ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 52 กระบี่ที่ออกจากปาก (1)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

สำนักฝึกหลวงเริ่มรับนักเรียนใหม่เป็นเวลาหนึ่งวัน และก็รับเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น ก็มีถึงหกร้อยคนที่เข้ามาสมัคร

กองทัพของนิกายหลวงคอยคุ้มกันอยู่รอบสำนัก นักบวชของพระราชวังหลีรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย สำนักการศึกษากลางเป็นผู้ตั้งคำถามด้วยตัวเอง อาจารย์ซินดูแลภาพรวมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการสมัครหรือการดำเนินการสอบในวันที่สองก็ราบรื่นเป็นอย่างมาก

นอกจากผลของคะแนนสอบแล้ว นักเรียนใหม่ที่อยากจะเข้าสำนักฝึกหลวงก็ยังต้องผ่านเกณฑ์อีกสองอย่าง หนึ่งถือการตรวจสอบสถานะ ในข้อนี้มีสำนักการศึกษากลางเป็นผู้รับผิดชอบเป็นหลัก มีพระราชวังหลีออกหน้า อยากจะตรวจสอบเบื้องหลังของผู้สอบเหล่านั้นให้ชัดเจนก็เป็นเรื่องที่แสนง่ายดาย สุดท้ายก็มีหกคนที่ถูกถอนสิทธิ์ ด่านที่สองคือการสอบสัมภาษณ์ โดยมีเฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วรับผิดชอบด้วยตัวเอง ส่วนเซวียนหยวนผ้อไม่ได้มีความสนใจในด้านนี้เลยสักนิด พูดได้ว่าเขาอยู่ข้างกายพ่อครัวใหญ่ของหอเฉิงหูไม่ยอมห่างเลย

เนื้อหาในการสอบสัมภาษณ์ก็ง่ายดายอย่างมาก ก็แค่พบหน้า หลังจากนั้นก็พูดคุยกัน เกณฑ์มาตรฐานของเฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วก็แสนเรียบง่าย ก็แค่มองพฤติกรรมการพูดจาของผู้สอบ แน่นอน ที่สำคัญที่สุดก็คือมองแล้วรื่นหูรื่นตา…มองดูเงาร่างของพวกผู้สอบที่ถูกคัดออกจากการสอบสัมภาษณ์ เฉินฉางเซิงคิดว่าเมื่อปีก่อนตนก็เป็นหนึ่งในผู้สอบเหล่านี้ คิดว่าตนแม้แต่การสมัครสอบเข้าสำนักไม้เลื้อยต่างๆ ก็ยังถูกจวนขุนพลเทพตงอวี้เล่นเล่ห์เพทุบาย จึงอดไม่ได้ที่จะปลงอนิจจังต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ตนถึงกับเปลี่ยนจากผู้สอบเป็นผู้คุมสอบเสียแล้ว แอบรู้สึกทนไม่ได้อยู่บ้าง

มีผู้สอบหนึ่งร้อยคนที่ผ่านการสอบทั้งสามอย่างนี้ นี่ก็คือนักเรียนใหม่ที่สำนักฝึกหลวงรับมาในปีนี้ ที่เหนือความคาดหมายอยู่บ้างก็คือ ระดับของนักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวงเหล่านี้ไม่เลวเลยทีเดียว ถึงแม้พวกเขาเหล่านี้จะมาจากเมืองที่ห่างไกล แต่ทั้งหมดก็ชำระกระดูกสำเร็จแล้ว ยังมีสี่สิบกว่าคนที่อยู่ในขั้นถอดจิตขั้นต้น เฉินฉางเซิงถึงขนาดพบว่ามีนักเรียนหลายคนที่มีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรไม่เลวเลย ที่ทำให้คนตกตะลึงก็คือ ในหนึ่งร้อยคนนี้ถึงกับมีอยู่ยี่สิบกว่าคนที่ย้ายมาจากสำนักอื่น

ในเมื่อตกตะลึง ที่พูดถึงในที่นี้ว่าย้ายมาจากสำนักอื่น ก็แน่นอนว่าไม่ใช่สำนักทั่วไปในจิงตู แต่หมายถึงสำนักเทียนเต้า หอจงซื่อ และพวกสำนักที่นับเป็นสำนักไม้เลื้อยเหมือนกับสำนักฝึกหลวง

มองดูรายชื่อเหล่านั้น อาจารย์ซินค่อนข้างจะกังวลว่าอาจจะเกิดปัญหาขึ้นมา และก่อให้เกิดความวุ่นวายอะไรขึ้น

“นักเรียนเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในขั้นถอดจิตขั้นต้น เมื่อเทียบกับนักเรียนที่มาจากชนบทก็แน่นอนว่าไม่เลว แต่ในสำนักเทียนเต้ากลับไม่นับว่าเป็นอะไร แน่นอนว่าต้องไม่ได้รับความสำคัญ ดังนั้นถึงได้คิดจะย้ายสำนักมาที่พวกข้านี่” ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ในเมื่อเดิมทีก็ไม่ได้รับความสำคัญ สำนักเดิมของพวกเขาก็ไม่น่าสนใจ”

“แต่เกรงว่า…อาหารที่ถูกแย่งไปจะทำให้รู้สึกว่าน่ากิน” อาจารย์ซินกลืนคำพูดที่ไม่ค่อยน่าฟังลงไปอย่างยากลำบาก แล้วพูดขึ้น “อีกทั้งในช่วงนี้เดิมทีสถานการณ์ก็ค่อนข้างจะตึงเครียดอยู่”

“ที่เรียกว่าการประลองระหว่างสำนัก ที่จริงก็เป็นเพียงตระกูลเทียนไห่ที่อาศัยอำนาจกดดันคน ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับตัวของแต่ละสำนักมากนัก”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “พูดอีกอย่าง เฉินฉางเซิงเป็นใต้เท้าสังฆราชในอนาคต หกสำนักไม้เลื้อยต้องตกอยู่ในการดูแลของเขา การขอนักเรียนไม่กี่คนก่อนล่วงหน้า จะมีอะไรที่ไม่ได้กัน”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ นึกถึงเรื่องเมื่อวานที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวง ถังซานสือลิ่วชี้หน้าเปี๋ยเทียนซินด่าทอแปดมรสุมทั้งสองคน อาจารย์ซินก็รู้ว่าเขาไม่ได้สนใจจริงๆ จึงส่ายหน้าแล้วไม่พูดขึ้นอีก

นักเรียนใหม่ที่รับมาแน่นอนว่าไม่ใช่การสอบง่ายๆ เช่นนี้

หลายวันต่อมา สำนักฝึกหลวงพลันเปลี่ยนเป็นคึกคักอย่างหาใดเปรียบ สำนักการศึกษากลางได้ส่งช่างมาหลายคน และเปลี่ยนสวนของสำนักที่เดิมทีแสนจะเงียบเหงาให้กลายเป็นสถานที่ทำงานอันคึกคัก ยังดีที่ฤดูใบไม้ผลิเมื่อปีก่อน ตรงนี้ได้ทำการซ่อมแซมไปแล้วครั้งหนึ่ง มีการสร้างพื้นฐานเอาไว้แล้ว ดังนั้นในเวลาอันสั้น การซ่อมแซมทั้งหมดก็จบลงอย่างราบรื่น

ในสำนักฝึกหลวงมีพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ขนาดใหญ่ ไม่จำเป็นต้องนำมาใช้ทั้งหมด เพียงแค่นำมาใช้ส่วนเล็กๆ เท่านั้น ก็เพียงพอที่จะรับนักเรียนใหม่ที่เพิ่งรับมาทั้งหนึ่งร้อยคนแล้ว พวกเฉินฉางเซิงคุ้นเคยกับการพักที่อาคารหลังเล็กแล้ว ยังมีป่ากับทะเลสาบแถบนั้นที่มีความหมายพิเศษสำหรับพวกเขา ซึ่งถูกกำแพงสำนักแนวใหม่ขวางกั้นเอาไว้ จึงยังคงรักษาความโดดเดี่ยวเอาไว้ คิดว่าในภายหลังก็ไม่น่าจะมีเสียงดังวุ่นวายเกินไป

ในหอตำรามีค่ายกลอยู่ หนังสือเหล่านั้นก็ไม่ง่ายต่อการเคลื่อนย้าย ดังนั้นจึงถูกทิ้งไว้ที่ด้านนอก และเปิดไว้ให้นักเรียนทั้งหมด

สวนป่าที่ถูกแบ่งออกมาซึ่งอยู่ติดกับสวนร้อยหญ้าและพระราชวังผืนนั้น ในตอนนี้ได้มีชื่อใหม่ขึ้นมาแล้ว เรียกว่าสวนเปี๋ย

ครั้งแรกที่อาจารย์ซินได้ยินชื่อนี้ก็อดไม่ได้ที่จะอยากถามว่า ชื่อนี้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเปี๋ยเทียนซินที่หน้าม่อยคอตกจากไปในวันนั้นหรือไม่

เครื่องนอนชุดใหม่ถูกส่งมาแล้ว อุปกรณ์การสอนที่นิกายหลวงกำหนดไว้ชุดใหม่ก็ถูกส่งเข้ามาแล้ว ชุดเครื่องแบบสำนักชุดใหม่ก็ถูกส่งมาถึงมือของเหล่านักเรียนใหม่แล้ว โรงอาหารมีควันลอยออกมา น้ำพุพ่นน้ำขึ้นไปสู่ท้องฟ้า เพื่อให้ค่ำคืนในฤดูร้อนที่อบอ้าวเย็นสบายขึ้นมา เรื่องทั้งหมดถูกเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว เหล่านักเรียนใหม่ทั้งกังวลและตื่นเต้นในการรอคอยวันที่จะได้เรียนอย่างเป็นทางการ

พรุ่งนี้ ทางสำนักการศึกษากลางจะส่งพวกอาจารย์ที่หลายวันมานี้เลือกเอาไว้มา ในเวลาเดียวกันกับที่ส่งมา ก็ยังมีเงินค่าใช้จ่ายจำนวนมากส่งมาให้ด้วย

ในตอนกลางคืน เฉินฉางเซิงเดินรอบสำนักฝึกหลวงไปรอบหนึ่ง มองดูว่าที่ไหนยังมีอะไรไม่เรียบร้อยอีก ด้วยเหตุนี้ถึงเพิ่งจะพบว่าที่แท้สำนักฝึกหลวงก็ใหญ่โตถึงขนาดนี้ ตนอยู่ที่นี่มาหนึ่งปีเต็ม ถึงกับอยู่เพียงแค่หนึ่งในสิบของสถานที่ทั้งหมดมาโดยตลอด

มองดูหอตำราที่จุดโคมไฟไว้สว่างไสว มองผ่านหน้าต่างไปเห็นเหล่านักเรียนที่อ่านคัมภีร์ของสำนักฝึกหลวงอย่างเต็มไปด้วยความปรารถนา เขาก็รู้สึกดีมาก

อาจารย์ของเขาเป็นเจ้าสำนักคนก่อนของสำนักฝึกหลวง เขาก็เป็นเจ้าสำนักคนปัจจุบันของสำนักฝึกหลวง

สำนักฝึกหลวงในมืออาจารย์ของเขานั้นรกร้าง ตอนนี้ดูแล้ว ก็จะเริ่มต้นใหม่ในมือของเขาอย่างแท้จริง

ความรู้สึกเช่นนี้ช่างดีมากจริงๆ ถึงแม้จนถึงตอนนี้เขาจะยังไม่เข้าใจว่าทำไมถังซานสือลิ่วถึงทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาก็ตาม

เมื่อกลับมาถึงอาคารหลังเล็ก หลังจากที่ทำการรักษาให้เจ๋อซิ่ว เขากับถังซานสือลิ่วก็ตรวจสอบรายชื่อนักเรียนใหม่ในใบรายชื่อเป็นครั้งสุดท้าย และคาดไม่ถึงว่ากลับได้พบชื่อที่แสนจะคุ้นเคยอย่างมากชื่อหนึ่ง จึงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

“เขาเคยมาด้วยหรือ” เฉินฉางเซิงชี้ไปที่ชื่อนั้น มองถังซานสือลิ่วแล้วถามขึ้น

“ข้าเองก็ไม่ได้เห็นเขา ได้ยินว่าในตอนนี้เขายังอยู่ในสุสานเทียนซู และเขาให้ศิษย์น้องจากสำนักจวนราชวังหลีผู้หนึ่งมาสมัครแทนเขา”

ถังซานสือลิ่วถามขึ้น “ถ้าเจ้ารู้สึกว่าไม่เหมาะสม ข้าจะให้คนฝากคำพูดไป ให้เขาไม่ต้องมาก็ได้แล้ว”

เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “นักเรียนที่ย้ายมาคนอื่นก็แล้วไป ถ้าเขาจะมาจริงๆ ทางสำนักจวนราชวังหลีไม่มีทางยอมอย่างแน่นอน”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ก็ไม่ใช่พวกเราที่ไปขอร้องให้เขามา เจ้าจะไปสนใจมากมายขนาดนั้นทำไม”

เฉินฉางเซิงคิดแล้วก็ว่าใช่ จะเปลี่ยนเรื่องถามขึ้น “ทางด้านเปี๋ยเทียนซินนั้นจะทำอย่างไร”

พวกเขาล้วนชัดเจนดี วันนั้นเปี๋ยเทียนซินถูกลบหลู่ไปขนาดนั้น จะต้องเก็บความโกรธนี้ไว้ ในการประลองจะต้องหาทางเอาคืนแน่

ถังซานสือลิ่วชี้ไปที่กองสาสน์ท้าประลองที่อยู่บนชั้นหนังสือ แล้วพูดขึ้น “ในตอนนี้มีการประลองหนึ่งร้อยสามสิบสี่รอบรอพวกเราอยู่ มีเหาอยู่มากแล้วยังจะกลัวคันอะไร”

“ตระกูลเทียนไห่ไปเอายอดฝีมือจำนวนมากขนาดนี้มาจากไหน” เฉินฉางเซิงค่อนข้างไม่เข้าใจ ในใจคิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่งจำนวนมากขนาดนี้รับคำสั่งจากตระกูลเทียนไห่ ไม่ใช่ว่าสามารถทำลายแคว้นได้เลยหรือ

“ถ้าหากเป็นแคว้นเล็กๆ ทางตะวันตกเฉียงเหนือเหล่านั้น ตระกูลเทียนไห่แค่โบกมือก็สามารถทำลายได้แล้ว แต่ถ้าหากมองไปทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ ที่จริงก็ไม่ถือว่าเกินไปนัก พรรคกระบี่เขาหลีซานก็สามารถส่งคนจำนวนมากขนาดนี้ออกมาได้อย่างแน่นอน” ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “อีกทั้งในตอนนี้ก็น่าจะใกล้เคียงแล้ว คิดว่าหลังจากรับมือชุดนี้ไปแล้ว ก็จะต้องหยุดไปอีกพักใหญ่”

เฉินฉางเซิงถามขึ้น “พวกเราสามารถรับมือได้หรือ”

“แน่นอนว่าไม่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าในนั้นยังมีผู้แข็งแกร่งที่เหมือนกับเปี๋ยเทียนซินอีก” ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ไม่เช่นนั้นพวกเราจะรับนักเรียนใหม่จำนวนมากขนาดนี้มาทำไม”

เฉินฉางเซิงลองคิดดู แล้วพูดขึ้น “ทางที่ดีที่สุดคือไม่ต้องสู้ ข้ากังวลว่าจะเกิดความเสียหาย”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ไม่เคยผ่านการต่อสู้ จะสามารถเติบโตอย่างรวดเร็วได้อย่างไร เดิมทีพื้นฐานของพวกเขาก็แย่อยู่แล้ว ก็สมเหตุสมผลที่จะยิ่งต้องขยัน อีกอย่างเรื่องนี้ที่สำคัญก็ยังต้องดูที่เจ้า”

เมื่อพูดประโยคนี้จบ พวกเขาทั้งสองคนก็หอบเอาสาสน์ท้าประลองบนชั้นหนังสือลงมา หลังจากนั้นก็วางบนพื้นและเริ่มจัดแยกประเภท เฉินฉางเซิงเริ่มการคำนวณการอนุมานอย่างจริงจัง ถังซานสือลิ่วคอยจดบันทึกอยู่ที่ด้านข้าง ก่อนอื่นพวกเขาเริ่มเลือกผู้ที่อยู่ในขั้นทะลวงอเวจีลงมาทั้งหมด หลังจากนั้นก็ให้เฉินฉางเซิงเลือกนักเรียนที่จะออกไปรับมือ ส่วนเรื่องที่จะเลือกอย่างไร ทำไมถึงได้เลือกเช่นนั้น ถังซานสือลิ่วเองก็ไม่เข้าใจ ก็อย่างที่เขาพูดเช่นนั้น เรื่องนี้ที่สำคัญจะต้องดูที่เฉินฉางเซิง เพราะว่ามีเพียงเขาที่ใช้เพลงกระบี่รอบรู้ได้

เรื่องที่เฉินฉางเซิงกำลังทำในตอนนี้ ก็คือการทำให้การประลองระหว่างสำนักจำนวนร้อยกว่ารอบนี้ให้กลายเป็นการประลองเพียงรอบเดียว

กระบี่ของเขาก็คือนักเรียนใหม่ทั้งหมดที่อยู่ภายในสำนักฝึกหลวง

นักเรียนใหม่เหล่านั้นจะต่อสู้อย่างไร ก็ต้องดูว่าเพลงกระบี่ของเขาเป็นอย่างไร

เมื่อมองดูเฉินฉางเซิงกำลังคำนวณอย่างมีสมาธิ อยู่ๆ ถังซานสือลิ่วก็พูดปลงอนิจจังขึ้นมา “เจ้าช่างโชคดีเสียจริง”

นี่ไม่ใช่คนแรกที่พูดว่าเฉินฉางเซิงโชคดี และก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถังซานสือลิ่วพูดว่าเขาโชคดี

เฉินฉางเซิงรู้ว่าถังซานสือลิ่วกำลังปลงอนิจจังในชะตากรรมที่ตนได้ประสบพบเจอ การที่ได้พบสระกระบี่ในสวนโจว ได้ต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งเผ่ามารเหล่านั้น ได้พบกับซูหลี ได้เคียงข้างกันกลับใต้ และได้เรียนรู้เพลงกระบี่ทั้งสามนั่น เขาส่ายหน้า และนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน จึงเงยหน้ามองถังซานสือลิ่วแล้วพูดขึ้น “เจ้าอยากเรียนไหม”

แน่นอนว่านี่หมายถึงเพลงกระบี่ทั้งสามนั่น

อย่างไรเสียในตอนแรกที่ซูหลีสอนเพลงกระบี่ทั้งสามนี้ให้กับเขาในระหว่างทาง ก็ไม่เคยพูดว่าไม่สามารถถ่ายทอดให้กับผู้อื่น

เขาถึงขนาดที่คิดเอาไว้ว่าจะนำเพลงกระบี่ทั้งสามมาจัดให้อยู่ในวิชาบังคับที่สำนักฝึกหลวงต้องเรียนดีหรือไม่

ส่วนเรื่องที่หากซูหลีรู้เข้าแล้วจะโมโหหรือไม่ อย่างไรก็เป็นเรื่องในภายหลัง…

ถังซานสือลิ่วไม่ได้เผยสีหน้าตกตะลึงดีใจออกมา และก็ไม่ได้ตื่นเต้น แต่มองเขาราวกับกำลังมองคนปัญญาอ่อน

เฉินฉางเซิงถามขึ้นอย่างไม่ค่อยสงบ “ทำไมหรือ มีตรงไหนที่ข้าพูดผิดไปหรือ”

ถังซานสือลิ่วถอนหายใจ แล้วพูดขึ้น “ถ้าไม่ใช่ว่าข้าสนิทกับเจ้า ข้าจะต้องคิดว่าเจ้ากำลังจงใจดูหมิ่นข้าอยู่เป็นแน่”

เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าตนถูกใส่ร้ายอย่างมาก ในใจคิดว่าความปรารถนาดีของตน ทำไมถึงได้กลายเป็นการดูหมิ่นไปได้เล่า

“ข้าเรียนเพลงกระบี่สามอย่างนี้ไม่ได้” ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง “ดังนั้นภายหลังได้โปรดอย่าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาดูหมิ่นสติปัญญาของข้าอีก เข้าใจหรือยัง”

เฉินฉางเซิงเบิกตาขึ้นจนโต แล้วถามขึ้น “ทำไมถึงเรียนไม่ได้”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นอย่างโมโห “ข้ารับไม่ได้กับสีหน้าไร้ความผิดนี้ของเจ้า! ทำไมถึงเรียนไม่ได้ เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร เจ้ารู้สึกว่าสิ่งที่เจ้าเรียนรู้ได้ ทุกคนในแผ่นดินก็จะสามารถเรียนได้หรือ เช่นนั้นทำไมทั้งชีวิตของซูหลีนี้ถึงเคยสอนเพียงแค่พวกเจ้าสามคน นอกจากเจ้ากับชิวซานจวิน ยังมีอีกคนหนึ่งซึ่งก็คือลูกสาวของเขา ทำไมเขาถึงไม่ไปสอนศิษย์ที่อยู่ในพรรคกระบี่เขาหลีซานเล่า”

ในตอนนี้เอง เจ๋อซิ่วที่นอนอยู่บนเตียงพลันลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน โดยไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด

ถังซานสือลิ่วในตอนนี้อารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก จึงมองเขาแล้วตะโกนขึ้นมา “ได้ยินชื่อของนางเจ้าก็รู้จักตื่นขึ้นมาแล้ว ไม่แกล้งตายแล้วหรือ หมาป่าหื่นกาม!”

เจ๋อซิ่วคิดดู แล้วพูดขึ้น “รอข้าหายดี ข้าจะมาซัดเจ้า”

ถังซานสือลิ่วเองก็ไม่กลัวเขา จึงพูดเย้ยหยันขึ้น “เช่นนั้นถ้าเจ้ามีปัญญาก็รีบเข้านะ! อย่าพูดจาไร้ประโยชน์เช่นนั้นให้มาก ข้าคุยธุระกับเฉินฉางเซิง เจ้าก็นอนของเจ้าไป”

เจ๋อซิ่วเองก็เด็ดขาด หยิบยกและปล่อยวางไปได้ เมื่อเห็นพวกเขาไม่ได้พูดถึงชีเจียน ก็หลับตาพักผ่อนต่อไปจริงๆ แล้ว