ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข้า ตอนที่ 52 อวี้หลินจอมกะล่อน

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

อวิ๋นเยี่ยเห็นเจวี๋ยหย่วนโมโหแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ ลุกขึ้นเดินไปยังที่พักของเจ้าอาวาสซึ่งอยู่ใกล้ห้องรับแขกมาก เดินไปตามกลิ่นยาที่นำทาง เลี้ยวผ่านเฉลียงทางเดินสองสามรอบแล้วอวิ๋นเยี่ยก็มาถึงบริเวณที่มีแต่พรรณไม้ชนิดต่างๆ

 

มีพระสงฆ์หนุ่มกำลังต้มยาที่เฉลียง ใช้พัดในมือคอยโบกฟืนสนเบาๆ หม้อยาดำเมื่อมกำลังเดือดปุดๆ ใบหน้าที่งดงามไม่แสดงอารมณ์ใดๆ

 

การที่อวิ๋นเยี่ยบุกเข้าห้องเจ้าอาวาสโดยไร้เหตุผล ทำให้แม้แต่อาจารย์ถานอิ้นก็เกิดอารมณ์ขุ่นมัว อาจารย์เจวี๋ยหย่วนกำหมัดแน่นจนเกิดเสียงดังเอี๊ยดๆ พระผู้เยาว์ที่ปรนนิบัติในห้องลุกขึ้นมาเตรียมขับไล่แต่ถูกเฉิงฉู่มั่วสกัดเอาไว้

 

อาจารย์อวี้หลินที่นั่งเข้าฌานอยู่บนเตียงลืมตาขึ้นมากะทันหัน ท่องคำว่าอู๋เลี่ยงโซ่วฝูแล้วก็พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ข้ายังนึกว่าใครมา ไม่นึกว่าจะเป็นอวิ๋นโหว พระพุทธเจ้าศักดิ์สิทธิ์จริง ข้ารออยู่นานแล้ว”

 

อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจว่าพระชราพูดอะไร คว้าข้อมือพระชราแล้วจับชีพจร พบว่าชีพจรเต้นแรงมีพลังยังดีกว่าของตัวเองอีก แม้คิดจะตายก็ยังยาก

 

“พระเฒ่าเอ๋ยท่านจบสิ้นแล้ว ดูชีพจรท่านอยู่เกินร้อยได้สบายมาก ทีนี้ก็ดีเลยที่ไม่ตายก็จะตายแล้ว” ท่าทางสมน้ำหน้าเต็มที่ตามแบบอวิ๋นเยี่ย

 

ทั้งถานอิ้นกับเจวี๋ยหย่วนกำลังจะพูดก็โดนอาจารย์อวี้หลินไล่ออกไป เฉิงฉู่มั่วก็โดนถานอิ้นคว้าคอเสื้อหิ้วออกไปด้วยชนิดไม่มีสิทธิ์ต่อต้านเลย หนิวเจี้ยนหู่รู้ตัวดี พอได้ยินที่อวิ๋นเยี่ยพูดก็รู้ว่าเรื่องไม่ธรรมดาเลยลากซ่านอิงออกไปด้วย ในห้องคงเหลือเพียงอาจารย์อวี้หลินกับอวิ๋นเยี่ย

 

อวิ๋นเยี่ยกางแข้งกางขาบนพื้นห้องพูดอย่างเหนื่อยหน่ายว่า “พระเฒ่าเอ๋ย ที่เคยโม้ๆไว้แต่ก่อนเวลานี้กรรมตามสนองแล้ว อยู่ดีๆเอาอายุขัยตัวเองมาต่อรองด้วย เวลานี้คนมาเรียกร้องเอาแล้วท่านจะว่าอย่างไรดี”

 

อวี้หลินก็หาวแล้วเอนกายบนเก้าอี้นอน กระดิกคิ้วขาวทำท่าลิงหลอกเจ้า อาการนี้ทำเอาอวิ๋นเยี่ยสดุ้งเฮือกลุกขึ้นมานั่งตัวตรง “พระเฒ่า ท่านไม่กลัวตายจริงหรือ หรือคิดจะเบี้ยวหนี”

 

“ข้าอยู่มาถึงปีนี้เก้าสิบปีเต็มแล้วอีกเพียงสามวันก็จะถึงวันเกิดปีที่เก้าสิบเอ็ด จะสำคัญอะไรถ้าอยู่มากขึ้นหรือน้อยลงสักกี่ปี อวิ๋นโหวจะมาทำให้ข้าตื่นเต้นตกใจยังไม่เข้าขั้นหรอก”

 

อวิ๋นเยี่ยถอนหายใจ ใครจะไปนึกว่าพระสงฆ์ระดับสุดยอดแห่งยุคจะเป็นจอมกะล่อน เป็นทั้งกะล่อนทองกะล่อนเงิน

 

“อวิ๋นโหว เพียงแค่ฝ่าบาทตอบตกลงให้ข้าได้ตู้เตี๋ยเพิ่มขึ้นปีละหนึ่งในสิบส่วน สมบัติของวัดไม่โดนทางโลกเข้ามารุกล้ำแล้วเจ้ายกข้าไปจุดไฟเผาได้เลยทันที ไม่แน่ว่าเจ้าอาจเก็บอัฐิบางเม็ดของข้าไว้ไปบูชาในศาลเจ้าประจำตระกูลของเจ้า ถือเป็นเกียรติยิ่งใหญ่เลยทีเดียว”

 

“ครั้งก่อนที่ท่านคุยกับฝ่าบาทไม่ได้พูดเช่นนี้ ท่านอ้างพระพุทธพระธรรมทุกคำ หลักเซ็นลึกล้ำคำพูดแฝงความหมายเข้าใจยากเย็น จนข้าเองยังฟังไม่รู้เรื่องว่าท่านพูดอะไรกัน แต่เวลานี้กลับพูดเหมือนเป็นจอมกะล่อน เพราะอะไรหรือ”

 

อวิ๋นเยี่ยไม่เข้าใจเลยว่าพระชราบำเพ็ญเพียรลึกล้ำ รู้อยู่ว่าอายุขัยตัวเองไปได้อีกยาวแล้วทำไมจึงต้องเอาชีวิตตัวเองมาทำเป็นเล่น

 

ข้าสวดมนตร์บูชาพระมาแล้วแปดสิบปี สำหรับข้าแล้วมูลสุนัขก็เป็นพระ ดินโคลนก็เป็นพระ จอมกะล่อนก็เป็นพระ ข้าแปลงร่างได้ร้อยแปดพันอย่างแต่เวลานี้เป็นจอมกะล่อน เจ้าจะทำอะไรข้าได้”

 

พูดจบเพื่อแสดงตัวตนว่าเป็นจอมกะล่อน ถึงขนาดม้วนแขนเสื้อขึ้นมาควักขนมเส่าเกาจากตะกร้าหนึ่งชิ้นกินอย่างเอร็ดอร่อย อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ยอมแพ้ควักออกมาหนึ่งชิ้นด้วย ครึ่งชิ้นที่อยู่ข้างบนทั้งคู่ต่างไม่แตะต้อง

 

“พระเฒ่า ทำไมท่านไม่กินครึ่งชิ้นข้างบนกลับต้องเอาชิ้นเต็มที่อยู่ข้างล่าง”

 

“เจ้าไม่ใช่ทำเหมือนกันหรือ ครึ่งชิ้นข้างบนติดกลิ่นสัตว์เลี้ยงทำให้รสชาติหายไปครึ่งหนึ่ง ข้าชอบชนิดที่มีหัวมีท้ายไม่ชอบชนิดเริ่มต้นหรือจบลงกลางคัน”

 

ได้ยินคำพูดนี้แล้วอวิ๋นเยี่ยตกใจจนทำเส่าเกาในมือตกพื้น ถามอวี้หลินอย่างฝืดๆว่า “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าครึ่งหนึ่งนั้นป้อนให้วั่งไฉบ้านข้ากินไป” สาวน้อยสือสือเพียงแค่หักออกครึ่งชิ้นป้อนวั่งไฉไม่ได้ใช้ปากกัด เขารู้ได้อย่างไรกัน หรือว่ามีอภินิหารจริงๆ

 

“พวกเจ้ามนุษย์ทางโลกรู้น้อยมักตกใจมาก เรื่องง่ายๆมักจะคิดไปทางสลับซับซ้อน ก็สือสือบอกข้าไม่ได้หรือ นางเป็นเด็กดีที่ทั้งฉลาดทั้งเชื่อฟัง เป็นดอกไม้ป่าแสนงามที่หายากนักจะพูดโกหกได้อย่างไร”

 

ในหน้าอวิ๋นเยี่ยแดงก่ำช่างน่าขายหน้าจริงๆ แต่ต่อหน้าอวี้หลินมนุษย์เทพผู้โด่งดังคนนี้ใครจะไม่คิดไปทางสลับซับซ้อน คิดว่าพระเฒ่าจะต้องมีอภินิหารแน่นอนทำให้สามารถรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ ไม่นึกเลยว่าเพราะมีคนอื่นบอกให้รู้

 

“พระเฒ่า ท่านฝ่ายพุทธเอาฮ่องเต้ไปค้าขายโดยไม่ได้บรรลุถึงอะไรกลับทำให้อดตายทั้งเป็น ในเมื่อมีตัวอย่างเช่นนี้อยู่ก่อนแล้วฮ่องเต้คนไหนจะไม่ระแวงท่านฝ่ายพุทธ ฝ่าบาทไม่ได้สังหารฝ่ายพุทธทิ้งทั้งหมดนับว่าเพราะเห็นแก่วัดเส้าหลินแล้ว ท่านยังกล้าใช้ชีวิตเป็นเดิมพันในขณะที่เขาลำบากมากที่สุด เวลานี้ผลกรรมตามสนองแล้วพระเฒ่ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือ”

 

เป็นครั้งแรกที่อวี้หลินแสดงความเจ็บปวดบนใบหน้า ท่องคำพระออกมาแล้วจึงบอกอวิ๋นเยี่ยว่า “เรื่องฮ่องเต้เหลียงอู่ตี้เป็นความผิดของฝ่ายพุทธจริงๆ คนที่เชื่อถือพระพุทธเจ้าอย่างจริงจังคนหนึ่งโดนพวกฝ่ายพุทธชั่วร้ายทำลายล้างสิ้น เพียงเพราะกิเลสตัณหา ทำให้ผู้คนทั่วแผ่นดินคับแค้นใจฝ่ายพุทธ ทั้งตู้เหมินกับฝ่าหยวนพวกเจ้าต่างเป็นคนชั่วร้ายของฝ่ายพุทธ เดิมทีเพียงต้องการให้พวกเจ้าช่วยเหลืออู่ตี้เพื่อให้มีสันติสุขทั่วแผ่นดินราษฎรร่ำรวย ปรากฏเมืองพุทธที่แท้จริงออกมา ที่ไหนได้เรื่องดีๆที่จะทำให้เกิดการสร้างผลบุญชั่วลูกชั่วหลาน กลับถูกความโลภในทรัพย์สมบัติทำลายล้างจนหมดสิ้น การที่ฝ่ายพุทธมีเคราะห์กรรมเช่นทุกวันนี้เกิดขึ้นจากความโลภ ทุกอย่างล้วนมีต้นสายปลายเหตุ เวลานี้เป็นช่วงที่ฝ่ายพุทธจะต้องโดนชำระล้าง อวิ๋นโหว แค่ชีวิตของข้าคนเดียวจะชำระหนี้บาปนี้หมดได้อย่างไร หากลบล้างได้เพียงหนึ่งในหมื่นข้าเองก็ยินดีที่จะพร้อมตายอย่างยิ่ง”

 

เวลานี้พระเฒ่าไม่เหลือทางอื่นให้ไปได้อีกแล้วต่างกับบันทึกในประวัติศาสตร์ หลี่ซื่อหมินแข็งกร้าวกับฝ่ายพุทธรุนแรงขึ้นสมบัติของวัดต้องเสียภาษีแล้ว การบวชเด็กเล็กมีความผิดเท่ากับซื้อขายเด็ก ทางการเฝ้าดูวัดวาอารามโดยไม่ยอมละสายตาแม้แต่นิด ทรัพย์สินเงินทองที่สะสมมายาวนานรวมทั้งที่ปล่อยเงินกู้ต่างๆเป็นกองสมบัติมหาศาล เหล่าพระสงฆ์ทำผิดเงื่อนไขเพียงน้อยนิดก็อาจถึงขนาดโดนล้างวัดจนหมดสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกไม่ถึงห้าสิบปีฝ่ายพุทธจะต้องถอนตัวออกจากส่วนกลางจงหยวน ทั้งยังถูกฝ่ายเต๋าโจมตีทุกวิถีทางคอยเบียดเบียนฝ่ายพุทธ พุทธมามกะนับวันมีแต่จะลดน้อยถอยลง หากรากฐานถูกทำลายแล้วก็ไม่อาจจะคืนกลับมาได้อีก

 

“ท่านฝ่ายพุทธยึดครองภูเขาลือนามทั่วแผ่นดิน การซ่อมแซมหลังคาเหล็กวัดหลินเหยียนเมื่อครั้งเจินกวนปีที่สามร่ำลือทั่วหล้าว่าใช้เหล็กถึงหนึ่งแสนชั่ง เวลาฟ้าผ่าบนนั้นเหล็กหลอมละลายเป็นทางจนเกิดแสงสว่างไปทั่วอาณาบริเวณ แค่เพียงจุดนี้ก็เห็นได้ถึงฐานรากที่หนักแน่นและความแข็งแกร่งของท่านฝ่ายพุทธ พระเฒ่า ท่านฝ่ายพุทธโลภในทรัพย์สินมากเกินไปโดยไม่ได้ทำประโยชน์ให้แผ่นดินแม้แต่นิด หากฝ่าบาทไม่จัดการพวกท่านแล้วจะไปจัดการกับใครหรือ”

 

อวิ๋นเยี่ยลุกขึ้นมานั่งแล้วเริ่มเจรจากับพระชราอย่างจริงจัง นี่เป็นภารกิจที่หลี่ซื่อหมินกับจั่งซุนมอบหมายให้เขาทำ ที่อาจารย์อวี้หลินป่วยหนักนั้นมีข่าวไปถึงฉางอัน หลี่ซื่อหมินนึกถึงเรื่องที่เคยคุยกับอวี้หลินครั้งก่อน หากอวี้หลินสามารถบอกวันตายตัวเองได้แม่นยำก็จะยอมพิจารณาผ่อนผันทางรอดให้ฝ่ายพุทธได้บ้าง อวี้หลินบอกทันทีว่าตัวเองจะอยู่ได้ไม่เกินเก้าสิบปี ในเมื่อเวลานี้ได้ข่าวอวี้หลินป่วยหนัก จะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าอวี้หลินกำลังเร่งให้เขาทำตามที่เคยรับปากไว้ เมื่ออวิ๋นเยี่ยบอกว่าจะไปนมัสการวัดเส้าหลินจึงมอบหมายภารกิจนี้มาด้วย เส้นตายของหลี่ซื่อหมินคือฝ่ายพุทธจะต้องควบคุมจำกัดขนาด จะต้องชำระภาษี จะทำธุรกิจร่วมกับเอกชนไม่ได้ ทำได้เพียงตั้งอกตั้งใจสวดมนตร์เท่านั้น

 

สีหน้าของอวี้หลินเศร้าโศกมากยิ่งขึ้น จากน้ำเสียงของอวิ๋นเยี่ยเขาฟังออกถึงความแข็งกร้าวของหลี่ซื่อหมิน ต่อให้ครั้งนี้ตัวเองตายไปตามกำหนดแล้วหลี่ซื่อหมินทำตามสัญญายอมผ่อนปรนให้ทางรอดได้บ้าง แต่ใครจะรับรองได้ว่าต่อไปจะไม่เพิ่มความเข้มงวดขึ้นมาอีก เวลานี้วัดวาอารามราชวงศ์ใต้จำนวนสี่ร้อยแปดสิบวัดกลายเป็นวัดร้าง เป็นที่อยู่ของวิญญาณเร่ร่อนสัมภเวสี การกดขี่จากทางการและฝ่ายเต๋าราวกับไฟลามทุ่ง ฐานะของฝ่ายพุทธตกต่ำสุดขั้วจนไม่เหลือความรุ่งเรืองสง่างามในอดีตอีกต่อไป

 

“อู๋เลี่ยงโซ่วฝู ข้าได้ทำจนสุดความสามารถแล้ว ขอให้บาปกรรมทั้งปวงจงมาตกอยู่ที่ตัวข้า ให้เพลิงดอกบัวแดงเผาผลาญบาปเคราะห์ฝ่ายพุทธข้าให้สิ้น ในเมื่ออวิ๋นโหวมาแล้วก็อยู่ชมพิธีกรรมของข้าเลยดีไหม”

 

พูดจบแล้วอวี้หลินก็กลับกลายสู่สภาพที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรอื่นอีก อ๋อ ก็คือท่าทางจอมกะล่อนของเขา

 

“ใครจะมีแก่ใจมาดูเพลิงเผาพระเฒ่า ที่ข้ามาวัดเส้าหลินก็เพื่อขอบุตร ตระกูลอวิ๋นมีทายาทน้อยนิด หากยังมัวแต่ทำตาปริบๆดูพระเฒ่าถูกเพลิงเผาตายแถมเก็บอัฐิไม่กี่เม็ดไปค้ากำไร ไม่แน่ว่าชาตินี้ข้าคงไม่ต้องคิดมีทายาทอีก ดังนั้นเรื่องนี้ข้าไม่เกี่ยวข้องด้วย หากท่านอยากเผาก็เผา อัฐิโชคร้ายของท่านนั้นตระกูลอวิ๋นไม่กล้ารับไป”

 

แววตาเฉียบคมของอวี้หลินฉายแสงแวววับก้มกายลงกระซิบว่า “อวิ๋นโหวเป็นคนที่เกิดจากการรวมปัญญาฉลาดเฉลียวของมวลมนุษย์ เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในแผ่นดิน ไม่เคยได้ยินว่าฉีหลินมีท้องละเจ็ดแปดตัว ทายาทนั้นมีแน่นอนแต่ไม่ได้มีมากเด็ดขาด มีแต่หมูที่มีลูกทีเดียวเจ็ดแปดตัว หมูเจ็ดแปดตัวย่อมเทียบไม่ได้กับฉีหลินตัวเดียว ไม่รู้ว่าอวิ๋นโหวมีแผนเด็ดอะไรที่จะช่วยข้าฝ่ายพุทธได้”

 

ฟังอวี๋หลินเปรียบเทียบชุ่ยๆแล้ว อวิ๋นเยี่ยพ่นความชั่วร้ายออกมาจากอกจนได้ บอกอวี้หลินว่า “ต้นกำเนิดของศาสนาคืออะไร พวกท่านละทิ้งหลักการความเชื่อของตัวเองและเดินเส้นทางผิดไปไกลมากแล้ว ทำไมจึงยังหวังจะได้รับผลที่ดีอีกเล่า”

 

“อวิ๋นโหวพูดผิดแล้ว พุทธไม่เคยบังคับฝืนใจให้คนทำในสิ่งที่เขาไม่อยากทำ พุทธเพียงแต่บอกผู้คนว่าอะไรคือสิ่งดีงาม อะไรคือสิ่งชั่วร้าย ให้ตัวเขาเองเลือกสิ่งดีงามหรือสิ่งชั่วร้าย ชีวิตนั้นอยู่ในกำมือของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่มีคำว่าต้นกำเนิด มีแต่ความว่างเปล่า”

 

อวิ๋นเยี่ยนึกไม่ถึงว่าอวี้หลินจะอธิบายหลักธรรมะเช่นนี้จึงเกิดความสนใจอย่างมาก พูดกับอวี้หลินอีกว่า “ตามที่ท่านว่านั้นการศึกษาพุทธก็คือการฝึกความเป็นมนุษย์นั่นเอง ท่านดูพวกพระสงฆ์ที่บุ้ยปากท่องมนตร์ราวกับว่าพวกเขาจึงเป็นฝ่ายพุทธแท้จริง โบสถ์วิหารสร้างอย่างวิจิตรพิสดาร เกรงว่าพระพุทธรูปจะไม่ใหญ่โตพอ เกรงว่าคนมานมัสการไม่มากพอ เบื้องหน้าอยู่ในศีลในธรรม เบื้องหลังกลับสกปรกโสมม เห็นแล้วเป็นอย่างไร พระเฒ่า หากท่านไม่ปรับปรุงพุทธศาสนา แม้ครั้งนี้ท่านจะรอดพ้นเคราะห์กรรมนี้ เร็วช้าสักวันหนึ่งพวกท่านจะต้องโดนคนทั้งหมดทอดทิ้ง”

 

“คนดีงามทำผิดเพี้ยน ความผิดเพี้ยนยังดีงาม คนผิดเพี้ยนทำดีงาม ความดีงามยังผิดเพี้ยน ทุกสิ่งล้วนจิตสรรสร้าง” อาจารย์อวี้หลินราวกับกลายเป็นพระสงฆ์คุณธรรมสูงยิ่งอีก นั่งด้วยทีท่าที่น่าเกรงขาม ทำให้อวิ๋นเยี่ยนึกสงสัยอย่างมากว่าตัวเองตาฝาดไปหรือไม่

 

“การเปลี่ยนแปลงเป็นสาเหตุที่ฝ่ายพุทธสามารถอยู่ได้ถึงสองพันปีโดยไม่เสื่อมถอย ตั้งแต่เทียนจู๋ปรากฏศาสนาพุทธขึ้นมา ได้ผ่านพายุฟ้าฝนมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง เวลานี้ก็ยังคงเจริญไม่เสื่อมถอย ศาสนาพุทธเผยแผ่มาทางทิศตะวันออก พระสงฆ์ผู้ทรงศีลสูงยิ่งไม่รู้เท่าไรได้ปรับปรุงตลอดเวลา ละทิ้งกระพี้ให้เหลือแต่แก่นสาร ทำให้แผ่นดินต้าถังมีหลักธรรมสารพัด ทุกคนต่างต้องการปรับปรุงแต่ไม่มีใครริเริ่มทำจริง อวิ๋นโหว ข้ายังขาดโอกาส”

 

“โอกาสมีอยู่แล้ว มีพระสงฆ์ที่โง่กว่าท่านคนหนึ่งเดินทางไกลหมื่นลี้ไปยังเทียนจู๋ นึกอยากจะแก้ไขสภาพการณ์ที่มีสารพัดหลักธรรมตามที่ท่านว่า ข้าคาดคะเนว่าปีหน้าหรือปีมะรืนก็ควรกลับมาได้ ถึงเวลานั้นพวกท่านจะแก้ไขปรับปรุงหลักธรรมปรับปรุงคำสอนก็จะไม่เกี่ยวข้องกับข้า คำพูดเหล่านี้พอออกนอกประตูนี้แล้ว ข้าจะลืมหมดสิ้น จำได้เพียงแค่ว่าข้ามานมัสการวัดเส้าหลิน