แม้ว่าช่องว่างโปร่งแสงระหว่างมิติจะลดทอนแสงลงแล้ว แต่ความเจิดจ้าที่รู้สึกราวกับดวงตะวันที่กำลังขึ้นก็ยังคงทำให้มัลฟิวเรียน แลงค์เชียร์และเอลฟ์ตนอื่นที่ไม่ทันตั้งตัว รวมถึงนางไม้และมนุษย์ ต้องหลับตาลงเพื่อต้านทานแสงสว่างนั้น แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังรู้สึกราวกับตนเองกำลังเผชิญหน้ากับมหาสมุทรแห่งแสงอันเจิดจ้าละลานตาเกินจะทานทน

เมื่อแสงสว่างค่อยๆ เลือนหายไป แลงค์เชียร์กับเซลินดาก็ลืมตาขึ้นและมองไปทางเนินสูงสกาเล็ต เพียงเพื่อจะค้นพบว่ากลุ่มควันทรงเห็ดดูแปลกตากำลังพวยพุ่งขึ้นจากตรงกลางเนิน บรรดาปีศาจชั้นสูงที่อยู่ตรงใจกลางนั้นต่างถูกกำจัดไปมิเหลือซาก หญ้าที่ขอบหลุมขนาดใหญ่ยักษ์ดูเหมือนกับโดนหลอมละลายแล้วทำให้แข็งตัวขึ้นใหม่อีกครา ซึ่งมันได้สะท้อนแสงแดดสีโลหิต เผยเส้นสายสีสันดูงดงาม

ส่วนกองทัพปีศาจที่อยู่ห่างออกมาเล็กน้อย กลับมิพบร่างใดที่อยู่ครบถ้วนสมบูรณ์เลย ชิ้นส่วนแขนขา ศีรษะ และปีกต่างกระจัดกระจายอยู่ทั่ว อาบผืนดินด้วยหยาดโลหิตสีแดงและเขียวของพวกมัน ทั้งยังแผ่ความงามแฝงกลิ่นอายสังหารแปลกประหลาด ราวกับดอกไม้สีแดงเข้มขนาดยักษ์ที่กำลังเบ่งบาน

ปีศาจที่อยู่ห่างออกมาไกลต่างแตกกลุ่มกระจายตัวระเนระนาด บางส่วนกลายเป็นศพ และอีกส่วนกำลังดีดดิ้นอยู่บนพื้นโดยที่ปิดตาเอาไว้ เกล็ดบนกายพวกมันถูกทำลายสิ้น มิหลงเหลือเกราะป้องกันทางธรรมชาติใดอีกต่อไป

เพราะเป็นเนินสูงที่มีก้อนเห็นเปราะบางตั้งอยู่มากมาย กองทัพปีศาจที่มีมากประดุจสายน้ำกลับเหือดแห้งไปราวกับกระแสน้ำที่ต้นน้ำถูกตัดไปเพราะการโจมตีของ ‘เวทเปลวไฟนิรันดร์’

ส่วนปีศาจที่อยู่ตรงขอบรอบนอกกลับมิได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด เพราะการโจมตีของลูเซียนนั้นเล็งเป้าไปที่ปีศาจชั้นสูงที่นำทัพในครั้งนี้ พวกมันต่างหวาดผวาและต่างลนลานหนีไปทันทีที่เห็นว่าผู้บัญชาของพวกมันหายไปแล้ว หลังจากนั้นหนึ่งนาที ก็มิมีเสียงใดดังมาจากเนินสูงสกาเล็ตอีกนอกจากเสียงคร่ำครวญโหยหวน และไม่เหลือปีศาจสักตนที่ยังยืนหยัดอยู่

ที่แปลกไปกว่านั้นก็คืออากาศที่เต็มไปด้วยคำสาปกลับดูเหมือนจะถูกชำระล้างหลังการระเบิดของ ‘เวทเปลวไฟนิรันดร์’ มันกลายเป็นบริสุทธิ์และไร้ซึ่งสารพิษปนเปื้อน

ณ เวลานี้ เนินสูงสกาเล็ตได้ถูกยกระดับขึ้นชั่วคราว จากอเวจีที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เหม็นสาบกลิ่นโลหิต กลายเป็นวิมานบนดินแสนสะอาดและเป็นระเบียบ หากไม่นับซากศพและกองเลือดที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นแล้วล่ะก็

ราชันย์โลหิต เจ้าผู้ครองอเวจีชั้นนี้หาได้แสดงปฏิกิริยาใดต่อเหตุการณ์นี้ และมิได้ยับยั้งห้ามปรามปีศาจที่กำลังหลบหนี แต่ท่ามกลางความเงียบงันนั้น การโจมตีที่น่าคร้ามเกรงกลับหยุดลง

ช่องว่างโปร่งแสงระหว่างสองมิติสั่นสะเทือนรุนแรงเพราะพายุพลังที่น่าหวาดหวั่น ทำให้ผนึกอ่อนกำลังลงอย่างมาก น่าเสียดายที่ไม่มีปีศาจตนใดกล้าฉวยโอกาสนี้ ก่อนที่มัลฟิวเรียนกับชาวดรูอิดคนอื่นๆ จะเสริมพลังให้กับผนึกอีกครา

ภายในนิรนามนคร…

ขณะที่เมสันกำลังหารือกับเฟร็ดอย่างเป็นกังวล เขาก็ได้ยินเสียงร้องคำรามของเหล่าปีศาจ เขาขมวดคิ้วมุ่น “พวกปีศาจกำลังจะโจมตีอีกแล้ว เจ้าพวกนี้นี่เป็นทาสความปรารถนาในการฆ่าฟันเสียจริง”

“ว่ากันว่าในมิติอเวจีแบ่งออกเป็น 666 ชั้น แต่ยังมิมีผู้ใดยืนยันเรื่องนี้ ปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ในนั้น การสูญเสียในแต่ละการโจมตีย่อมมิใช่เรื่องใหญ่อันใดสำหรับบรรดาเจ้าแห่งปีศาจ” ช่วงเวลาที่ผ่านมาทำให้เฟร็ดมีความเข้าใจในประชากรปีศาจมากขึ้น

ปีศาจคือสิ่งมีชีวิตที่ไร้ซึ่งระเบียบวินัยอยู่เป็นนิจและไม่อาจควบคุมความกระหายเลือดของพวกมันได้ แต่พวกมันก็ยังอยากมีชีวิตมากกว่าต้องมาตาย หากว่าพวกมันไม่ถูกปีศาจชั้นสูงบีบบังคับ พวกมันย่อมไม่มีทางออกโจมตีทุกๆ วันแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการบุกรุกของพวกมันทำให้เกิดการสูญเสียอย่างหนักหน่วงทุกๆ ครั้งไป

เมสันกำลังจะบ่นถึงการใช้ชีวิตพรรค์นี้ แต่กลับเกิดระเบิดที่รุนแรงเหนือจินตนาการขึ้นเสียก่อน และเสียงระเบิดก็ดังเสียจนอัศวินอาภาทั้งสองหูดับไปชั่วขณะ

ทั้งสองหันขวับไปมองรอยแยกแห่งอเวจีโดยสันชาตญาณ แต่สายตาพวกเขากลับพร่าเลือนเพราะแสงสว่างเจิดจ้า ราวกับว่าดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าได้ผุดขึ้นมาเบื้องหน้าพวกเขา!

ทั้งคู่หลับตาลงโดยพลัน หยาดน้ำตาหลั่งไหลออกมามิหยุด พวกเขาแทบจะยืนได้ไม่มั่นคงด้วยซ้ำ

“พลังพิสดารอะไรกันนี่” เมสันโพล่งออกมาหลังจากที่เขาประคองตัวเองได้สำเร็จ แต่เสียงอุทานด้วยความตกตะลึงของเขากลับกลืนหายไปท่ามกลางเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว

ในขณะเดียวกันนั้น เขาก็พบว่าผิวหนังตนเองไหม้เล็กน้อย และนั่นยิ่งทำให้เขาตะลึงงันกว่าเดิม การระเบิดนี้เกิดขึ้นในเนินสูงสกาเล็ต แต่อุณหภูมิร้อนแผดเผาได้แผ่มาถึงที่ที่อยู่ห่างไกลและมีรอยแยกแห่งอเวจีกางกั้นระหว่างกลางเลยเชียวหรือ

แล้วตรงตำแหน่งเป้าหมายจะทรงพลังขนาดไหนกัน

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ต้องขอบคุณความสามารถในการฟื้นฟูอันยอดเยี่ยมหาใดเทียมของอัศวินอาภา ดวงตาของเมสันจึงกลับมาเป็นปกติ และเขาก็สัมผัสได้ว่าแผ่นดินไหวหยุดลงแล้ว

เกล็ดสีฟ้าดูแปลกพิสดารงอกออกมาตรงหัวตาทั้งสองข้างของเขา จากนั้นรูม่านตาของเขาก็หดตัววูบกลายเป็นเหมือนเส้นขีด ก่อนที่เขาจะมองไปทางรยแยกแห่งอเวจีอีกครา เพียงเพื่อจะพบกับกลุ่มควันรูปเห็ดที่ส่วนหัวใหญ่เป็นพิเศษ

เมสันรู้สึกตื่นตะลึงจากก้นบึ้งของหัวใจเมื่อเขานึกถึงประสบการณ์ของตนเมื่อครู่นี้

“…ความงามของการทำลายล้าง…” ซิการ์ของเฟร็ดตกลงไปที่พื้นแล้วในขณะที่เขามัวแต่ชื่นชมภาพที่อยู่ห่างออกไปไกล

เมสันพลันได้สติ “กลุ่มควันรูปเห็ด…เวทเปลวไฟนิรันดร์งั้นหรือ กำลังเสริมจากสภาเวทมนตร์มาถึงแล้วอย่างนั้นหรือ”

ในช่วงสงครามระหว่างสภาเวทมนตร์และศาสนจักรฝ่ายใต้ ‘เวทเปลวไฟนิรันดร์’ ถูกใช้ออกมาต่อหน้าคนทั้งนครเรนทาโต มันเป็นเวทที่ทรงพลังน่าคร้ามเกรงเสียจนกลุ่มผู้นำอาณาจักรทั้งหมดต้องให้ความสนใจมัน นอกจากนี้ ตามที่สภาเวทมนตร์ได้เปิดเผยกับเหล่าขุนนางของแต่ละอาณาจักรเป็นการส่วนตัว มิมีเวทมนตร์บทใดจะแข็งแกร่งไปกว่าพลังของเวทมนตร์ประเภทนี้ได้อีกแล้ว…

ในฐานะอัศวินอาภา เมสันกับเฟร็ดย่อมเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้นำของอาณาจักรโคเล็ตต์อย่างไม่ต้องสงสัย กลุ่มควันรูปเห็ดที่บรรยายไว้ในข่าวกรองได้ทิ้งความประทับใจให้กับพวกเขาอย่างลึกล้ำ

“เป็นจักรพรรดิแห่งอาร์คานา เจ้าแห่งพายุ หรือเจ้าแห่งธาตุกันที่มาถึง” เฟร็ดคาดเดา ก่อนที่เขาจะเอ่ยด้วยความโล่งอก “ดูเหมือนว่าเราจะได้ออกไปจากที่นี่แล้วล่ะ…”

‘ใช่ ในเมื่อบัดนี้กำลังเสริมมาถึงที่นี่แล้ว เหล่าเอลฟ์ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการลอบโจมตีจากชนเผ่าแห่งท้องทะเลที่อาจเกิดขึ้นได้อีก’

เมสันเองก็ดูเหมือนจะโล่งใจเช่นกัน เขามองไปทางตัวเมืองแล้วเอ่ยเสียงแผ่ว “ข้าไม่อยากจะใช้เวลาอยู่ในที่แห่งนี้แม้อีกเพียงวินาทีเดียว มิเช่นนั้นข้าอาจสูญเสียการควบคุมตัวเองไป…”

หลังจากนั้น ทั้งสองก็มองไปทางที่ราบสูงอาบโลหิตเบื้องหลังรอยแยก ก่อนที่พวกเขาจะเอ่ยขึ้นพร้อมกัน “ช่างเป็นเวทมนตร์ที่น่าหวาดกลัวจริงๆ…”

“กองทัพปีศาจถอยหลับไปแล้ว ตอนนี้เราไปตรวจสอบรอยแยกแห่งอเวจีและหารือกันได้แล้วล่ะ” ลูเซียนกล่าว โดยที่มือทั้งสองข้างยังคงซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อสูทกระดุมสองแถว

หลังจากเหลือบมองอาการนิ่งงันของแลงค์เชียร์ เซลินดา และเอลฟ์ตนอื่น นาตาชาก็ลอบหัวเราะในใจแล้วพูดผ่านทางกระแสจิต “ทำได้ดีมาก!”

นางชมชอบความรู้สึกในการข่มขวัญทุกสิ่งทุกอย่างด้วยพละกำลังล้วนๆ หลังจากเฝ้ามอง ‘เวทเปลวไฟนิรันดร์’ ทำลายล้างกองทัพปีศาจ เลือดในกายนางก็พลันเดือดพล่าน และนางแทบจะหยุดตัวเองมิให้ไล่ตามพวกปีศาจไปไม่ได้

มัลฟิวเรียนตวัดสายตากลับมา พลางเอ่ยเสียงแผ่ว “ข้าเป็นผู้ดูแลที่แห่งนี้ยามที่รอยแยกแห่งอเวจีเกิดความเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งอย่างยังปกติดีจนกระทั่งเช้าตรู่ เป็นตอนนั้นที่จู่ๆ ข้าก็สัมผัสได้ถึงการมาเยือนของความโกลาหลและไอสังหารจากมิติอเวจี เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงของกาล-อวกาศ ในตอนที่ข้าตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าก็พบว่ารอยแยกที่เคยยาวสิบเมตรและกว้างสองเมตร ได้ขยายใหญ่จนมีความกว้างสามสิบเมตรและเกือบจะสูงถึงสี่เมตร มันแทบจะเหมือนกับประตูมิติที่เกิดขึ้นทางธรรมชาติ…”

เขาอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในยามนั้นพร้อมกับบอกขนาดที่แท้จริงของรอยแยก พยายามจะให้ข้อมูลกับลูเซียนและแอตแลนต์อย่างละเอียดที่สุด เพื่อที่พวกเขาจะได้ตรวจสอบสาเหตุได้ด้วยความรู้ที่มีความพิเศษของพวกเขา

แต่หลังจากรับฟังคำบอกเล่า ลูเซียนกับแอตแลนต์ก็มิได้ออกความเห็นใดๆ กลับเริ่มตรวจสอบรอยแยกด้วยเวทมนตร์ จนกระทั่งเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ พวกเขาจึงเอ่ยปากถาม “ท่านผู้เฒ่ามัลฟิวเรียน การมาเยือนของมิติอเวจีและการเปลี่ยนแปลงของกาล-อวกาศเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน หรือว่าเกิดขึ้นต่อจากกันอย่างนั้นหรือ”

มัลฟิวเรียนนึกย้อนกลับไปอย่างระมัดระวัง ก่อนจะตอบว่า “ข้าคิดว่าพวกมันเกิดขึ้นพร้อมกัน แต่หลังจากผ่านไปสองวินาที การเปลี่ยนแปลงของกาล-อวกาศก็มีอำนาจเหนือกว่ากลิ่นอายแห่งอเวจี ตอนที่ข้าได้สติ กลิ่นอายแห่งอเวจีก็เข้มข้นขึ้นจนบดบังการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ไปเสียสิ้น”

ลูเซียนกับแอตแลนต์ถามคำถามสำคัญอีกสองสามคำถาม ในขณะที่มัลฟิวเรียน โลเดลล์ และเซรินดาตอบพวกเขาไปตามหน้าที่ คำบอกเล่าของพวกเขาตรงกัน มิมีคนใดที่ดูเหมือนกำลังโกหกอยู่

“อีวานส์ เจ้าพอจะมีข้อสรุปแล้วหรือไม่” มัลฟิวเรียนถามด้วยความวิตกกังวล

ลูเซียนพยักหน้า “มันดูเหมือนกับการหาปริพันธ์[1]ของมิติ ใกล้ๆ กับรอยแยกมิติ เมื่อใดที่ตัวแปรทางสภาพแวดล้อมของมิติทั้งสองฝั่งมีความคล้ายคลึงกัน มิติจะค่อยๆ หลอมรวมกัน ยังผลให้รอยแยกขยายใหญ่ขึ้น หากเราไม่หยุดมันไว้ การกลืนกินของมิติอเวจีจะส่งผลให้เกิดผลกระทบร้ายแรงกับโลกใบนี้ ภูเขาไฟจะระเบิด คลื่นยักษ์และแผ่นดินไหวจะทำลายล้างแทบทุกชีวิตและสถานที่”

ลูเซียนกับแอตแลนต์ได้ข้อสรุปนี้จากกรณีที่เคยเกิดขึ้นคล้ายๆ กันในจักรวรรดิเวทมนตร์ แต่มิมีผู้ใดล่วงรู้ว่ามิติจะหลอมรวมได้จริงหรือไม่ ลูเซียนยังเสนอทฤษฎีทางอาร์คานาอย่างละเอียดไม่ได้ จนกว่าเขาจะล่วงรู้ความจริงของโลกมากกว่านี้

“ตัวแปรทางสภาพแวดล้อมของมิติที่คล้ายคลึงกันงั้นรึ” มัลฟิวเรียนถามด้วยความมึนงงสับสน “แต่ข้าไม่รู้สึกเลยว่าเขตแดนรอบๆ นิรนามนครจะเปลี่ยนแปลงไปจนคล้ายกับมิติอเวจีเลยสักนิด…”

แลงค์เชียร์หรี่ตาลง “บางที มันอาจเป็นแผนการร้ายก็ได้…”

“เหตุใดมันจึงเกิดขึ้นกับมิติทางฝั่งนี้แทนที่จะเกิดขึ้นบนเนินสูงสกาเล็ตกันเล่า” นาตาชาเตือนพวกเขา

มัลฟิวเรียนขมวดคิ้วมุ่น “พวกปีศาจใจเย็นพอจะสร้างวงแหวนเวทขนาดมหึมาหรือหันไปใช้วิธีการที่ซับซ้อนแบบอื่นกันแน่นะ”

เป็นที่ยอมรับกันดีว่าเหล่าปีศาจมีสติปัญญาเทียบเท่ามนุษย์ พวกมันเคยพยายามวางแผนร้ายเหมือนอย่างภูตผี แต่พวกมันเป็นพวกไร้ระเบียบวินัยและมักจะลืมแผนการที่วางไว้ในวินาทีสุดท้าย พวกมันจึงมีแนวโน้มจะทำอะไรมั่วซั่วตามใจมากกว่า

“มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทั้งหมด มีเจ้าแห่งปีศาจอยู่สองตนที่มีระเบียบเรียบร้อยกว่าตนอื่นๆ หนึ่งในนั้นคือแอ็ปซิส เจ้าแห่งภูตผี แห่ง ‘ดินแดนโครงกระดูก’ ส่วนอีกตนคือกอนไฮล์ม แห่ง ‘ป้อมปราการเยือกแข็ง’ ทั้งคู่เป็นเหมือนภูติผีมากกว่าปีศาจ” แอตแลนต์ทัดทานมัลฟิวเรียน ทั้งสองตนนั้นเป็นเจ้าแห่งปีศาจระดับสาม ผู้มีพลังเทียบเท่ากับผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุดในโลกมนุษย์

“นี่เราต้องเข้าไปตรวจสอบในมิติอเวจีหรือไม่” โลเดลล์ถามอย่างวิตกกังวล “อีกอย่าง ปัญหาอาจอยู่ที่ฝั่งเราก็ได้”

แอตแลนต์ก้มลงไปมองเมืองด้านล่าง และก็พบว่าชาวเอลฟ์ได้ปิดตายเมืองนี้แล้ว เขาจึงถามไปว่า “พวกท่านสงสัยว่าจะมีอะไรผิดปกติกับพวกนักผจญภัยเหล่านั้นหรือ หรือว่าท่านกังวลว่าพวกเขาจะเปิดโปงข่าวสารนี้กัน”

มัลฟิวเรียนอธิบาย “เป็นเฟอร์รากอนด์ที่เสนอเรื่องนี้ขึ้นมาในตอนแรก เพื่อป้องกันมิให้พวกคัวโทนรู้ข่าวนี้และกักตัวผู้ที่อาจเป็นตัวการเอาไว้ที่นี่ เราจะทำการปิดเมืองต่อไปและระบุตัวตนของพวกเขาทีละคนๆ”

“ข้าช่วยท่านในเรื่องนี้ได้” แอตแลนต์บอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

แลงค์เชียร์และเซลินดาไม่นึกสงสัยเลยสักนิด เนตรแห่งคำสาปย่อมเชี่ยวชาญเรื่องประเภทนี้อยู่แล้ว

หลังจากรับฟังบทสนทนาจนจบ ลูเซียนก็พยักหน้า “เราจำเป็นต้องมีผู้มีพลังชั้นตำนานอยู่ที่นี่ นาตาชากับข้าจะไปเยี่ยมเยือนมิติอเวจีเอง”

โดยทั่วไปแล้ว ผู้มีพลังชั้นตำนานทั้งหมดไม่ควรเข้าไปในมิติอเวจีพร้อมกัน เพราะมันอาจจะเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นได้หากจะทิ้งนักเวทให้อยู่ในถิ่นพำนักตามลำพังแล้วผู้ศรัทธาในนิกายธรรมชาติเคียดแค้นเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา

“เจ้าจะเข้าไปในมิติอเวจีงั้นหรือ” มัลฟิวเรียนรู้สึกเป็นห่วง

ลูเซียนยิ้มกริ่ม “เจตจำนงแห่งอเวจียังรักษาตัวจากบาดแผลสาหัสที่เกิดจากพลังพระเจ้าเสด็จ มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะโจมตีเราโดยตรง ถึงแม้ว่ามันจะบ้าพอที่จะทำเช่นนั้น ตอนนี้มันก็หาได้แข็งแกร่งเท่าเมื่อก่อน เราสามารถหลบหนีออกมาได้ตลอดหากว่าเราเอาชนะมันมิได้ ใช่ไหมล่ะขอรับ เจ้าแห่งปีศาจตนอื่นๆ เองก็เหมือนกัน ข้าย่อมไม่เสียสติมากพอจะยอมให้พวกมันกลุ้มรุมหรอก”

นั่นคือความมั่นใจของมหาจอมเวท เหมือนอย่างที่เฟอร์นันโดเชื่อมั่นว่าเขาจะหลบหนีจากพระสันตะปาปาได้ ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่อาจใช้พลังพระเจ้าเสด็จได้

แต่มัลฟิวเรียนก็ยังคงเป็นกังวลอยู่ดี “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”

………………………………….

[1] เป็นที่ใช้หาพื้นที่ มวล ปริมาตร หรือผลรวมต่างๆ. เราอาจหาปริพันธ์ได้หลายวิธี แต่ไม่ว่าหาด้วยวิธีใด ก็จะได้ผลลัพธ์เท่ากันเสมอ