ตอนที่ 117-3 ต้องการถูกทรมาน ข้าจะสนองให้พวกเจ้าเอง

จำนนรักชายาตัวร้าย

ทหารคนหนึ่งก็ฮึกเหิมขึ้นทันที 

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนเป็นถึงจอมเทวา มีโอกาสได้ศึกษาจากจอมเทวา นับเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนัก 

 

 

ดังนั้น การทรมานคนโดยไร้ซึ่งความปรานีกำลังเริ่มต้นขึ้นที่ลานฝึกวรยุทธ์ จวนจงอี้โหวแห่งนี้นี่เอง 

 

 

“สวรรค์!” 

 

 

ครั้นเมื่อเห็นอวี้เชียนเสวี่ยถูกซย่าโหวฉิงเทียนทุ่มลงไปบนพื้น มู่เหนียนซีก็ตื่นตระหนกตกใจจนต้องยกมือทาบอก 

 

 

“เสี่ยอวี้ หลินเจียงอ๋องเ**้ยมจริงๆ …” 

 

 

มู่เหนียนซีเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับซย่าโหวฉิงเทียนมาบ้าง แต่ทว่านางกลับไม่เชื่อเสียงลือเสียงเล่าอ้างเหล่านั้นแม้แต่น้อย ในสายตาของนาง ท่านอ๋องหนุ่มเพียงแต่มีรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลา ติดจะเย็นชาไปบ้าง  

 

 

มิได้โหดเ**้ยมทารุณอย่างที่เขาเล่าลือกันแต่อย่างใด 

 

 

จวบจนกระทั่งได้เห็นซย่าโหวฉิงเทียนจัดการนักรบขั้นอ๋องจนหมอบราบคาบแก้วในกระบวนท่าเดียวในวันนี้ มู่เหนียนซีจึงเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตนเองนั้นมีตาหามีแววไม่ นางช่างไร้เดียงสาเสียเหลือเกิน 

 

 

ชื่อเสียงแห่งความโหดร้ายของซย่าโหวฉิงเทียน สมคำร่ำลือจริงๆ! 

 

 

ภายในเวลาหนึ่งก้านธูป ทหารหนึ่งร้อยคนก็ลงไปนอนหมอบอยู่บนพื้นเรียบร้อย แต่ละคนกอดแข้งกุมขา ร้องโอดโอย 

 

 

ตรงกันข้ามซย่าโหวฉิงเทียนกลับเสื้อผ้าสะอาดเรียบกริบ ไม่มีแม้แต่เศษฝุ่นเกาะเลยสักนิดเดียว 

 

 

“อ่อนหัดจริงๆ ด้วย…” 

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนเหลือบมองไปที่อวี้เชียนเสวี่ยเอ่ยว่า 

 

 

“ท่าน ย่อเข่าไม่มั่นคง แรงที่เท้าซ้ายไม่เพียงพอ ไม่ได้ฝึกซ้อมจนเป็นนิสัย สบายจนเคยตัว” 

 

 

ได้ยินดังนั้น อวี้เชียนเสวี่ยก็โมโหหน้าดำหน้าแดงจนแทบกระอักเลือด 

 

 

จี้ใดดำ โดยไม่ปรานี! 

 

 

“ท่านแม่ทัพน้อย ท่านก็มีวันนี้กับเขาเช่นกัน…” 

 

 

หลี่เอ้อร์เต๋อที่นอนหมอบอยู่บนพื้น หัวเราะออกมาด้วยความใสซื่อ 

 

 

“เจ้าก็ไม่ได้ดีไม่กว่าเขาสักเท่าไหร่นักหรอก! เรี่ยวแรงมีน้อยนิด ไม่ได้กินข้าวหรืออย่างไร” 

 

 

คราวนี้ ทำเอาหลี่เอ้อร์เต๋อรีบหุบปากแทบไม่ทัน 

 

 

ซย่าโหวฉิงมีความจำดีเยี่ยม แต่ละคนมีปัญหาอะไรเขาก็จะชี้แจงออกมาโดยไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย ทำให้ทุกคนยอมรับนับถือทั้งกายและใจ 

 

 

สุดท้าย หลี่เอ้อร์เต๋อนวดบริเวณแขนที่เคล็ดขัดยอกไปพลางจ้องมองซย่าโหวฉิงเทียนด้วยสายตานับถือ 

 

 

“ข้าจะต้องพยายามให้มากกว่านี้ จะได้ตามท่านอ๋องได้ทันในเร็ววัน!” 

 

 

เหลือบมองหลี่เอ้อร์เต๋อผู้โง่เขลา ซย่าโหวฉิงเทียนก็ ‘เฮอะ’ แสดงอาการดูแคลนออกมาชัดเจน 

 

 

“ข้าใช้เพียงนิ้วเดียวก็บี้เจ้าให้ตายได้แล้ว จะตามให้ทันข้า ฝันไปเสียเถอะ!” 

 

 

“อ๋อย…” 

 

 

หลี่เอ้อร์เต๋อโดนพูดโจมตีทรุดลงบนพื้น น้ำตาไหลอาบแก้ม 

 

 

ท่านอ๋อง ท่านจะจริงจังไปไย 

 

 

ท่านอ๋องโจมตีข้า ไม่มีละเว้นสงสารเลยหรือ ! 

 

 

ท่านไม่รู้หรือว่าข้าน้อยก็มีหัวใจที่บอบบางราวกระจกใสดวงหนึ่ง 

 

 

ถึงแม้ซย่าโหวฉิงเทียนจะพูดจาขวานผ่าซากไม่ถนอมน้ำใจ แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าสิ่งที่เขาพูดมานั้นเป็นเรื่องจริง 

 

 

ไม่ใช้พลังวิเศษก็สามารถล้มทุกคนลงได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จอมเทวดาธรรมดาจะสามารถทำได้แล้วกระมัง! 

 

 

พละกำลังความสามารถของกองกำลังสกุลอวี้ แม้แต่อวี้จิงเหลยก็ยังชื่นชมไม่ขาดปาก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าซย่าโหวฉิงเทียน กลับถูกเขาทำลายลงไปทีละทีละขั้น ทำให้พวกเขาไม่สามารถพลิกกลับฟื้นตัวได้เลย จึงไม่ต้องพูดถึงการโจมตีโต้กลับเลยด้วยซ้ำ พวกเขาราวกับเป็นมดตัวเล็กๆ ที่มาชนช้าง รอวันให้ถูกเหยียบตายเท่านั้น 

 

 

ชายผู้นี้…น่าหวาดกลัวจริงเชียว! 

 

 

“ท่านพ่อ ท่านคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วว่ามันต้องลงเอยเช่นนี้ใช่หรือไม่” 

 

 

อวี้เชียนเสวี่ยลากเอาขาสั่นๆ มาที่ตรงหน้าอวี้จิงเหลยที่กำลังยิ้มปริ่ม 

 

 

“ท่านพ่อก็ถูกเขาเล่นงานจนเละเหมือนกันใช่หรือไม่!” 

 

 

“แค่กๆ…” 

 

 

อวี้จิงเหลยรีบหุบยิ้มแล้วปรับสีหน้าให้จริงจัง เป็นการเป็นงาน 

 

 

“พูดจาเหลวไหล! ข้ากับหลานเขยเพียงแต่แลกเปลี่ยนความรู้เรื่องของวรยุทธ์อย่างเป็นมิตรกันเท่านั้นเอง!” 

 

 

แลกเปลี่ยนความรู้เรื่องของวรยุทธ์อย่างเป็นมิตร… 

 

 

อวี้เชียนเสวี่ยไหนเลยจะเชื่อคำพูดเหลวไหลทั้งเพนี้ได้! 

 

 

เมื่อครู่ท่านพ่อไม่ห้ามปรามเขามิให้ท้าทายซย่าโหวฉิงเทียนเลยสักนิด ท่านจะต้องเจตนาเพื่อต้องการเห็นพวกเขาถูกสั่งสอนเป็นแน่! 

 

 

ตัวเองก็ถูกซย่าโหวฉิงเทียนเล่นงานมา จึงเจตนาให้พวกเขาโดนบ้าง 

 

 

นี่ใช่เรื่องที่พ่อแท้ๆ ควรจะกระทำหรือ 

 

 

“เชียนเสวี่ยเอ้ย…” 

 

 

อวี้จิงเหลยตบบ่าของลูกชาย แล้วกล่าวด้วยความหวังดีว่า 

 

 

“เจ้ายังห่างไกลจากท่านอ๋องมากนัก! เจ้าหนุ่มอายุน้อยกว่าก้าวล้ำหน้าไปไกลกว่าถึงเพียงนี้ เจ้าไม่รู้สึกอายบ้างหรือ 

 

 

กำลังจะเป็นพ่อคนอยู่แล้ว! อย่างน้อยก็ต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่างสิ ถูกไหม!” 

 

 

กล่าวจบอวี้จิงเหลยก็ลุกยืนขึ้น โบกไม้โบกมือให้กับเหล่าทหารเอ่ยว่า 

 

 

“เห็นทีว่า การฝึกซ้อมของพวกเจ้าจะไม่เพียงพอ นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ให้ฝึกเพิ่มเป็นเท่าตัว” 

 

 

“ไม่จริงใช่ไหม…” 

 

 

เสียงร้องโอดครวญดังขึ้นจากทั่วสารทิศ 

 

 

‘ท่านแม่ทัพ จะเห็นใจพวกเราสักหน่อยไม่ได้หรือขอรับ!” 

 

 

ถูกหลินเจียงอ๋องเล่นงานจนสะบักสะบอมไปทั้งร่าง จิตใจก็ถูกเขาซ้ำเติมอย่างที่สุด พกวเรายังมิทันได้หามุมไปพักเลียแผลเลยด้วยซ้ำนะ! 

 

 

“สามเท่า!” 

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนเอ่ยขึ้นพร้อมกับชูสามนิ้ว 

 

 

“พวกเขายังอ่อนหัดอยู่มากนัก!” 

 

 

“อัก…”  

 

 

ทุกคนรวมทั้งอวี้เชียนเสวี่ยด้วยกระอักเลือดออกมาพร้อมๆ กัน 

 

 

ท่านอ๋อง ท่านอย่าแทงพวกเราเพิ่มจะได้ไหม! 

 

 

หลานเขยเอ่ยปาก แน่นอนว่าอวี้จิงเหลยย่อมต้องยินดี 

 

 

“ดี! เอาตามที่ท่านอ๋องบอก สามเท่า! หยก ถ้าไม่เจียระไนให้หนักไหนเลยจะกลายเป็นหยกน้ำดีได้! ท่านอ๋องอายุอานามพอกันกับพวกเจ้าแต่กลับแข็งแกร่งมากกว่าพวกเจ้าถึงเพียงนี้ พวกเจ้าจงรู้เอาไว้ว่าท่านอ๋องได้ผ่านความยากลำบากมามากเพียงใด เสียเหงื่อไปมากเพียงไหน” 

 

 

“จะประสบความสำเร็จ จะต้องผ่านความยากลำบากไปให้ได้!” 

 

 

“ไม่มีความสำเร็จใดที่ร่วงลงมาจากฟากฟ้าเฉยๆ นอกเสียจากในฝัน!” 

 

 

คำพูดของอวี้จิงเหลยปลุกจิตใจความอยากเอาชนะของทหารแห่งกองทัพสกุลอวี้ขึ้นมา! 

 

 

หากไร้ซึ่งคราบน้ำตาและหยาดเหงื่อแห่งความยากลำบากแล้ว ไหนเลยจะมีความสำเร็จเฉกเช่นในวันนี้! 

 

 

ต้องมุ่งมานะเพียรพยายามให้มากเสียแล้ว! 

 

 

นับตั้งแต่นั้น เหล่าทหารหนุ่มต่างก็มีกำลังใจฮึกเหิมราวกับถูกฉีดยากระตุ้นก็ไม่ปาน ใช้ซย่าโหวฉิงเทียนเป็นจุดมุ่งหมายของตน แต่ละคนเอาแต่ฝึกซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตาย 

 

 

ซึ่งก็ต้องบอกว่าพลังจากต้นแบบนั้นไม่มีวันสูญสิ้น! สุดท้ายสกุลอวี้สามารถสร้างผลงานสะเทือนฟ้าสะเทือนดินได้ในภายภาคหน้า ก็มีจุดเริ่มต้นมาจากการถูกเล่นงานจากซย่าโหวฉิงเทียนอย่างหนักหน่วงในวันนี้… 

 

 

ต้าโจวบนแผ่นดินหลัวอวี้ อบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขสนุกสนานยินดีปรีดา 

 

 

เพราะย่างเข้าสู่ปลายเดือนสิบเอ็ด ซึ่งใกล้กับงานแต่งงานของซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนเข้ามาทุกที 

 

 

ฮ่องเต้ทรงทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจจัดงานแต่งนี้ขึ้นมาอย่างดี แขกเหรื่อตามที่มีรายชื่อที่ถูกเชื้อเชิญต่างก็ทยอยกันเดินทางมาที่เมืองหลวงแห่งนี้เพื่ออวยพร 

 

 

ทว่าสกุลหนานกงแห่งอู๋โยวในขณะนี้ กลับเกิดเหตุการณ์ตรงกันข้ามขึ้น 

 

 

หยกสถิตวิญญาณของเฉินเจิน เฉินฉู่แหลกละเอียดเหมือนกันกับอู่เม่ยทุกประกาน ขณะเดียวกันเผ่าตันขวาก็เพิ่งได้รับรายงาน ว่าตี้อู่เฉินที่เดินทางไปที่แผ่นดินหลัวอวี่พร้อมกับเฉินเจิน เฉินฉู่ก็ตายแล้วเช่นกัน 

 

 

ข่าวนี้ทำให้หนานกงเอ๋ารู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาทันที 

 

 

แผ่นดินหลัวอวี่ที่มีประชากรผู้ต่ำต้อยกลายเป็นถ้ำเสือแดนมังกรตั้งแต่เมื่อไหร่กัน 

 

 

 เหตุใดคนของเขาไปไปคนหนึ่ง ก็ตายคนหนึ่ง 

 

 

ถึงแม้หนานกงเอ๋าอยากที่จะส่งคนไปที่สืบข่าวที่แผ่นดินหลัวอวี่ยิ่งนัก แต่ตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียงเดือนเดียวก็จะถึงเทศกาลปีใหม่แล้ว 

 

 

ตามธรรมเนียมที่ผ่านมา ในช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ของทุกปีเจ้าปีศาจน้อยจะต้องกลับมา 

 

 

เทียบกับการที่จะส่งมือดีไปโดยไม่รู้ชะตากรรมที่แผ่นดินหลัวอวี่ จะยิ่งสูญเสียไม่สิ้นสุด มิสู้รอคอยอยู่ที่สกุลหนานกง ให้เจ้าปีศาจน้อยมาติดกลับเองแล้วฉกฉวยเอาผลประโยชน์จะดีเสียกว่า 

 

 

หนานกงเอ๋ารอได้ แต่หนานกงเช่อเห็นทีจะรอไม่ไหว เพราะกลับล้มป่วยลงอีกครั้งเสียแล้ว 

 

 

หมอคนก่อนที่มาตรวจรักษาอาการให้กับหนานกงเช่อถึงกับจนปัญญา ถึงกระทั่งว่าให้พวกเขาเตรียมโลงเอาไว้ 

 

 

คราวนี้ทำเอาซย่าจื่ออวี้ร้อนใจจนทนไม่ไหว  

 

 

ลูกน้องที่ส่งไปล้วนแต่ตายหมดแล้ว หนานกงจื่อหลิงก็ไม่มีเบาะแสข่าวคราว มาวันนี้หนานกงเช่อยังมาล้มป่วยเป็นตายเท่ากันอีก นางควรจะทำอย่างไรดี 

 

 

แม้ว่าหนานกงเอ๋าจะคอยปลุกปลอบนางเหมือนเช่นที่ผ่านมา ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าที่ซูบผอม กับมือที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกจนมองเห็นเส้นเลือดของหนานกงเช่อแล้วทำให้ซย่าจื่ออวี้แทบจะเป็นบ้า 

 

 

อีกทั้งเมียรองอีกสองคนที่กำลังตั้งครรภ์ก็ต้องมาเดินนวยนาดไปมาอย่างคนไร้สมองให้ซย่าจื่ออวี้ได้เห็นในเวลานี้อีก 

 

 

นับตั้งแต่ที่ตี้อู่เฉินตรวจอาการให้กับจิ่นซิ่วและอวี้จูจนถึงบัดนี้ เวลาผ่านไปราวสี่เดือนแล้ว 

 

 

ตอนนี้ครรภ์ของจิ่นซิ่วปาเข้าไปเจ็ดเดือน ส่วนอวี้จูก็หกเดือน 

 

 

ในทุกวันพวกนางจะต้องอุ้มท้องใหญ่เดินเล่นในสวนดอกไม้ 

 

 

หากเป็นเมื่อก่อนละก็ ซย่าจื่ออวี้คงจะรู้สึกเพียงว่าเมียรองสองคนนี้ช่างขัดลูกตานักเท่านั้น 

 

 

หนานกงเอ๋าอยู่กินกับนางมาตั้งหลายปี แต่บัดนี้ลูกหลานของเขาช่างน้อยนิด ต่อให้นังผู้หญิงชั้นต่ำสองคนนี้จะตั้งครรภ์ก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างไรเสียเด็กก็ยังเล็กนัก ไม่กระเทือนถึงตำแหน่งของหนานกงเช่ออยู่แล้ว 

 

 

แต่บัดนี้ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของนางนอนป่วยอยู่บนเตียง กำลังจะตาย นังผู้หญิงชั้นต่ำสองคนนี้ยังไม่รู้จักละอาย ช่างรนหาที่ตายนัก! 

 

 

ยิ่งกว่านั้นในตอนนี้คนในจวนก็เริ่มไหวติงตามลม เริ่มหันไปประจบประแจงนังเมียรองสองคนนั้นแล้วด้วย 

 

 

ที่ร้ายกว่านั้นคือมีคนเต้าข่าว ว่าหนานกงเช่อสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง หากเขาตายไป และจิ่นซิ่วให้กำเนิดบุตรชาย เด็กคนนั้นก็จะกลายเป็นคุณชายใหญ่แห่งสกุลหนานกงทันที! 

 

 

ได้ฟังสาวใช้คนสนิทโยวเอ๋อร์รายงานสิ่งที่ได้ยินมา ซย่าจื่ออวี้ก็โมโหจนเขวี้ยงปิ่นที่นางโปรดปรานที่สุดลงพื้นจนแตกกระจาย 

 

 

ก็แค่ของเล่นชั้นต่ำที่มีไว้ให้ผู้ชายได้เล่น หลงคิดว่าตนเองเป็นใครกัน! รอให้พวกนางคลอดลูกออกมาเสียก่อนเถอะ ข้าจะจับนางส่งไปขายที่หอโคมเขียวเสียเลย! 

 

 

หากจะพูดให้ไพเราะสักหน่อยนั่นก็คือ แท้ที่จริงแล้วชีวิตของอนุภรรยาเหล่านี้อยู่ในกำมือของแม่ใหญ่แห่งสกุลหนานกงนั่นเอง 

 

 

เมื่อแม่ใหญ่ไม่ชอบ ก็สามารถนำพวกนางไปขายเยี่ยงสัตว์ได้ตลอดเวลา!  

 

 

“ฮูหยิน บ่าวเคยได้ยินมาว่า หากขาดอะไรก็ให้เสริมสิ่งนั้น! ในเมื่อหัวใจของคุณชายไม่ดี เราไม่ลองหาหัวใจมนุษย์มาเสริมให้กับคุณชายเล่าเจ้าคะ!” 

 

 

ได้ฟังคำของโยวเอ๋อร์ ก็ทำให้ซย่าจื่ออวี้อึ้งเงียบลงไปครู่หนึ่ง  

 

 

นางก็เคยได้ยินวิธีการเช่นนี้ แต่มันจะได้ผลจริงหรือ 

 

 

เจ้าปีศาจน้อยนั่นก็ไม่รู้ว่าไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกัน