รอยแยกแห่งอเวจีปรากฏขึ้นบริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือของป่าสตรู๊ปและอยู่ห่างจากถิ่นพำนักแห่งธรรมชาติอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังมีความปั่นป่วนทางมิติที่เกิดขึ้นจากรอยแยกที่ไร้ความเสถียร ดังนั้น พวกเขาจึงมิได้ใช้เวทเคลื่อนที่ แต่กลับบินไปยังจุดหมาย

ขณะเหม่อมองมหาสมุทรแห่งพนาไพรและเฝ้าฟังเสียงร้องเพลงจากฝูงนก นาตาชาก็โพล่งถามออกมาราวกับจิตวิญญาณความเป็นนักดนตรีของนางได้ถูกปลุกขึ้น “ธรรมชาติคืออะไร”

การเรียนรู้จากตำราว่าเหล่าเอลฟ์จะกลายร่างเป็นต้นไม้หลังดับสูญนั้นนับเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การได้เห็นมันด้วยตาตนเองกลับเป็นเหมือนอีกเรื่องหนึ่งไปเสียสิ้น นางเกิดความรู้สึกอันซับซ้อนหลากหลาย

“นั่นสิ ธรรมชาติคืออะไร” ลูเซียนทวนคำถามพลางมองไปทางมัลฟิวเรียนและแลงค์เชียร์

‘ธรรมชาติคืออะไรงั้นรึ’

จู่ๆ มัลฟิวเรียนก็ไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนั้นอย่างไรดี เอลฟ์และชาวดรูอิดทุกตนต่างมีคำนิยามของธรรมชาติเป็นของตนเอง ไม่ว่าพวกเขาจะศรัทธาในความเคียดแค้นหรือดุลยภาพ ทุกตนต่างก็มองว่าตนเองเป็นผู้ดูแลธรรมชาติ นอกจากนี้ เป็นเพราะคำนิยามและความเห็นเรื่องธรรมชาติที่แตกต่างหลากหลายนี้เอง ที่ทำให้ ‘ดวงใจแห่งธรรมชาติ’ ที่ชาวดรูอิดสร้างขึ้น กับพลังที่พวกเขาจะสามารถใช้ได้มีความแตกต่างกัน

“ธรรมชาติก็คือโลก ซึ่งรวมทั้งพืชพรรณ สัตว์อสูร มนุษย์ เอลฟ์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทั้งยังรวมเอาภูเขาไฟ หนองน้ำ หมอก และปรากฏการณ์อื่นๆ ทั้งหมดที่ว่ามานี้ได้รวมตัวกันเป็นระบบแห่งดุลยภาพที่ทุกๆ ผู้คนต่างพึ่งพาอาศัยกัน เมื่อใดที่สมดุลนี้ขาดหาย ธรรมชาติก็จะสูญสลายกลายเป็นดินแดนรกร้างไร้สิ่งมีชีวิต” หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มัลฟิวเรียนก็อธิบายความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของตน ซึ่งมีดุลยภาพและชีวิตเป็นแก่นสำคัญ

แลงค์เชียร์เป็นผู้ที่ทะนงตนเป็นพิเศษในความเป็นเอลฟ์ แม้ว่าเขาจะมิใช่ผู้ศรัทธาในนิกายธรรมชาติเคียดแค้นเสียทีเดียว แต่เขาก็หาได้สนใจจะโต้เถียงกับมนุษย์ถึงคำถามนี้ เขาจึงเน้นย้ำเพียงว่า “ธรรมชาติจะต้องมีชีวิต ทะเลทรายไร้ชีวิตไม่อาจเรียกว่าธรรมชาติได้”

แอตแลนต์กล่าวด้วยใบหน้ายิ้มๆ และดวงตาที่ปิดสนิท “เรามาถึงรอยแยกแห่งอเวจีแล้ว”

ทั้งห้าต่างก็เป็นผู้มีพลังชั้นตำนาน แม้ว่าพวกเขาจะตั้งใจลดความเร็วลงเผื่อเกิดเรื่องอันตรายอะไรขึ้น แต่พวกเขาก็ยังใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก

ที่ใจกลางป่าทางด้านล่าง มีฝุ่นสีเลือดโอบล้อมเป็นบริเวณค่อนข้างกว้าง รอยแยกขนาดใหญ่ยักษ์ที่ดูน่าขยะแขยงเหมือนกับตะขาบสามารถมองเห็นได้ตรงใจกลางนั้น เมื่อมองผ่านรอยแยกไป ก็จะมองเห็นเนินสูงสกาเล็ตได้ลางๆ ซึ่งสถานที่นั้นก็แผ่ไอสังหารและความกระหายโลหิตออกมาอย่างเข้มข้น

ตรงกลางฝุ่นละอองนั้น กลับปรากฏเมืองอันรุ่งเรืองตั้งอยู่ที่ชายขอบรอยแยก

นั่นก็คือนิรนามนคร

ในประวัติศาสตร์อันยาวนาน ยามที่รอยแยกแห่งอเวจียังเสถียรมั่นคงดี เหล่าปีศาจที่ไร้ระเบียบและกระหายเลือดมักจะโจมตีตรงรอยแยก ด้วยใจหวังจะมาเยี่ยมเยือนโลกหลักเพื่อเปลี่ยนโลกใบนี้ให้กลายเป็นดินแดนแห่งความโกลาหลและการทำลายล้างเหมือนอย่างอเวจี

สำหรับนักผจญภัยเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว แม้ว่าปีศาจจะน่าหวาดกลัว แต่ชิ้นส่วนอวัยวะของพวกมันกลับเป็นวัตถุดิบชั้นดี การจับกุมปีศาจโดยไม่ต้องเข้าไปในอเวจีจึงนับว่ามิใช่ความคิดที่แย่นัก ด้วยเหตุนี้ นักผจญภัยหลายต่อหลายคนจึงมารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้และสร้างเมืองขึ้นมา

หลังจากนั้น เหล่ามหาอัศวินและอัศวินอาภาก็ตระหนักได้ว่าที่แห่งนี้คือสมรภูมิรบที่เหมาะแก่การพัฒนาตนเองอันสมบูรณ์แบบ พวกเขามักจะเดินทางไกลหลายพันกิโลเมตรเพื่อมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เพราะสำหรับอัศวินชั้นสูงแล้ว หากว่าพวกเขามิได้มีพลังโลหิตและพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม โอกาสที่พวกเขาจะทะลวงผ่านขั้นพลังได้ก็คือการต่อสู้

สถานการณ์บนพื้นที่แถบนี้ค่อนข้างอยู่ตัวคงที่ และการเข้าไปผจญภัยในเทือกเขาไร้แสงหรือบึงมังกร ที่ที่มักมีสัตว์อสูรเวทมนตร์ระดับเก้าปรากฏกาย ก็เป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง แต่รอยแยกในป่าสตรู๊ปนั้นจำกัดพลังของเหล่าปีศาจที่บุกรุกเข้ามา ทำให้อัศวินชั้นสูงวางใจว่าพวกตนจะไม่บังเอิญไปเจอเจ้าแห่งปีศาจหรือดยุกปีศาจเข้า ดังนั้น เมืองนี้จึงเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ผู้มีพลังชั้นสูงมารวมตัวกันอยู่มากที่สุด

แต่แน่นอนว่า การสู้รบในที่แห่งนี้มิใช่จะปลอดภัยเสียทั้งหมด อัศวินอาภาและนักเวทชั้นสูงหลายต่อหลายคนต้องมาทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ ยิ่งนักผจญภัยที่มีระดับพลังต่ำกว่าชั้นสูงยิ่งมีผู้เสียชีวิตจำนวนมหาศาล เมืองแห่งนี้จึงถูกตั้งชื่อว่า ‘นิรนาม’

‘เจ้าจักกลับไปพร้อมกับความยิ่งใหญ่ หรือดับดิ้นโดยไร้ชื่อเสียงเรียงนาม!’

เมสัน หรือ ‘มังกรฟ้า’ มองป้ายไม้ที่ตั้งอยู่ในนิรนามนครมานานหลายร้อยปี ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง แล้วพูดด้วยความวิตกกังวล “เราจะได้ออกไปจากที่นี่เมื่อไหร่กันนะ”

ที่ผ่านมาพวกเอลฟ์ที่ดูแลรอยแยกแห่งนี้มักจะมิแสดงท่าทีอันใดต่อเหล่านักผจญภัย แต่ผลงานของเหล่าบุคคลแปลกหน้าได้แบ่งเบาภาระหน้าที่ของพวกเขาไปมากโข พวกเขาจึงทำเป็นมองไม่เห็นนิรนามนครมาโดยตลอด

บุรุษหนุ่มผมสีน้ำตาลข้างกายเมสันหยิบเอาซิการ์แบบพิเศษที่ผลิตจากอาณาจักรบริแอนน์มาจุดไฟ หลังจากสูดเอาควันเข้าปอดเฮือกใหญ่ เขาก็ตอบว่า “สหาย หยุดทำให้ตนเองหัวเสียเถิด จนกว่าจะหาคำตอบได้ว่าเหตุใดรอยแยกจึงขยายใหญ่ขึ้น พวกเอลฟ์คงมิมีทางปล่อยเราไปแน่”

“ข้ารู้สึกเหมือนว่าปอดมีทรายกับฝุ่นอยู่เต็มไปหมด” เมสันรับซิการ์มาจากเฟร็ด สหายของเขา “เจ้าก็รู้ว่าข้าให้สัญญากับครอบครัวไว้ว่าข้าจะกลับไปหลังจากมาครึ่งปี แต่นี่ข้าก็ล่าช้าไปถึงสองสัปดาห์แล้วนะ หากพวกเขามาตามหาข้า พวกเขาจะต้องได้รับบาดเจ็บในที่บ้าๆ นี้แน่”

เฟร็ดพ่นควันออกมาขณะแย้มยิ้มขื่น “เราควรจะไปจากที่นี่ก่อนหน้านี้…พวกเอลฟ์ห้ามมิให้เราจากไปก็ด้วยเกรงว่าเราจะเปิดเผยเรื่องการเปลี่ยนแปลงภายในรอยแยกแห่งอเวจีให้กับพวกชนเผ่าแห่งท้องทะเล จนกว่าพวกเอลฟ์จะหาทางแก้ไขปัญหานี้ได้ หรือพวกชนเผ่าแห่งท้องทะเลได้รับรู้ข่าวสารนี้ผ่านช่องทางอื่น เราก็คงต้องอยู่ที่นี่ต่อไป”

“หากว่ารอยแยกแห่งอเวจีสูญเสียการควบคุมอีกครั้ง…” ในฐานะอัศวินอาภาขั้นที่หก เมสันยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขวัญผวายามนึกถึงกองทัพปีศาจจำนวนมหาศาลและเหล่าเจ้าแห่งปีศาจกับดยุกปีศาจที่น่าหวาดหวั่นนั้น พวกมันคือฝันร้ายที่เขามิมีทางลืมเลือนได้ หากว่ามิใช่มัลฟิวเรียน ‘กุนซือแห่งราตรีกาล’ ที่เป็นผู้ดูแลสถานที่แห่งนี้ในเวลานั้น อัศวินอาภาหลายต่อหลายคน รวมถึงตัวเขา อาจจะตายไปแล้ว!

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฟร็ดก็อดตัวสั่นสะท้านขึ้นมามิได้เช่นกัน เขาจำ ‘ราชันย์โลหิต’ ผู้มีสองเศียร มีเกล็ดสีแดงเข้ม และดวงตาเย็นเยียบสีทองได้เป็นอย่างดี “ข้าหวังว่าพวกเอลฟ์จะขอกำลังเสริมมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้…”

“เอลฟ์เป็นพวกทะนงตน พวกเขาย่อมมิมีทางขอความช่วยเหลือ เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะรับมือกับเรื่องนี้ด้วยตนเองมิได้แล้วจริงๆ” เมสันมักจะชื่นชมความทะนงตนเช่นนี้ของเผ่าพันธุ์เอลฟ์ แต่ ณ เวลานี้เขากลับรู้สึกเกลียดมันอย่างอดไม่ได้

จากนั้นเขาก็ตวัดสายตากลับมามองซิการ์ที่ไหม้ไปกว่าครึ่งมวนแล้วในมือตน “มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นในเมืองนี้…”

เฟร็ดหรี่ตาลง “ใช่ มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นจริงๆ…”

ลูเซียน นาตาชา และมัลฟิวเรียนโรยตัวลงแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังรอยแยกแห่งอเวจี ในตอนนั้นเอง สองร่าง หนึ่งเขียวหนึ่งน้ำตาล ก็โผบินขึ้นมาจากเบื้องล่างมาหยุดอยู่หน้าพวกหน้า

“ท่านอาคันตุกะผู้ทรงเกียรติ ขอบคุณที่พวกท่านเดินทางมาช่วยเหลือเราขอรับ” ร่างสีน้ำตาลนั้นคือบุรุษเผ่าพันธุ์มนุษย์ในวัยกลางคนที่ถือคทาไม้ประดับลวดลายสัญลักษณ์แห่งความสมดุลอยู่ในมือทั้งสองข้าง นี่ก็คือโลเดลล์ หัตถ์แห่งดุลยภาพ

จากความสูงที่พวกเขายืนอยู่นี้ ภาพมิติอเวจีเบื้องหลังรอยแยกนั้นเห็นได้ชัดเจนอย่างยิ่ง มันคือที่ราบสูงอาบโลหิต ที่มีก้อนหินสีขาวรูปทรงประหลาดอยู่กลาดเกลื่อน

บนเนินสูงนั้นมิมีสิ่งใดนอกจากโคลนและทรายสีแดง และมีพืชพรรณที่มีเกล็ดอยู่ทั่วไม่กี่ต้นเท่านั้น พายุทรายจะโหมกระหน่ำทุกครั้งที่มีสายลมพัดผ่าน

บนท้องฟ้า ลูเซียนมองเห็นดวงอาทิตย์สีซีดที่ครึ่งหนึ่งถูกฝุ่นทรายบดบัง รอบๆ ดวงอาทิตย์นั้นมีวงรัศมีสีแดงแปลกประหลาดเพราะความกระหายเลือดอยู่

ทุกสรรพสิ่งดูมืดหม่นชวนหดหู่ใจ มันคือการประกาศกร้าวถึงการฆ่าล้างผลาญและการทำลายล้างที่ดีที่สุด

“ท่านผู้เฒ่า” ร่างสีเขียวนั้นคือสตรีร่างเล็กจ้อยที่มีขนาดเพียงหนึ่งช่วงศีรษะ นางมีเส้นผมสีเขียวเข้มและใบหน้าอันงดงามละลานตา นางมีรูปร่างผอมเพรียว และมีปีกโปร่งแสงคู่หนึ่งอยู่บนหลัง รอบๆ กายนางแผ่กระไอแห่งผืนป่าออกมาอย่างหนาแน่นเข้มข้น

นางก็คือเซลินดา นางไม้ที่รู้จักกันในนาม ‘ผู้พิทักษ์พงไพร’

หลังจากทักทายมัลฟิวเรียน เซลินดาก็ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีก สำหรับเหล่านางไม้แล้ว มนุษย์ ผู้ที่ทำลายผืนป่า คือศัตรูที่ไม่อาจให้อภัยได้

“เซลินดา ธรรมชาติคืออะไร” แลงค์เชียร์โพล่งถาม

เซลินดามองไปทางแลงค์เชียร์อย่างกรุ่นโกรธ ท่าทางไม่เป็นมิตรกับเอลฟ์ตนนี้นัก “ธรรมชาติก็คือผืนป่าพนาไพรที่เป็นตัวแทนของชีวิตและทำให้สิ่งมีชีวิตเจริญเติบโต มันคือสิ่งเปราะบางและเราต้องปกป้องมัน ผู้ใดก็ตามที่ทำลายธรรมชาติคือศัตรูของเรา”

แลงค์เชียร์แย้มยิ้ม “อีวานส์ ธรรมชาติคืออะไร เจ้าได้คำตอบให้กับคำถามที่เจ้าถามพวกเราหรือยังเล่า”

ลูเซียนเหลือบมองอีกฝ่าย แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเอลฟ์ตนนี้คิดอะไรอยู่ แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์บางอย่าง ‘เขาอาจกำลังพยายามบรรลุจุดประสงค์อะไรนั่นด้วยการสร้างความขัดแย้งในเวลานี้หรือเปล่านะ’

มัลฟิวเรียนดูท่าทางเหม่อลอยเกินว่าจะห้ามปรามแลงค์เชียร์ได้ทัน หรือบางที เขาอาจจะสนใจในคำตอบของลูเซียนและแอตแลนต์เช่นกันก็เป็นได้

โลเดลล์อ้าปาก พยายามจะพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายเขาก็เงียบไป

ลูเซียนแย้มยิ้มแล้วชี้นิ้วไปทางเนินสูงสกาเล็ต “นี่มิใช่ธรรมชาติหรือ ที่นั่นมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าปีศาจ และยังมีโคลน สายลม และดวงอาทิตย์…”

“มันคือธรรมชาติที่มีสิ่งปนเปื้อนและพังเสียหายที่เลื่อนระดับขึ้นเป็นการทำลายล้าง” เซลินดาตอบด้วยท่าทางเคร่งขรึม

ลูเซียนส่ายหน้า “ธรรมชาติในความคิดข้าคือวัฏจักร”

“ตราบใดที่องค์ประกอบต่างๆ สามารถสร้างเป็นวัฏจักรจากชีวิตสู่ความตายและจากความตายสู่ชีวิตได้ มันก็คือธรรมชาติ ดังนั้น หนองน้ำจึงเท่ากับธรรมชาติ ภูเขาไฟก็คือธรรมชาติ มิติอเวจีคือธรรมชาติและธรรมชาติก็คือมิติอเวจีเช่นกัน…”

ก่อนที่เซลินดาจะได้โต้แย้งอะไรเขา ลูเซียนก็พูดต่อว่า “ธรรมชาติมีความหมายมากมายนับไม่ถ้วน ธรรมชาติที่เราเห็นและได้สัมผัสนั้นแตกต่างกันไปตามแต่ละผู้คน ดังนั้น ธรรมชาติในความคิดเราจึงเป็นธรรมชาติที่มีเอกลักษณ์โดยมีรากฐานมาจากประสบการณ์และองค์ความรู้ของเราเอง มันคือธรรมชาติจากมุมมองของเราเอง ก็เหมือนกับอนุภาคขนาดเล็กจิ๋ว เราจะมองเห็นผลลัพธ์ที่แตกต่างเมื่อเราเลือกใช้วิธีการในการสังเกตการณ์ที่ไม่เหมือนกัน ส่วนรูปลักษณ์ดั้งเดิมของพวกมันจะเป็นอย่างไรนั้น นั่นคือคำถามที่ไร้ความหมาย”

“ด้วยเหตุนี้ ธรรมชาติของข้าจึงเป็นธรรมชาติจากมุมมองของมนุษย์ ธรรมชาติที่เหมาะกับเราและอำนวยความสะดวกให้กับการพัฒนาของเราจึงเป็นธรรมชาติที่ดี จุดประสงค์ในการปกป้องคุ้มครองสภาพแวดล้อมของเรานั้นมีเหตุผลเรียบง่าย นั่นก็คือการสร้างธรรมชาติที่เราจะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสะดวกสบายกว่าเดิม และนั่นสรุปได้ว่า เราตระหนักถึงธรรมชาติโดยมีตัวเราเองเป็นศูนย์กลาง และข้าว่าชาวเอลฟ์ก็ไม่ต่างกัน!”

มัลฟิวเรียนและเซลินดากำลังจะเอ่ยตอบโต้ แต่เสียงร้องคำรามอย่างกระเหี้ยนกระหือรือในการฆ่าฟันทำลายล้างก็พลันดังกึกก้องมาจากทางด้านล่าง กองทัพปีศาจกำลังหลั่งไหลออกมาจากรอยแยกอีกครั้ง

ปีศาจเหล่านั้นมีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันอย่างหลากหลาย แต่สิ่งหนึ่งที่พวกมันมีเหมือนกันก็คือความเกรี้ยวกราด

“ราชันย์โลหิตกระตุ้นให้กองทัพของมันออกมาโจมตีอีกแล้ว…” โลเดลล์โล่งใจเป็นล้นพ้นและรีบเปลี่ยนเรื่อง

ลูเซียนหันไปมองทางด้านในรอยแยกแล้วคำนวณระยะห่าง แล้วจู่ๆ เขาก็ยื่นมือขวาออกไปพร้อมกับร่ายคาถายาวเหยียดที่จบด้วย

“เปลวไฟนิรันดร์!”

ตูม!

ดวงอาทิตย์ร้อนระอุพลันผุดขึ้นจากใจกลางเนินสูงสกาเล็ต อุณหภูมิร้อนสูงจนน่าหวาดหวั่นสามารถสัมผัสถึงได้แม้จะอยู่กันคนละมิติ

พายุพลังงานเหนือจินตนาการแผ่พุ่ง อาบไล้ทุกสิ่งทุกอย่างด้วยแสงสว่างเจิดจ้า

ขณะเฝ้ามองกลุ่มควันทรงเห็ดพวยพุ่งขึ้นไปบนฟ้าและสั่นคลอนรอยแยกแห่งอเวจี ทั้งยังสัมผัสได้ถึงพลังที่สามารถทำลายล้างโลกทั้งใบได้ แลงค์เชียร์กับเซลินดาก็เงียบไป

‘ไม่ว่าพวกเจ้าจะพยายามบงการให้เราทำอะไรอยู่ก็ตาม พวกเจ้าควรจะทบทวนดูเสียก่อนว่าตนเองแข็งแกร่งพอหรือไม่!’

ลูเซียนเก็บมือขวากลับมาซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อสูทกระดุมสองแถวของตนตามเดิม