดที่ชี้นำให้คนคิดไปในแง่ร้าย เป็นสิ่งที่แก้ตัวได้ยากที่สุด และก็ทำให้คนโมโหมากที่สุด
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าในตอนนี้โมโหอย่างมาก แต่…พวกเจ้าก็ทำได้เพียงอดทน เพราะว่าพวกเจ้าไม่ใช่คู่มือของข้า ต่อให้เป็นเจ้าลูกหมาป่าที่นอนอยู่ในสำนักฝึกหลวงนั่น ในตอนนั้นก็เป็นเพียงผู้ที่พ่ายแพ้ให้แก่ข้าเท่านั้น” เปี๋ยเทียนซินมองเฉินฉางเซิงแล้วถามขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย “เจ้าล่ะ เตรียมตัวจะแพ้ให้แก่ข้าเมื่อไหร่”
“สมแล้วที่เป็นเปี๋ยเทียนซินที่สามารถอ่านใจคนได้”
ถังซานสือลิ่วเดินมาถึงที่ด้านหน้าของเฉินฉางเซิง มองเขาแล้วถามขึ้น “ข้าอยากจะรู้อย่างมาก เจ้าจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าต่อไปข้าจะทำอะไร”
เปี๋ยเทียนซินเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ และมองเขาอย่างสนใจพลางพูดขึ้น “เจ้าอยากจะสู้กับข้าสักรอบหรือ”
“ข้าสู้เจ้าไม่ได้” ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นอย่างตรงๆ
เปี๋ยเทียนซินรู้สึกมีความสุขอย่างมาก จึงยิ้มแล้วพูดขึ้น “เช่นนั้นคิดว่าเจ้าก็คงทำได้เพียงถากถางข้าไม่กี่คำ พูดพวกคำพูดแสลงหูก็แค่นั้น”
ถังซานสือลิ่วส่ายหน้าพูดขึ้น “แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้”
เปี๋ยเทียนซินเลิกคิ้วสูงขึ้นไปกว่าเดินเล็กน้อย เพราะว่าเขารู้สึกสนใจ และอยากรู้อย่างมากจริงๆ เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ เด็กหนุ่มผู้นี้จะสามารถรับมือแบบไหนออกมาได้
ถังซานสือลิ่วเดินเข้าไปอยู่ตรงหน้าเขา มองเขาแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง “******”
เสียงของเขาเบามาก และในตอนนี้ก็ค่อนข้างจะวุ่นวาย ดังนั้นนอกจากเขากับเฉินฉางเซิงแล้ว ก็มีเพียงตัวของเปี๋ยเทียนซินเองที่สามารถได้ยินอย่างชัดเจน
เปี๋ยเทียนซินคิดว่าตนได้ยินไม่ถนัด คิ้วจึงเลิกสูงขึ้นไปอีก และถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าพูดว่าอะไร”
“ข้าพูดว่า…******”
ครั้งนี้เสียงของเขาดังขึ้นมาอีกหน่อย ดังนั้นจึงมีคนมากกว่าเดิมที่ได้ได้ยินสี่คำนี้
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่วุ่นวายได้หายไปในทันที หน้าประตูของสำนักฝึกหลวงเงียบเชียบอย่างหาใดเปรียบ ทุกคนล้วนมองมาทางเขา
โดยเฉพาะผู้ดูแลกับยอดฝีมือของตระกูลเทียนไห่ที่อยู่ใต้ศาลาเหล่านั้น พวกเขารู้ภูมิหลังฐานะของเปี๋ยเทียนซิน สายตาที่มองถังซานสือลิ่วจึงยิ่งตกตะลึงอย่างถึงที่สุด
สีหน้าของเปี๋ยเทียนซินก็ยิ่งดูไม่ได้จนถึงขีดสุด แววตานั้นดูดุร้ายขึ้นมาในทันที ราวกับจะกินคนก็ไม่ปาน
ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วถามขึ้นอย่างจริงจัง “ไม่ใช่ว่าสามารถอ่านใจได้หรือ เช่นนั้นเจ้าไม่รู้หรือว่าข้าจะพูดประโยคนี้กับเจ้า”
ม่านตาของเปี๋ยเทียนซินหดลง มีจิตสังหารปรากฏขึ้นมา เสียงก็ถูกพูดลอดไรฟัน เหน็บหนาวอย่างหาใดเปรียบ “เจ้าพูดอีกรอบสิ”
“หูของเจ้าไม่ดีหรือ” ถังซานสือลิ่วค่อนข้างจะคาดไม่ถึง จึงมองเขาแล้วพูดขึ้น “เช่นนั้นครั้งนี้เจ้าจะต้องฟังให้ชัดๆ นะ ข้า *** แม่ เจ้า”
หน้าประตูสำนักฝึกหลวงเงียบเป็นเป่าสาก
เปี๋ยเทียนซินโมโหอย่างถึงที่สุด แต่กลับยิ้มขึ้นมา ความถากถางที่มุมปากนั้นเปลี่ยนเป็นความหนาวเหน็บอย่างนับไม่ถ้วน “ที่แท้เจ้าก็กำลังรนหาที่ตาย”
เฉินฉางเซิงเดินไปที่ตรงหน้าถังซานสือลิ่ว บังสายตาของเปี๋ยเทียนซินเอาไว้
เขาไม่ชอบที่ถังซานสือลิ่วพูดคำหยาบ แต่เมื่อนึกถึงคำพูดที่น่ารังเกียจของก่อนหน้าของคนผู้นี้ ก็ต้องยอมรับว่าการรับมือเช่นนี้ของถังซานสือลิ่วถึงจะมีประโยชน์ ที่ว่าต่อหน้าความแข็งแกร่งที่แท้จริงแผนการทั้งหมดล้วนไร้ผล คำหยาบใช้ทำลายหัวใจที่ทรงปัญญา ก็เป็นเช่นนี้เอง อีกทั้งถังซานสือลิ่วก็ออกหน้าแทนสำนักฝึกหลวงกับเขา เช่นนั้นไม่ว่าจะพูดจาไม่ถูกต้องเช่นไร กระทั่งต่อให้ผิด และสร้างความวุ่นวายให้กับสำนักฝึกหลวงอย่างมาก เขาก็จะยืนอยู่ข้างเดียวกับถังซานสือลิ่ว เพียงแต่ เขาไม่มีทางที่จะพูดคำหยาบอย่างนั้น จึงพูดขึ้นอย่างสงบเพียง “คำพูดของเขาก็คือท่าทีของข้า”
เช่นนั้น นี่ก็คือท่าทีของสำนักฝึกหลวง
เปี๋ยเทียนซินสงบลงมา แต่กลับดูอันตรายมากขึ้น ราวกับมีเจตจำนงกระบี่ที่หนาวเหน็บสายหนึ่ง แทงทะลุเสื้อออกมา
เฉินฉางเซิงราวกับได้เห็นกวนไป๋ที่ข้างถนนในวันนั้น เจตจำนงกระบี่ที่อยู่ในแววตาสายนั้น ที่มีความรู้สึกที่แหลมคมกดดัน
“ที่แท้พวกเจ้าก็อยากจะตาย” เปี๋ยเทียนซินมองเขาอย่างสงบและพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“ข้าไม่อยากตาย” เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ถ้าหากไม่ใช่เจ้ามายั่วยุพวกข้าก่อน สถานการณ์ก็ไม่มีทางดูไม่ได้อย่างเช่นในตอนนี้”
เปี๋ยเทียนซินมองถังซานสือลิ่ว ถามขึ้นเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม “ที่เจ้าพูดสี่คำนั้นก่อนหน้านี้ หรือว่าเจ้าไม่เคยหาข้อมูลมาก่อน ว่าแม่ของข้าคือใคร”
ถ้าหากเป็นคนทั่วไป หากไม่รู้ความเป็นมาของเปี๋ยเทียนซิน เมื่อได้ยินประโยคนี้ไปแล้ว จะต้องไปสืบความเป็นมาของเขาดู ถ้าหากรู้ความเป็นมาของเขา ใครจะกล้าพูดคำหยาบใส่บิดามารดาของเขา
แต่ว่า เดิมทีถังซานสือลิ่วก็ไม่ใช่คนธรรมดา เขาจึงพูดขึ้นอย่างเย้ยหยัน “แปดมรสุมอย่างไรล่ะ”