บทที่ 673 เอลฟ์ทุกตนคือต้นไม

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

“ท่านอาคันตุกะกำลังมองหาข้างั้นหรือเจ้าคะ” เมื่อเห็นว่าไฮดี้กับคาทรินากำลังเดินตรงเข้ามาหา นางก็ยกนิ้วขึ้นชี้ตนเองด้วยความงุนงง

ไฮดี้กล่าวตอบด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “โนดาเนียลย์ สุนทรพจน์เกี่ยวกับสมดุลแห่งธรรมชาติของเจ้าช่างยอดเยี่ยมและน่าสนใจยิ่ง!”

นางสัมผัสได้ว่าโนดาเนียลย์เป็นคนที่ค่อนข้างร่าเริงสดใส จึงทักทายราวกับทั้งสองเป็นสหายเก่าแก่ แทนที่จะเรียกนางว่าท่านหญิงหรือท่าน

เมื่อได้ยินคำชมอย่างจริงใจตรงไปตรงมาของไฮดี้ โนดาเนียลย์ก็มีท่าทีเขินอายขึ้นมาโดยพลัน นางโบกมือไปมาด้วยท่าทางอิหลักอิเหลื่อ “ข้าเพียงแต่พูดถึงหลักคำสอนที่เหล่าผู้เฒ่าเคยบอกเราเท่านั้นเจ้าค่ะ”

“ข้ามีนามว่าไฮดี้ นี่คือคู่หูข้า คาทรินา เราเพิ่งมาถึงในป่าวันนี้เอง ยินดีที่ได้รู้จักเจ้านะ” ไฮดี้ยิ่งแสดงท่าทีอบอุ่นกว่าเดิม

นางมิใช่คนชอบเก็บตัวเหมือนอย่างแอนนิค และนางก็แนะนำตัวเองและสหายให้โนดาเนียลย์รู้จักอย่างเปิดเผย

ความวิตกกังวลในใจโนดาเนียลย์เลือนหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อนางพบว่าอาคันตุกะที่มามีความเป็นมิตรและหาได้มีท่าทางข่มขู่อันใด บทสนทนาของพวกนางจึงดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติ

“ก็นะ เรามาที่นี่เพื่อตรวจสอบชาวเอลฟ์ที่มีนิสัยเปลี่ยนไปตามคำร้องขอของฝ่าบาท เราอยากจะถามเจ้าเกี่ยวกับเทรซี่สักหน่อยน่ะ” หลังจากพูดคุยปราศรัยกันแล้ว ไฮดี้ก็ดึงเข้าประเด็นทันที

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง โนดาเนียลย์ก็ตอบด้วยท่าทางเศร้าซึม “ไฮดี้ คาทรินา เจ้าถามในสิ่งที่อยากรู้มาได้เลย ข้าเองก็หวังว่าเจ้าจะหาต้นตอความวิบัตินี้จนเจอและช่วยเหลือเทรซี่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่อาจกลับมาเป็นคนเดิม แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ควรได้รับการปลดปล่อยจากความทุกข์ทรมานนี้”

“เทรซี่ได้แสดงความผิดปกติอะไรก่อนที่นางจะเปลี่ยนไปหรือไม่” คาทรินาเริ่มถามด้วยคำถามหลักที่พวกเขาตกลงกันไว้

ด้วยเป็นเอลฟ์สุริยัน โนดาเนียลย์จึงมีผิวขาวผ่องและเส้นผมสีทองสดใส ซึ่งนั่นทำให้นางดูงดงามโดดเด่นยามอยู่ใต้แสงอาทิตย์ แต่บนใบหน้านางกลับมิมีรอยยิ้มประดับอยู่เลย นางตอบกลับมาว่า “อย่างน้อยสำหรับข้าแล้วก็มิมีสิ่งที่ผิดปกติเกินไปเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นนะ ข้ากับสหายหลายตนออกไปล่า เก็บผลไม้ ซ่อมแซมจุดต่างๆ ภายในป่าที่สมดุลอาจได้รับความเสียหาย สัมผัสรู้ถึงธรรมชาติ และอ่านงานวรรณกรรมที่ประพันธ์ขึ้นหลังจากยุคเทวตำนาน…”

“ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างสงบสุข ราวกับว่าวิถีชีวิตอันงดงามนี้จะคงอยู่ไปตลอดกาล แต่ว่า เช้าวันนั้น จู่ๆ ข้าก็สังเกตเห็นว่ารอยสักมากมายบนผิวหนังของเทรซี่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเกลียดชังและรังสีฆ่าฟัน…แต่วันก่อนทุกสิ่งทุกอย่างยังคงปกติดี เราเต้นท่าเต้นแบบพิเศษที่นางได้เรียนรู้มาแล้วก็บอกราตรีสวัสดิ์”

“ท่าเต้นแบบพิเศษงั้นหรือ” ไฮดี้จดคำตอบของโนดาเนียลย์ลงในสมุด นางสนใจการเต้นระบำที่ว่าก็เพราะคำว่า ‘แบบพิเศษ’

โนดาเนียลย์พยักหน้า “นางบอกว่าท่านมาร์ธาสอนนาง ให้ข้าแสดงให้เจ้าดูหรือไม่”

ไฮดี้กับคาทรินาตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน กึ่งหนึ่งก็เพื่อการตรวจสอบ และกึ่งหนึ่งนั้นเพื่อสนองความอยากรู้ของพวกนางเอง “ดีเลย!”

โนดาเนียลย์ถอยหลังแล้วเริ่มเต้นระบำแม้ว่าจะมิมีเสียงดนตรีก็ตาม

ท่าเต้นนั้นประกอบด้วยการขยับเขยื้อนร่างกายรูปแบบแปลกประหลาดที่แทบจะเรียกว่าขัดแย้งกับชีวกายภาพ มีเพียงชาวเอลฟ์ผู้มีร่างกายอ่อนช้อยยืดหยุ่นเท่านั้นที่จะทำได้

“แม้ว่าท่าเต้นจะแปลก แต่ก็ดูงดงามจริงๆ…” ไฮดี้ขยับมือและขาซ้าย รู้สึกอยากจะเรียนรู้ท่าเต้นเหล่านี้ แต่ไม่นานนางก็ตบๆ แก้มตนเองด้วยความเสียดายและคิดว่าจะยื่นคำขอขอยามาปลุกพลังโลหิตในกาย มิเช่นนั้นนางคงมิมีทางเรียนท่าเต้นพวกนี้ได้แน่

คาทรินาปรบมือเป็นจังหวะให้โนดาเนียลย์ขณะพูดผ่านกระแสจิต “ท่าเต้นนี้ให้ความรู้สึกแปลกๆ เราควรจะยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดในการประชุมคืนนี้นะ”

ขณะเต้นระบำอยู่นั้น โนดาเนียลย์ก็มีท่าทางโศกสลด ราวกับว่าการเต้นรำทำให้นางหวนนึกถึงสหาย กว่านางจะตื่นจากภวังค์ก็เป็นเวลานานหลังจากนั้น เมื่อได้สตินางจึงถามออกไป “ท่าเต้นเป็นอย่างไรบ้าง”

“มันไม่มีคลื่นเวทมนตร์ ไม่มีกลิ่นอายของพลังศักดิ์สิทธิ์ และไม่มีสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดแอบดูอยู่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าท่าเต้นเมื่อครู่จะปลอดภัย เจ้าไม่ควรเต้นอีกจนกว่าการตรวจสอบจะจบลง” ไฮดี้เตือนสหายเอลฟ์คนใหม่ที่นางรู้สึกชื่นชอบ

เมื่อโนดาเนียลย์พยักหน้า คาทรินาก็ถามต่อ “ก่อนที่เทรซี่จะเปลี่ยนไป นางมีสภาวะอารมณ์ขั้นๆ ลงๆ หรือมีความคิดเห็นเปลี่ยนไปหรือไม่”

หลังจากที่นางรื้อค้นความทรงจำ โนดาเนียลย์ก็ตอบว่า “นางดูท่าทางซึมๆ นิดหน่อยเพราะว่านางมิได้ทะลวงผ่านระดับพลังมานานมากแล้ว นางจึงบอกข้าว่านางอยากจะเป็นชาวดรูอิดเพื่อให้รักษาสมดุลแห่งธรรมชาติได้ดีกว่านี้”

‘เพื่อให้รักษาสมดุลแห่งธรรมชาติได้ดีกว่านี้…’ ไฮดี้ขมวดคิ้วขณะจดคำพูดของโนดาเนียลน์ ก่อนจะถามขึ้นว่า “เจ้าเป็นชาวดรูอิดหรือไม่”

“ใช่ ข้าเพิ่งจะเลื่อนขั้นขึ้นเป็นผู้พิทักษ์ธรรมชาติ หรือดรูอิดระดับกลางอย่างที่พวกเจ้าเรียก” ให้ได้ชัดว่าโนดาเนียลย์ภาคภูมิใจกับฐานะผู้พิทักษ์ธรรมชาติอย่างมาก

ชาวเอลฟ์มิได้แบ่งระดับพลังด้วยคำว่าล่าง กลาง สูง หรือระดับหนึ่ง ระดับสอง และระดับสามเหมือนอย่างมนุษย์ แต่การจัดหมวดหมู่นั้นถือว่าคล้ายคลึงกัน ‘ผู้ดูแลธรรมชาติ’ นั้นเท่ากับดรูอิดฝึกหัด ‘มิตรแห่งธรรมชาติ’ ก็คือดรูอิดระดับล่าง ‘ผู้พิทักษ์ธรรมชาติ’ คือดรูอิดระดับกลาง และ ‘ผู้ถือครองไม้ค้ำจุน’ คือดรูอิดระดับสูง (รวมถึงระดับเก้า)

ไฮดี้ค่อนข้างสนใจในชาวดรูอิดและได้ตรวจสอบพวกเขามาก่อนหน้านี้

“…เอลฟ์ทุกตนสามารถสัมผัสรู้ได้ถึงพระคุณของธรรมชาติ พวกเขาจึงกลายเป็นผู้ดูแลธรรมชาติได้อย่างมิยากเย็น จากนั้น เราจำเป็นต้องเปลี่ยนความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติให้เป็นความศรัทธา และหมั่นใช้ความศรัทธานี้ในการดำเนินชีวิต เมื่อความศรัทธาของเราหลอมรวมเข้ากับธรรมชาติ เจตจำนงของเราก็จะสร้าง ‘ดวงใจแห่งธรรมชาติ’ ที่คล้ายคลึงกับโลกแห่งปัญญาของพวกเจ้าขึ้นมา ชื่อนี้ตั้งตามแก่นพลังของต้นไม้เอลฟ์ มันคือรากฐานสำคัญในการใช้พลังของเรา…” โนดาเนียลย์อธิบายอย่างไม่ปิดบัง

หลังจากพูดคุยกันอีกครู่ใหญ่ ทั้งสามก็แยกย้ายจากกัน

ค่ำวันนั้น ไฮดี้กับคาทรินากลับมาพร้อมกับสมุดที่จดบันทึกไว้เต็มทุกหน้าและมาพบกับจูรีเซียน เฟลิเป แอนนิค กับสปรินต์

“ท่าเต้นแบบพิเศษ…ท่านหญิงมาร์ธา…” จูรีเซียนเอ่ยทวน “ความวิบัติที่เกิดขึ้นกว่า 70% เกี่ยวข้องกับท่าเต้นแบบพิเศษนี้ โดยที่เอลฟ์ 30% ได้เรียนรู้มาจากท่านหญิงมาร์ธา ส่วนคนอื่นๆ เรียนมาจากที่ที่เรามิอาจทราบได้”

เฟลิเปเอ่ยเสียงทุ้มผะแผ่ว “มันอาจเป็นขนบธรรมเนียมของชาวเอลฟ์ก็เป็นได้ พวกเขาต่างก็เป็นนักเต้นที่เก่งกาจ”

“ไม่ว่าจะอย่างไร เราก็จะไปพบท่านหญิงมาร์ธาในวันพรุ่งนี้” จูรีเซียนกล่าว

ในตอนนั้น แอนนิคก็เอ่ยด้วยท่าทางขัดเขินทว่าเคร่งเครียดจริงจัง “เป็นไปได้ไหมว่าท่าเต้นนี้จะเหมือนกับ ‘พิธีกรรมอัญเชิญพิเศษของไวเค็น’ ซึ่งฉากหน้าจะดูมิมีสิ่งใดผิดปกติ แต่กลับบ่มเพาะแนวคิดต่างๆ เข้าไปในตัวเหยื่อตอนที่พวกเขาเรียนรู้น่ะขอรับ”

ด้วยเพิ่งเจอะเจอกับคดีประเภทนี้ ไฮดี้จึงอ่อนไหวกับเรื่องนี้อย่างมาก นางพยักหน้าอย่างระมัดระวัง “ก็เป็นไปได้ นิกายกบฏธรรมชาติ หรืออีกชื่อหนึ่งคือนิกายธรรมชาติเคียดแค้น ข้าจำได้ว่าหนึ่งในปีศาจแห่งบรรพกาลมีนามว่า ‘ปีศาจความแค้น’!”

“ปัญหาก็คือ 80% ของเอลฟ์ที่ถูกความวิบัติกลืนกินนั้นเป็นสมาชิกนิกายสมดุลธรรมชาติ ส่วนอีก 20% นั้นอยู่ระหว่างทั้งสองนิกาย มีเอลฟ์ที่เป็นสมาชิกนิกายธรรมชาติเคียดแค้นน้อยมากที่ถูกกลืนกิน มิเช่นนั้นสภาเอลฟ์คงจะสังเกตเห็นว่าเกิดความผิดปกติขึ้นแล้ว…” จูรีเซียนอ่านข้อมูลพลางนวดขมับ

หลังจากตรวจดูดวงใจแห่งธรรมชาติ ลูเซียน นาตาชา และแอตแลนต์ก็เดิมมัลฟิวเรียนกับแลงค์เชียร์ไปยังคุก ด้วยใจที่หวังว่าจะพบเจอเบาะแสจากเหล่าเอลฟ์ที่ถูกความวิบัติกลืนกิน

แม้ชาวเอลฟ์จะเรียกที่นี่ว่าคุก แต่มันก็คงยังสร้างจากท่อนไม้เป็นแบบกระท่อม เพียงแต่ท่อนไม้เหล่านี้เป็นสีเทาโลหะและแข็งแกร่งเทียบเท่าเหล็ก

แลงค์เชียร์บอกให้เอลฟ์สองตนที่เฝ้าดูแลคุกอยู่เปิดประตู เสียงคร่ำครวญโหยหวนด้วยความทุกข์ทรมานจนฟังดูน่าหวาดกลัวพลันดังออกมา เสียงนั้นราวกับเสียงร้องของสัตว์อสูรยามค่ำคืน

ผู้ดูแลทั้งสองมีสีหน้าโศกเศร้าอย่างยิ่งยวด ข้างในนั้นคือสหายร่วมเผ่าพันธุ์ของพวกเขา หาใช่สัตว์อสูรไม่!

ลูเซียน นาตาชา และแอตแลนต์ยืนอยู่หน้าห้องขัง เฝ้าสังเกตการณ์เหล่าเอลฟ์ที่ถูกความวิบัติกลืนกินผ่านกรงเหล็ก

ในห้องนั้นคือเอลฟ์สาวหน้าตาน่ารัก แต่นางกลับมีรอยสักที่แผ่จากลำคอและแขนไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย นอกจากนี้ มันก็มิใช่สีเขียวสดใสเหมือนอย่างรอยสักทั่วๆ ไปบนตัวชาวเอลฟ์ แต่มันกลับแผ่รังสีสีแดงอันพิสดารดูน่าคร้ามเกรง

“มันเหมือนกับลวดลายบนหลังของฝูงแมงมุมหน้าคนเลย…” นาตาชาเอ่ยขึ้นผ่านทางกระแสจิต

เป็นความจริงที่รอยสักบนผิวหนังของเอลฟ์ตนนี้บ่งชี้ว่านางกำลังจะกลายร่างเป็นแมงมุม!

“ข้าจะฆ่าเจ้า!”

“เพื่อโลกอันสงบสุขและอุดมสมบูรณ์!”

“สิ่งมีชีวิตมากปัญญาทุกตนจักต้องตาย!”

เอลฟ์สาวกระโจนเข้าใส่ลูกกรงและจดจ้องมาที่ลูเซียนด้วยดวงตาเบิกโพลง ในรูม่านตาของนางมิมีสัญญาณแห่งสติปัญญาหลงเหลืออยู่เลย มีเพียงสีแดงฉานอันเย็นยะเยียบที่ให้ความรู้สึกของความโหดร้ายทารุณและการทำลายล้างอันลึกล้ำ นอกจากนี้ นางยังอ้าปากขบกัดลูกกรงอีกด้วย นั่นดูเหมือนจะเป็นวิธีการโจมตีรูปแบบเดียวในยามนี้ เมื่อนางไม่สามารถใช้พลังความสามารถของตนเองได้

ณ เวลานั้น ฟันราบเรียบเรียงตัวงดงามของนางกลับดูเหมือนกระดูก

“นางคือสมาชิกนิกายสมดุลธรรมชาติ…” มัลฟิวเรียนแนะนำเอลฟ์สาวตนนั้นให้ลูเซียนรู้จัก

ทั้งลูเซียนและแอตแลนต์ต่างก็เคยพบเห็นอะไรๆ ที่ย่ำแย่กว่านี้มาแล้ว ทั้งสองจึงไม่รู้สึกอะไรขณะตรวจสอบสภาพของเอลฟ์สาวด้วยเวทมนตร์

เวลาล่วงเลยผ่านไป ลูเซียนจัดการสะกดข่มพลังวิบัติในตัวเอลฟ์สาวได้แล้วจึงเอ่ยขึ้น “ข้ามั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับการที่ต้นไม้เอลฟ์มีสิ่งปนเปื้อน แต่ก็ยังมิอาจทราบได้ว่ามันคือต้นเหตุหรือผลลัพธ์กันแน่ อีกอย่าง คำพยากรณ์ของข้าได้บอกข้าว่าเอลฟ์ที่ถูกความวิบัติกลืนกินทุกตนจะมีอะไรหลายอย่างเหมือนกันหากมองลึกลงไป นั่นแหละคือกุญแจไขปัญหาของเรา”

“ข้าจะบอกให้ไอริสทีนไปตรวจสอบพร้อมๆ กับเหล่านักเวท ท่านอยากจะไปดูรอยแยกแห่งอเวจีกับข้าเลยหรือไม่” แลงค์เชียร์เสนอ

ลูเซียนพยักหน้าอย่างไม่ลังเล

ในตอนนั้นเอง จู่ๆ แววตาของเอลฟ์สาวก็กลายเป็นกระจ่างใสเมื่อพลังวิบัติถูกลูเซียนสะกดข่มเอาไว้ นางกุมศีรษะตนเองด้วยความเจ็บปวด “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!”

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!”

แสงสีเขียวเจิดจ้าพลันแผ่พุ่งออกจากร่างของนางพร้อมกับความรู้สึกสงบสุขอันเลือนลาง

สีหน้าลูเซียนพลันเปลี่ยนไป เขาหมายใจจะหยุดยั้งนาง แต่มัลฟิวเรียนกลับถอนหายใจ “นางเป็นทุกข์แสนสาหัส ให้นางปลดปล่อยตนเองเถิด ยังมีเอลฟ์อีกหลายตนที่ถูกความวิบัติกลืนกินให้เราได้ตรวจสอบต่อไป…”

เอลฟ์สาวขับร้องบทเพลงอันไพเราะ

“เอลฟ์ทุกคนคือต้นไม้ เราเกิดจากธรรมชาติและจักหวนคืนสู่ธรรมชาติ…”

“เราเกิดจากความรักทุกรูปแบบ และเราจักหวนคืนอย่างสุขสงบแลเงียบงัน เราขับขานเพื่อผืนป่า เราสดุดีทุกชีวิต…”

ขณะที่บทเพลงถูกขับร้อง แสงสีเขียวบนตัวนางก็ยิ่งรวมตัวกันหนานั้น จากนั้น มัลฟิวเรียนก็เปิดประตูห้องขังนั้น

เอลฟ์สาวก้าวออกมาด้วยท่วงท่าที่ดูราวกับกำลังเต้นระบำ ก่อนที่นางจะโค้งกายให้ลูเซียน นาตาชา กับแอตแลนต์อย่างทราบซึ้งใจ

“เอลฟ์ทุกตนคือต้นไม้ เราหยั่งรากลึกลงในดินและสูดอากาศจากท้องนภา…”

“เราปกป้องธรรมชาติและรักษาสมดุล…”

นางตะเกียกตะกายโผบินออกไป แสงสีเขียวบนกายกำลังกลืนกินนาง จากนั้นนางก็ค่อยๆ หย่อนปลายเท้าลงบนพื้น ในชั่วเวลานั้น ดวงตาของผู้ดูแลคุกทั้งสองก็แดงก่ำเสียแล้ว

“เอลฟ์ทุกตนคือต้นไม้…”

เสียงเพลงแผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนแทบไม่ได้ยิน แต่มันกลับยังคงดังก้องไปทั่วผืนป่า เมื่อแสงสีเขียวเลือนหายไป ต้นไม้สูงสง่าต้นหนึ่งก็ปรากฏเพิ่มขึ้นในป่าแห่งนั้น

เอลฟ์ทุกตนจะกลายเป็นต้นไม้หลังจากชีวีดับสูญ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงรักป่ามากมายถึงเพียงนี้

‘เราจะต้องหาสาเหตุของความวิบัตินี้ให้จงได้!’ เมื่อต้องมารู้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ นาตาชาจึงกำมือขวาแน่นและบอกกับตนเองเช่นนั้น

ลูเซียนหลับตาลงแล้วหันไปหาแลงค์เชียร์ “เราไปดูรอยแยกแห่งอเวจีกันเถิด”

………………………………….