หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว มองไปที่ทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกของห้องขัง
องครักษ์หลวงได้ยินเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ร้อนรนประสานมือแล้วตอบกลับไปว่า “แม่นางเมิ่ง อาหารเมื่อคืนของพวกเขา พวกเราได้ทำการตรวจสอบไปแล้ว ไม่มีอะไรที่ผิดสังเกตขอรับ”
“ไม่ใช่ยาพิษจากเมื่อคืน แต่ว่าเป็นเพราะได้รับพิษมานานแล้ว เพียงแต่พิษนั้นวนเวียนอยู่ในร่างกาย ไม่ได้ออกฤทธิ์ต่างหาก” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
“นี่…”
“คนที่ได้รับพิษแล้วนั้นล้วนเป็นแบบนี้ทั้งสิ้น ไม่มีทางที่จะได้รับพิษในเวลาเดียวกัน สิ่งที่อธิบายได้อย่างเดียวก็คือพิษถูกผสมอยู่ในน้ำ พวกเจ้ารีบส่งคนไปตรวจสอบที่จวนของหวังเต๋อเซิ่งเร็วเข้า ว่าในน้ำมีพิษหรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบาย
นายทหารมองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน เมื่อเห็นเขาไม่ได้คัดค้านใดๆ จึงขานรับ แล้วรีบออกไป
นายอำเภอที่ยืนอยู่ด้านนอกห้องขัง ก็ได้ยินคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวเช่นเดียวกัน ครั้งนี้เหงื่อก็ไหลท่วมตัวแล้ว ตระกูลหนึ่งยี่สิบกว่าคน ทั้งหมดโดนวางยาลอบฆ่า ไม่เหลือรอดเลยสักคน แม้กระทั่งเด็กก็ไม่เว้น เห็นได้ว่าอีกฝ่ายช่างโหดร้ายจริงๆ ยังดีที่ตนเองไม่ได้โดนไปด้วย มิเช่นนั้นแล้วตอนนี้ที่บ้านไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือคนแก่ก็จะนอนนิ่งเหมือนกับพวกเขา ยิ่งคิดยิ่งกลัว ยิ่งคิดยิ่งน่าใจหาย เหงื่อไหลออกมามากกว่าเดิม อีกสักพักหลังก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวได้เดินไปที่ห้องขังห้องอื่นๆ เพื่อตรวจสอบสภาพศพทั้งหมด หวงฝู่อี้เซวียนทำหน้านิ่งตามอยู่ข้างหลัง
ดูเหมือนว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร ตัวของเขาราวกับว่ามีรังสีอัมหิตแผ่ออกมา นักโทษที่ปกติแล้วจะโวยวายตลอดเวลา วันนี้กลับไม่กล้าส่งเสียงออกมา กลัวว่าจะไปยั่วโมโหบุคคลผู้นี้ แล้วจะทำให้โดนทำโทษอย่างไร้เมตตา
ห้องขังที่เงียบสงบ แม้ความเคลื่อนไหวสักนิดก็ไม่มี ยิ่งทำให้ใจของนายอำเภอเต้นแรงกว่าเดิม
เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ก็ลุกขึ้นยืน แล้วพยักหน้าให้หวงฝู่อี้เซวียนว่า “ไม่ผิดแน่”
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็ยิ่งดุดันขึ้น เหล่าทหารก็ตกใจก้มหน้าลง คนยี่สิบคนตายอยู่ข้างหน้าพวกเขา อีกทั้งพวกเขานั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลย ว่าแล้ว ทหารองครักษ์เหล่านี้ก็ไม่กล้าที่จะออกไปสู้หน้าคนแล้ว
ในห้องขังเงียบขึ้นเรื่อยๆ เงียบเสียจนนักโทษในห้องขังไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ในที่สุด นายทหารที่ไปตรวจสอบที่บ้านของหวังเต๋อเซิ่งก็กลับมารายงานว่า “ซื่อจื่อ ข้าน้อยได้ทำการตรวจสอบแล้ว เป็นอย่างที่แม่นางเมิ่งพูดไว้จริงๆ น้ำในบ้านของหวังเต๋อเซิ่งถูกวางยาพิษจริงๆ ด้วยขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนรีบเดินอกไปข้างนอก เมิ่งเชี่ยนโยวและเหล่าทหารตามอยู่ด้านหลัง
นายอำเภอตามอยู่ข้างหลังอย่างกังวล ได้วิ่งตามมา
เมื่อถึงห้องขัง หวงฝู่อี้เซวียนหันหลังกลับมา แล้วพยุงเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นบนหลังม้า แล้วตนเองก็ตามขึ้นไป ออกคำสั่งว่า “นำทางไป!”
ทหารม้าองครักษ์รู้ดีว่าเขาจะไปตรวจสอบที่บ้านของหวังเต๋อเซิ่ง ตอบรับ แล้วรีบขึ้นหลังม้า นำทางไปที่สำนักงานเขต
นายอำเภอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็กัดฟัน แล้วรับสั่งกับคนรับใช้ว่า “พยุงข้าขึ้นหลังม้า”
คนรับใช้ทั้งสองออกแรงอย่างมากในการพยุงนายอำเภอขึ้นหลังม้า แต่ว่าเขาเป็นเพียงแค่ขุนนางฝ่ายบุ๋น ขี้ม้าเป็นที่ไหนกัน ไม่ว่าทั้งสองคนจะออกแรงมากขนาดไหน เขาก็ขึ้นไม่ได้ เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนเดินห่างออกไปเรื่อยๆ นายอำเภอก็ลุกลี้ลุกลน ออกคำสั่งให้คนรับใช้ทั้งสองปล่อยเขา แล้วนำคนรับใช้หลายคนวิ่งเหยาะๆ ไปที่สำนักงานเขต
ตอนที่พวกเขาวิ่งจนหายใจไม่ทันไปจนถึงที่หมายนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้ทำการตรวจสอบสำนักงานเขตจนแทบจะเสร็จทั้งหลังแล้ว
นายอำเภอยืนนิ่ง จัดหมวกตำแหน่งนายอำเภอของตนเอง แล้วถึงจะกล้าเดินเข้าไปที่ด้านหลังของหวงฝู่อี้เซวียน รอเขาที่กำลังออกคำสั่งอยู่
เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวตรวจสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินกลับมาข้างๆ หวงฝู่อี้เซวียน บอกว่า “จานชามที่ใช้กินข้าวทั้งหมดและแก้วน้ำล้วนมีพิษ พิษถูกวางลงไปที่น้ำแน่นอน”
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปากไม่พูดสิ่งใด
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปที่ข้างๆ เขา พูดเบาๆ ว่า “ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่สนว่าเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ แต่ก็จะไม่ให้เหลือรอดไปได้”
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็เขียวคล้ำขึ้นกว่าเดิม เหตุใดเขาจึงคิดไม่ถึงว่าเฮ่อจางจะโหดเ**้ยมอำมหิตถึงเพียงนี้ แม้กระทั่งผู้สืบทอดก็ไม่ละเว้น ไม่เพียงแต่เอาชีวิตของเขา กระทั่งลูกเด็กเล็กแดงคนเฒ่าคนแก่ก็ไม่ปล่อยให้เหลือรอดไปได้ แบบนี้ แม้ว่าจะมีหลักฐานว่าเฮ่อจางและหวังเต๋อเซิ่งร่วมมือกันก็เถอะ แต่หวังเต๋อเซิ่งตายไปแล้ว เฮ่อจางไม่มีทางยอมรับเป็นแน่ หลักฐานไม่เพียงพอ ฮ่องเต้ก็จะไม่สามารถลงโทษสถานหนักได้
เมื่อเห็นสีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เลยปลอบใจเขาว่า “หนทางยังอีกยาวไกล แม้ว่าวันนี้หวังเต๋อเซิ่งไม่ตาย และหลงเหลือหลักฐานไว้ ไม่แน่ว่าเราก็อาจไม่สามารถทำให้เขารับโทษประหารได้ ในเมื่อเขามีความคิดเช่นนี้ ต่อไปต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแน่ เมื่อถึงตอนนั้นก็จะมีหลักฐานหลุดออกมาเอง ตอนนั้นพวกเราค่อยคิดหาวิธีจับเขาก็ยังไม่สาย”
เฮ่อจางเป็นคนบงการเรื่องนี้ แต่ตอนนี้มากคนก็มากความ เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะทำให้เรื่องนี้บานปลาย จนทำให้เกิดความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น เมิ่งเชี่ยนโยวจึงพูดโดยไม่เอ่ยชื่อของเขา แต่ใช้ “เขา”เป็นสรรพนามแทน
เมื่อเป็นแบบนี้ หวงฝู่อี้เซวียนทำได้เพียงคิดตามนี้ เขาเอ่ยปากถามว่า “เฉียวหมิ่นเป็นอย่างไรบ้าง”
“เฉียวหมิ่นไม่เป็นไรขอรับ เพื่อป้องกันไม่ให้นางเกิดเรื่องอันใดขึ้น พวกเราได้นำตัวนางไปขังไว้ที่ห้องขังอื่นแล้วขอรับ” ทหารองครักษ์นายหนึ่งรายงาน
“เฝ้านางไว้ให้ดี ถ้าหากว่านางเป็นอะไรไป พวกเจ้าก็ไม่ต้องกลับไปเมืองหลวงอีก” หวงฝู่อี้เซวียนออกคำสั่ง
ทหารองครักษ์ทั้งหลายกระเตื้องขึ้น แล้วตอบรับกลับ
หวังเต๋อเซิ่งได้ตายไปแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนไม่จำเป็นที่จะต้องปล่อยเขากลับเมืองหลวง เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ออกคำสั่งกับนายอำเภอว่า “เอาศพทั้งหมดไปจัดการซะ”
นายอำเภอตอบรับ
แล้วหันไปสั่งทหารม้าองครักษ์ว่า “ตอนนี้ข้ายังมีพยานอีกคนหนึ่ง หลังจากที่ปล่อยออกมาแล้วสักพัก พวกเจ้าคุมตัวนางและเฉียวหมิ่นกลับเมืองหลวง ไปส่งให้ท่านแม่ทัพฉู่ ส่วนกระบวนการของพวกนาง ข้าจะเขียนเป็นจดหมาย พวกเจ้านำไปให้กับท่านแม่ทัพก็พอ”
ใครคือพยานอีกหนึ่งคน เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ดี เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ก็รีบออกคำสั่งกับองครักษ์หลวงว่า “พวกเจ้าทั้งสามคนกลับบ้านไป ให้รั่วหลานและครอบครัวของนางได้เห็นหน้าเสียหน่อย หลังจากนั้นก็ให้คนคุมตัวนางมา ส่งตัวให้กับทหารม้าองครักษ์ก็พอแล้ว จงระวังตัว อย่าให้ระหว่างทางเกิดเรื่องผิดพลาดอันใดขึ้น”
องครักษ์หลวงตอบรับ หันตัวขึ้นหลังม้า ควบม้ามุ่งหน้าไปที่บ้าน
คนอีกกลุ่มหนึ่งก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่ด้านหลังสำนักงานเขต พวกเขาวกกลับมาที่ด้านหน้าของสำนักงานเขต
นายอำเภอรีบสั่งนายทหารที่ติดตามมาด้วยให้เช็ดเก้าอี้ที่เอาไว้พิพากษาคดีความ แล้วเชิญหวงฝู่อี้เซวียนนั่งลง
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งลงทันที ออกคำสั่งว่า “นำกระดาษและหมึกมา!”
หน้าสำนักงานมีหมึกกับกระดาษอยู่ นายอำเภอนำไปให้ด้วยตนเอง เขาวางไว้หน้าหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนกำลังจะหยิบพู่กันขึ้นมาจุ่มหมึกเพื่อเขียนหนังสือ เมิ่งเชี่ยนโยวได้ห้ามเอาไว้ “น้ำหมึกนี้ไม่รู้ว่าฝนไว้ตั้งแต่เมื่อไร อย่าใช้เลย”
หวงฝู่อี้เซวียนรู้ความหมายของเมิ่งเชี่ยนโยว เขารีบวางพู่กันลงทันที
นายอำเภอรู้ความหมายคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยว สีหน้าก็ซีดลงทันที พูดอย่าลนลานว่า “ซื่อจื่อ ข้าน้อย…”
หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือ พูดขัดเขาว่า “ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
นายอำเภอขอบคุณทั้งหน้าซีดๆ
หวงฝู่อี้เซวียนยังสั่งเขาอีกว่า “ให้รีบจัดการสำนักงานเขตให้เรียบร้อยโดยเร็ว”
ให้จัดการอะไร นายอำเภอรู้ดีแก่ใจ
เขาตอบกลับอย่างนอบน้อม แต่ในใจก็ยังคงกลัวเสียเหลือเกิน ไอตัวบงการเบื้องหลังคนนั้น ได้วางยาพิษลงในน้ำบ่อน้ำทางด้านหลังของสำนักงานเขตหมดแล้ว เขาไม่เพียงแต่ออกคำสั่งให้คนนำข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ โยนออกไปอย่างระมัดระวัง แล้วยังต้องจัดการถมบ่อน้ำในสำนักงานให้หมดอีก แล้วให้คนขุดบ่อใหม่ขึ้นมาอีก เมื่อคิดเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะแอบด่าไอตัวบงการเบื้องหลังคนนั้น สาปแช่งให้เขาไม่มีน้ำดื่ม
หวงฝู่อี้เซวียนไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เมื่อออกคำสั่งแล้ว ก็ลุกเดินออกไป และทุกคนก็เดินตามออกไปด้วย
นายอำเภอพูดหยั่งเชิงออกไปว่า “ซื่อจื่อ บ้านของข้าน้อยห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก ท่านไปเขียนหนังสือที่บ้านของข้าน้อยดีกว่าหรือไม่ขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่เขาอย่างนิ่งเฉย แล้วไม่ได้พูดอะไร นายอำเภอไม่รู้ความหมายของสายตาที่เขามองมา เขาใจเต้นแรง รอคอยคำตอบของเขา
“อี้เซวียน” เมิ่งเชี่ยนโยวตะโกนเรียกแล้วเดินมาที่ข้างกายเขา
หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก ท่าทีราวกับว่ากำลังรวบรวมความกล้าอยู่ แล้วบอกว่า “ต้องรออีกสองสามชั่วยามกว่ารั่วหลานจะถูกปล่อยตัวออกมา ข้าอยากใช้ช่วงจังหวะนี้ไปดูท่านลุงและท่านป้าจูเสียหน่อย”
สายตาที่กำลังครุ่นคิดของหวงฝู่อี้เซวียน จ้องเขม็งไปที่นาง โดยไม่พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวกลืนน้ำลายลงคออย่างไม่รู้ตัว ก้าวเท้าถอยหลังไปเล็กน้อย ใบหน้าฝืนยิ้ม บอกอย่างกล้าๆ กลัวๆ ไปว่า “ข้า ข้าไม่ไป…”
“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” หวงฝู่อี้เซวียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์
เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักไป แล้วปรากฏใบหน้ายิ้มแย้มออกมา นางยิ้มจนดวงตาเป็นเส้นตรง นางขยับเท้า เดินไปที่ข้างๆ เขา มองเขาด้วยสายตาออดอ้อน “ข้าก็แค่ไปดูเท่านั้น ถ้าหากว่าพวกเขาไม่เป็นอะไร พวกเราจะรีบออกมา”
“อืม” เสียงเบาๆ ถูกเปล่งออกมา หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกจากสำนักงานเขตไป แล้วยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มที่เดาอะไรไม่ได้เลย
เมื่อเดินออกมาจากสำนักงานเขต หวงฝู่อี้เซวียนออกคำสั่งกับทหารองครักษ์ว่า “ไม่ต้องตามไป เฝ้านักโทษไว้ให้ดี ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็มา”
ทหารองครักษ์ขานรับ
หวงฝู่อี้เซวียนหันกลับมา ยื่นมือออกมาพยุงเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นบนหลังม้า แล้วตามด้วยตนเอง ทั้งสองคนขี่ม้ามุ่งไปที่จวนตระกูลจู
เมื่อเขาลับไป ทหารองครักษ์ก็แยกย้าย นายอำเภอถึงได้รู้สึกว่าเสื้อของตนเองนั้นเปียกชุ่ม ต้องกลับไปเปลี่ยนเสื้อที่บ้าน แล้วรีบมาสั่งให้คนจัดการด้านหลังสำนักงานให้เรียบร้อย
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสองคนมาถึงที่จวนตระกูลจู แล้วลงจากม้า
นายประตูของจวนจูรู้จักเมิ่งเชี่ยนโยว เขารีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า บอกว่า “แม่นางเมิ่ง ท่านมาแล้วหรือ”
“ท่านลุงและท่านป้าร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง”
“นายท่านและฮูหยินไม่เป็นอะไรแล้วขอรับ แค่ร่างกายอ่อนแอเล็กน้อย แต่นายน้อยอาการหนัก นอนอยู่บนเตียง ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ขอรับ” นายประตูบอกไปตามความจริง
เมิ่งเชี่ยนโยวมีอาการร้อนใจ จิกเท้าแล้วถามว่า “ให้หมอมาดูหรือยัง”
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นท่าทางร้อนรนของนาง ก็ไม่ค่อยสบายใจเท่าไร เขากระแอมเบาๆ ไปหนึ่งครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกตัวได้ หันไปมองเขา
“รักษาไปแล้วขอรับ หมอบอกว่าใช้ร่างกายมากเกินไป จะต้องพักฟื้นอีกสักระยะถึงจะหาย”
คำพูดของนายประตู เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้เข้าใจถึงเหตุผลว่าทำไมจูหลานถึงได้ลุกไม่ขึ้น คงเป็นเพราะหลายวันนั้นโดนเฉียวหมิ่นวางยากำหนัด ทำให้ร่างกายได้รับผลกระทบเล็กน้อย พอเปิดปากอยากจะพูด แล้วคิดได้ว่ามีหวงฝู่อี้เซวียนยืนอยู่ข้างๆ กลับกลายเป็นประโยคคำถามแทน “ท่านลุงท่านป้ายังอยู่ที่เรือนเดิมใช่หรือไม่”
“อยู่ขอรับ แม่นางเมิ่งเข้าไปได้เลยขอรับ” นายประตูตอบ
แล้วเอาเชือกจูงม้ายื่นให้กับนายประตู ทั้งสองคนเดินเข้าไปในจวนจู เมิ่งเชี่ยนโยวนำทางหวงฝู่อี้เซวียนเข้ามาที่จวนหลักอย่างชำนาญ สาวใช้ บ่าวใช้ที่เจอระหว่างทางต่างคำนับนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวได้แต่พยักหน้าตอบรับ
มาถึงจวนหลัก สาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูมองเห็นนาง จึงรีบเข้าไปรายงานด้วยความตื่นเต้นว่า “นายท่าน ฮูหยิน แม่นางเมิ่งมาเจ้าค่ะ” เมื่อพูดจบ ก็คำนับนาง เปิดม่านประตูออก แล้วเชิญพวกเขาเข้ามา
นายท่านจูและฮูหยินจูอายุมากแล้ว ถึงแม้ว่าจะได้พักไปหนึ่งคืนแล้ว ฟื้นฟูกำลังกายแล้วบ้าง แต่ก็ไม่สามารถเหมือนวัยรุ่นที่จะมีกำลังเลยประเดี๋ยวนั้น ตอนนี้กำลังนั่งพักอยู่ในห้อง เมื่อได้ยินเสียงรายงานของสาวใช้ ทั้งสองคนก็ลุกขึ้นพร้อมกัน ฮูหยินจูไปต้อนรับอยู่หน้าประตู แล้วหัวเราะว่า “โยวเอ๋อร์ ครั้งนี้ลำบากเจ้าเลย…” เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนที่ยืนอยู่ข้างๆ นางนั้น สีหน้าก็ปรากฏความตื่นตระหนก นางชะงักไป แข้งขาอ่อนระทวย จนจะคุกเข่าลง เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเข้าพยุงทันที
นายท่านจูก็เห็นหวงฝู่อี้เซวียนเหมือนกัน เขาก้าวเท้าไปข้างหน้า ทำท่าจะคุกเข่าลงคำนับเช่นกัน
หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือมาพยุงนาง แล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “ไม่มีผู้ใดอยู่ด้านนอก นายท่านจูและฮูหยินจูไม่จำเป็นต้องมากพิธี”
“ขอบคุณซื่อจื่อ” นายท่านจูและฮูหยินจูจึงละเว้นคารวะ แล้วพูดขอบคุณพร้อมกัน แล้วเดินไปพูดว่า “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่ง เชิญนั่ง”
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องอย่างสง่างาม ใช้น้ำเสียงอันอบอุ่นพูดขึ้นว่า “หลังจากเมื่อวานที่โยวเอ๋อร์กลับไปแล้ว นางเป็นห่วงท่านทั้งสองจริงๆ วันนี้จึงเข้ามาดู ข้าก็ว่างพอดี ก็เลยมากับนาง ท่านทั้งสองทำตัวตามสบายเถิด”
เมื่อพูดแบบนี้แล้ว แต่ตอนนี้เขาเป็นถึงซื่อจื่อ สองคนนั้นจะกล้าพูดซี้ซั้วได้อย่างไร ขนาดฮูหยินจูที่ปกติเวลาเมิ่งเชี่ยนโยวมาที่นี่ นางจะจูงมือของนาง วันนี้ยังไม่กล้าทำเลย
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่านทั้งสองเกร็งจนทำอะไรไม่ถูก จึงยิ้มแล้วจูงท่านป้าจูมาที่ข้างๆ เตียง บอกว่า “ข้าจะตรวจชีพจรให้ท่านเสียหน่อย ดูซิว่าร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง”
นางรู้อยู่แล้วว่าวิชาการแพทย์ของเมิ่งเชี่ยนโยวนั้นล้ำเลิศ ฮูหยินจูไม่ได้ปฏิเสธ นางยื่นมือวางไปที่เตียงให้นางทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวใช้มือคลำลงไปที่ชีพจร วิเคราะห์อย่างละเอียดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง เสร็จแล้วก็ปล่อยมือพูดขึ้นว่า “แค่ร่างกายอ่อนแอเล็กหน่อย พักฟื้นไม่กี่วันเดี๋ยวก็หาย”