ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 51 ก่อให้เกิดคลื่นลม (5)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ดวงตาของเปี๋ยเทียนซินค่อยๆ หรี่ลง แววตามีความเฉียบคมขึ้นมา เขาคิดไม่ถึงว่าในเมื่ออีกฝ่ายรู้ความเป็นมาของตน ก็ยังแสดงออกอย่างกำเริบเสิบสานเช่นนี้

เดิมทีที่เขามาจิงตูในครั้งนี้เพื่อมาธุระ คาดไม่ถึงจะพบว่าผู้อาวุโสผู้หนึ่งได้เจอกับเรื่องวุ่นวายบางอย่าง และในหนึ่งปีมานี้เขาก็ได้ยินชื่อของสำนักฝึกหลวงกับเฉินฉางเซิงมามาก ซึ่งเขาแสนจะดูถูก แน่นอนว่าไม่ยอมรับ ดังนั้นถึงได้ยอมออกหน้า กวนไป๋ให้เวลากับเฉินฉางเซิงหนึ่งปี เขากลับไม่ได้มีความอดทนเช่นนี้ ส่วนที่ว่านี่จะเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กหรือไม่นั้น เขาไม่ได้สนใจ ต้องรู้ว่าในชีวิตของเขานี้ราบรื่นมาโดยตลอด เขามีพรสวรรค์โดดเด่น มีภูมิหลังที่หน้าตกตะลึง ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ล้วนได้รับความเคารพ ในตอนแรกที่เดินทางผ่านเมืองสวินหยาง ต่อให้เป็นเหลียงหวังซุนก็ยังเกรงอกเกรงใจเขา ถึงเจ้าบ้าฮว่าเจี่ยเซียวจางจะไม่ชอบเขา แต่ก็เพราะตระกูลของเขาจึงไม่เคยสร้างความลำบากให้กับเขาเลย ใครจะคิดว่าในวันนี้กลับได้เจอกับคู่ต่อสู้ที่ลงมือโดยไม่มีเหตุผลเช่นนี้

“ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าโมโหอย่างมาก แต่ว่า…เจ้าก็ทำได้เพียงอดทน เจ้ายังจะสามารถทำอะไรได้ หรือว่าเจ้าจะฆ่าพวกข้าทิ้งเสีย ข้าไม่เข้าใจ ต่อหน้าพวกข้าเจ้ามีคุณสมบัติอะไรมาหยิ่งผยอง เจ๋อซิ่วเพิ่งจะอายุเท่าไหร่ เจ้าอายุเท่าไหร่ หลายปีก่อนเขาเพิ่งจะอายุเท่าไหร่ เจ้าเคยเอาชนะเขาได้มีอะไรน่าภูมิใจกัน เจ้าลองคิดดูว่าเมื่อก่อนตอนที่เจ้าอายุเท่านั้น จะสามารถเอาชนะหนึ่งในพวกข้าได้หรือเปล่า”

ครึ่งแรกของคำพูดประโยคนี้ ก็คือคำพูดที่เปี๋ยเทียนซินพูดกับพวกเขาก่อนหน้านี้ ในตอนนี้ถังซานสือลิ่วกลับย้อนคืนไปตามเดิม

“เป็นแปดมรสุมแล้ววางมาดได้อย่างมากหรือ ที่อื่นบางทีอาจจะให้เจ้าชี้นิ้วสั่งได้ แต่รบกวนให้เจ้าช่วยแหกตาให้กว้าง แล้วมองดูว่าที่นี่คือที่ไหน” เขาชี้ไปที่ประตูของสำนักฝึกหลวงที่ด้านหลังที่ถึงแม้จะผ่านไปปีหนึ่งแล้วก็ยังคงใหม่อยู่ แล้วพูดเย้ยหยันขึ้น “ที่นี่คือสำนักฝึกหลวง ที่นี่คือตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย ที่นี่คือซูหลี ที่นี่คือนิกายหลวง คือนักปราชญ์สามท่าน! เดิมทีข้าไม่ชอบหยิบเอาภูมิหลังอะไรมาใช้ เพราะว่าข้ารู้สึกว่าทำเช่นนั้นช่างดูเด็กน้อยอย่างมาก และดูน่าขายหน้า แต่ก็มีคนแบบเจ้าที่ชอบเอาเรื่องเหล่านี้มาใช้ ปัญหาคือ…เอาเรื่องนี้มาใช้ เจ้าสามารถเอามาพูดชนะพวกข้าได้หรือ”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของเปี๋ยเทียนซินก็ซีดขาวขึ้นมาอย่างมาก เพราะว่าเขาเพิ่งจะเข้าใจ คำพูดของอีกฝ่ายล้วนเป็นความจริง ผู้อาวุโสผู้นั้นคิดจะกดดันสำนักฝึกหลวงยังต้องรอบคอบทุกจังหวะ คอยระมัดระวัง ดูเหมือนว่า…ตนจะบุ่มบ่ามไปหน่อยแล้ว

แต่อย่างไรเขาก็เป็นคนในประกาศเซียวเหยา เป็นทายาทของมรสุมทั้งสอง ในตอนนี้ถูกคำพูดของถังซานสือลิ่วชุดเดียวบีบจนไม่มีทางให้ถอย เขาจะถอยกลับไปเช่นนี้ได้อย่างไร

ใบหน้าซีดขาว เพราะเขาเข้าใจแล้ว และก็เพราะเขารู้ว่าตนจะต้องมีการเคลื่อนไหวขึ้นมา ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงของตนกับครอบครัว เกรงว่าจะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง

มือขวาของเขาเลื่อนไปจับที่ด้ามกระบี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

เฉินฉางเซิงยืนอยู่หน้าถังซานสือลิ่ว มือขวาอยู่ห่างจากกระบี่ไร้ราคีเพียงระยะสั้นๆ โดยจ้องมองดวงตาของเขาเอาไว้อย่างมีสมาธิและสุขุมอย่างมาก โดยที่ไม่มีเจตนาจะถอยให้แม้แต่น้อย

เซวียนหยวนผ้อเองก็เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้แล้ว สายตาที่มองเปี๋ยเทียนซินก็ดุร้ายเป็นอย่างมาก ความซื่อตามปกติพลันถูกความบ้าคลั่งจากการเปลี่ยนร่างของเผ่าปีศาจเข้าแทนที่แล้ว

พวกเขาล้วนรู้ดี ถ้าหากเปี๋ยเทียนซินลงมือ เช่นนั้นจะต้องเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่สำนักฝึกหลวงเคยพบตั้งแต่ที่มีการประลองระหว่างสำนักมาอย่างแน่นอน

โดยเฉพาะถ้าเปี๋ยเทียนซินลงมือโดยมีเจตนาจะสังหารจริงๆ เช่นนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าจุดจบจะเป็นเช่นไรแล้ว

หน้าประตูสำนักฝึกหลวงเงียบเป็นเป่าสาก ผู้คนกระจายออกไปตั้งแต่แรกแล้ว บรรยากาศก็ตึงเครียดเป็นอย่างมาก

ถังซานสือลิ่วกลับไม่เป็นกังวลเลย เขาเดินออกมาจากด้านหลังของเฉินฉางเซิง มองดูเปี๋ยเทียนซินแล้วพูดขึ้น “เจ้าคิดให้ชัดเจน การลงมือตามอกตามใจที่นี่จะมีผลลัพธ์อย่างไร”

หลังจากนั้นเขาก็มองไปทางนักบวชพระราชวังหลีกับกองทัพนิกายหลวงเหล่านั้นแล้วตะโกนขึ้นมา “ยังจะนิ่งอยู่ทำไม ไม่เห็นหรือว่าใต้เท้าสังฆราชในอนาคตของพวกเจ้ากำลังจะถูกฆ่าแล้ว”

แน่นอนว่าคำพูดประโยคนี้จงใจตะโกนให้เปี๋ยเทียนซินได้ยิน

……

……

ตรงโต๊ะชาที่อยู่ด้านในอาคาร ผู้ที่นั่งอยู่ยังคงเป็นสองคนนั้น

“ช่างเด็กน้อยเสียจริง” เหมาชิวอวี่มองการเคลื่อนไหวของสำนักฝึกหลวงจากที่ไกลออกไปแล้วพูดขึ้น แต่กลับไม่รู้ว่ากำลังพูดถึงถังซานสือลิ่วหรือเปี๋ยเทียนซิน

เขาชัดเจนอย่างมาก บิดามารดาของเปี๋ยเทียนซินกับนักพรตซือหยวนและราชันย์แห่งหลิงไห่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันอย่างมาก ก็เหมือนกับความสัมพันธ์ของจูลั่วและกวนซิงเค่อกับใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซาผู้จากไปแล้ว เขาเองก็ชัดเจนอย่างมาก เปี๋ยเทียนซินถูกผู้คนขนานนามว่าผู้อ่านใจคน ที่จริงสรุปแล้วก็เป็นเพียงคุณชายที่ถูกตามใจจนเสียนิสัยก็แค่นั้น ไม่เช่นนั้นก่อนที่เขาจะออกหน้า ทำไมถึงนึกไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มของสำนักฝึกหลวงเหล่านี้ล้วนไม่ใช่คนที่เขาจะล่วงเกินได้

“พาเขาไปเถอะ” เหมาชิวอวี่มองนักพรตซือหยวนที่อยู่ตรงข้ามแล้วพูดขึ้น “ตอนนั้นพ่อแม่ของเขาฝากเขาไว้กับมือเจ้า เจ้าคงไม่สามารถมองดูเขาเกิดเรื่องได้หรอก”

สีหน้าของนักพรตซือหยวนค่อนข้างจะดูไม่ได้ แต่เขาไม่ได้พูดอะไร ลุกขึ้นยืนและก็เดินออกจากโรงน้ำชาไป

เหมาชิวอวี่มองไปที่ทางสำนักฝึกหลวงอีกครั้ง ส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น “ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ นิสัยก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลย มิน่าถึงเทียบกับกวนไป๋ไม่ได้มาโดยตลอด”

……

……

เปี๋ยเทียนซินจากไปแล้ว

สำนักฝึกหลวงได้รับชัยชนะในการประลองครั้งนี้

ในสายตาของคนจำนวนมาก การประลองครั้งนี้ช่างเด็กน้อยน่าขัน เทียบกับเด็กที่ทำเรื่องเหลวไหลก็ยังเหลวไหลยิ่งกว่า แต่ในสายตาของคนที่รู้ภูมิหลังของเปี๋ยเทียนซินเหล่านั้น การประลองที่ดูเหมือนเด็กน้อยน่าขันนี้ที่จริงแล้วกลับอธิบายเรื่องราวมามากมาย

สำนักฝึกหลวงได้พิสูจน์ภูมิหลังที่แข็งแกร่งกับอำนาจที่ซ่อนอยู่ของตนให้กับทั่วทั้งจิงตู อีกทั้งยังทำสำเร็จแล้ว ใช่ ต่อให้นำองค์หญิงลั่วลั่วที่เป็นตัวแทนของเมืองไป๋ตี้วางเอาไว้ด้านข้าง แต่พูดเพียงแค่ความสนใจของใต้เท้าสังฆราช และยังมีความสัมพันธ์ของเฉินฉางเซิงกับซูหลี นอกจากการประลองระหว่างสำนักที่เป็นวิธีการที่อยู่ในกฎ ใครยังจะกล้ากดดันสำนักฝึกหลวงด้วยวิธีการนอกกฎอีก

พวกนักเรียนที่มาจากเมืองภายนอกเหล่านั้น ตอนแรกสุดยังไม่รู้ถึงความเป็นมาของเปี๋ยเทียนซินหลังจากที่รู้แล้ว ก็ต่างนับถือต่อการแสดงออกอย่างแข็งกร้าวของถังซานสือลิ่วจนแทบจะหมอบราบกับพื้น และมีความรู้ใหม่ทั้งหมดต่อสำนักฝึกหลวง ดังนั้นการสมัครที่เมื่อครู่หยุดชะงักไป ก็เปลี่ยนเป็นร้อนแรงขึ้นมาในทันที นักเรียนหนุ่มสาวบางส่วนที่ก่อนหน้านี้เก็บใบสมัครกลับมา ก็อาศัยตอนที่ไม่มีใครสังเกต วางแผนจะยื่นใบสมัครใหม่ แต่ไหนเลยจะสามารถปิดบังสายตาของถังซานสือลิ่วไปได้ จึงถูกเขาไล่ไปอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด

เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “เข้มงวดเกินไปแล้ว”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ดวงตาของข้าไม่เคยยอมให้มีเม็ดทราย แม้แต่เปี๋ยเทียนซินข้ายังยอมไม่ได้ ทำไมข้าจะต้องทนเจ้าคนเหล่านี้ด้วย”

เฉินฉางเซิงมีข้อสงสัยมากมายกับสหายผู้นี้จริงๆ เขาจึงถามขึ้น “ตั้งแต่เล็กเจ้าก็เป็นคนเช่นนี้หรือ”

ถังซานสือลิ่วตอบอย่างเป็นเหตุเป็นผล “ถ้าหากเบื้องหลังข้ามีเพียงแค่ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย การจะเผชิญหน้ากับแปดมรสุมทั้งสองคน แน่นอนว่าจะต้องครุ่นคิดสักหน่อย ไม่แน่ว่าข้าอาจจะอดทนไปก่อน แต่ในตอนนี้ไม่ใช่ว่ามีเจ้าอยู่หรือ”

เฉินฉางเซิงถูกเหตุผลของเขาทำเอาพูดไม่ออก หลังจากที่นิ่งเงียบไปนาน ก็พูดขึ้น “เมื่อก่อนก็เคยพูดไว้แล้ว การด่าด้วยคำหยาบนั้นไม่ดี เจ้าควรจะควบคุมสักหน่อย”

ถังซานสือลิ่วเลิกคิ้วพลางพูดขึ้น “มีอะไรไม่ดี มันสดชื่นจะตายไป”

เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ความโกรธทำร้ายตับ อีกอย่างเอ่ยคำหยาบเหล่านี้ให้พวกเพื่อนตัวน้อยได้ยินมันไม่ดี มีคนจำนวนมากเริ่มจะมีข้อคิดเห็นแล้ว”