ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข้า ตอนที่ 53 ตำนานพระสงฆ์กวาดพื้น

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

“อวิ๋นโหวยังจำเสวียนจั้งได้? เขาสามารถทำสำเร็จไหม” อวี้หลินลุกขึ้นยืนแล้วมองอวิ๋นเยี่ยเพื่อขอคำยืนยันด้วยความหวังเต็มเปี่ยม

 

“ฟ้าไม่แล้งน้ำใจต่อคนที่มีความเพียร เสวียนจั้งจะประสบผลสำเร็จ ข้าเคยพบหน้าเขาครั้งหนึ่งที่รกร้างฮวงหยวน เวลานั้นเขาอยู่ในสือกั๋วแล้ว คนเจาอู่จิ่วซิ่งไม่ทำร้ายพระสงฆ์ที่แสวงหาธรรมะ ข้ากำลังรออ่านบทประพันธ์ไซอิ๋วที่เขาเขียนอยู่”

 

“พระพุทธเมตตา ขอให้คุ้มครองเสวียนจั้งกลับมาโดยสวัสดิภาพ ความหวังที่จะช่วยให้ศาสนาพุทธรุ่งเรืองต้องอาศัยเขาแล้ว” อาจารย์อวี้หลินพนมมือไหว้ไปทางทิศตะวันตกด้วยความศรัทธาเต็มเปี่ยม

 

“พระเฒ่า ที่ข้ารังเกียจที่สุดก็คือพวกท่านเอะอะก็จะโยนภารกิจที่หนักหน่วงให้ไปกดทับอยู่ที่ใครคนหนึ่ง ตัวเองเพียงแค่ยืนมองอยู่ข้างๆรอคอยให้บังเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นมา หากพวกท่านล้วนมีความคิดเช่นนี้สู้ยกเลิกวัดวาอารามแล้วต่างแยกย้ายกันไปยังจะดีกว่า”

 

คุยกันถึงนี่แล้วอวี้หลินก็พอรู้ถึงเส้นตายพื้นฐานของฮ่องเต้ นโยบายโดยพื้นฐานที่เขาเตรียมดำเนินการต่อคือไม่ล้มล้างศาสนาพุทธแต่ก็ไม่เผยแผ่ธรรมะ ยังคงกดดันฝ่ายพุทธอย่างต่อเนื่อง สนใจเพียงสมบัติของวัดพุทธแต่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับหลักคำสอนมากนัก นับว่าเป็นความโชคดีท่ามกลางความโชคร้ายอย่างมากแล้ว

 

อวิ๋นเยี่ยคิดแล้วพูดอีกว่า “ไม่ทราบอาจารย์สนใจที่จะสร้างวัดในพื้นที่ทุ่งหญ้าหรือไม่ ข้ามีทุ่งหญ้าเล็กๆผืนหนึ่งในพื้นที่ทุ่งหญ้า มีคนทำปศุสัตว์ราวสี่ห้าพันคน ข้าอยากให้พวกเขามีที่พึ่งทางใจ ไม่ทราบว่าอาจารย์มีความเห็นเช่นไร”

 

“สร้างวัดเวลานี้ย่อมทำได้อยู่ เพียงแต่ตู้เตี๋ยต้องรบกวนอวิ๋นโหวออกแรงด้วย ข้าได้ยินว่าอวิ๋นโหวมีอิทธิพลพอสมควรทางใต้ สู้ข้าสร้างวัดสักแห่งทางใต้ด้วยจะดีไหม”

 

ในโลกนี้ไม่มียอดฝีมือที่ยอมให้อะไรต่ออะไรผ่านหูผ่านตาไปได้ง่ายๆ อวิ๋นเยี่ยเพิ่งคิดจะให้เหล่าพระสงฆ์ช่วยเป็นที่พึ่งทางใจให้คนทำปศุสัตว์ในทุ่งหญ้า เขาก็วางแผนไปถึงอาณาจักรของหลี่อันหลาน เอาเถอะ ให้พวกคนป่าคนเถื่อนบนต้นไม้ที่หลงเชื่อผีเชื่อวิญญาณพิสดารทั้งต้องอาศัยเลือดมนุษย์เพื่อความเฮี้ยน มานั่งท่องอมิตตพุทธด้วยกันก็ดีเหมือนกัน จึงเปิดประตูเอากล่องไม้จากมือหนิวเจี้ยนหู่ยื่นให้อาจารย์อวี้หลิน ขยี้จมูกแล้วพูดว่า “อาจารย์ นี่เป็นตู้เตี๋ยที่ใช้เงินจำนวนมหาศาลถึงได้จากฝ่าบาท มีทั้งหมดสิบหกใบล้วนเป็นตู้เตี๋ยของพระสงฆ์ผู้ใหญ่ หรือหมายความว่าท่านสามารถสร้างวัดได้สิบหกแห่ง แน่นอนว่าในกวนเน่ย เหอตง เหอเป่ย เจี้ยนหนาน ไหวหนาน ไหวเป่ย หล่งโย่ว พื้นที่เหล่านี้ตั้งไม่ได้ แต่พื้นที่ทุ่งหญ้ากับหลิ่งหนานนั้นไม่มีปัญหา”

 

“พระกษิติกัรบาสาบานว่าหากนรกไม่ว่างเปล่าจะไม่ยอมตรัสรู้ ข้ายินดีเป็นผู้บุกเบิกเปิดประตูสู่ธรรมะ ให้ชาวบ้านในพื้นที่ป่าเถื่อนมีเส้นทางเข้าสู่ทางธรรม”

 

พูดเช่นนี้แล้ว อวิ๋นเยี่ยย่อมรู้สึกดีขึ้นมามาก ถึงแม้อวิ๋นเยี่ยถูกตีตายก็ยังไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนดีจอมปลอม แต่วิธีพูดของคนดีจอมปลอมมักทำให้ผู้คนเคลิบเคลิ้ม การพูดครั้งต่อๆไปก็คงพูดเช่นนี้อีก

 

ประตูถูกผลักออกมา พระผู้เยาว์คนนั้นยกชามยาเดินเข้ามา วางไว้บนโต๊ะเตรียมปรนนิบัติอวี้หลินดื่มยา อวิ๋นเยี่ยคลุกคลีกับซุนซือเหมี่ยวมานาน ย่อมรับรู้จากกลิ่นได้ถึงสรรพคุณของตัวยา เช่นยาเหลียนเฉียวที่ลดธาตุไฟเพิ่มความโปร่งโล่งชามนี้เหมาะสมกับตัวเองอย่างมาก หลายวันมานี้รีบร้อนเดินทางจนธาตุไฟขึ้นสูงสมควรต้องให้ลดลง เพิ่งมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้พระชราไป การดื่มยาของเขาสักชามไม่น่ามีอะไรมาก ว่าไปแล้วเขาเองก็ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรที่ต้องดื่ม

 

อวิ๋นเยี่ยไม่เคยรู้จักคำว่าเกรงใจ การเป็นแขกมัวแต่เกรงใจมีแต่ทำให้ตัวเองเสียเปรียบ นี่เป็นคำสอนของท่านลุงเฉิงจำเป็นต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด รอให้ตัวเองเป็นถึงระดับท่านลุงเฉิงความรู้นี้คงจะแน่นปังแน่นอน นึกดังนี้แล้วก็ยกชามยาดื่มลงไปรวดเดียวหมด รสชาติขมมากเพราะเพิ่มหวงเหลียนลงไปด้วย รีบรับน้ำผิวส้มบ้วนปากจากมือของพระผู้เยาว์ที่กำลังตกตะลึงแล้วบ้วนอย่างแรงสองครั้งจึงคายออกมา กริยาสุดแสนไร้มารยาทอย่างที่สุด

 

พระผู้เยาว์กำลังจะออกปากตำหนิแต่อวี้หลินชิงพูดก่อนว่า “เปี้ยนจี ห้ามเสียมารยาท อวิ๋นโหวธาตุไฟขึ้นสูง ยานี้เหมาะกับเขามาก เต้าเย่ว์มักชมว่าเจ้าอายุเพียงน้อยนิดก็ได้ธรรมะขั้นสูงมีพื้นฐานแข็งแกร่ง แต่ทำไมวันนี้จึงดูอ่อนด้อยเช่นนี้ ยังไม่รีบถอยไปอีก”

 

พระผู้เยาว์รีบค้อมศีรษะขออภัยอวิ๋นเยี่ย เพิ่งมีอารมณ์โกรธเกิดขึ้นเพียงพริบตาเดียวก็ราบเรียบสุขสงบ อวิ๋นเยี่ยมองพระผู้เยาว์คนนี้อย่างสนอกสนใจ เมื่อครู่นี้ขณะที่อยู่ในเฉลียงได้ยินคนเรียกเขาว่าเปี้ยนจี อวิ๋นเยี่ยก็อยากรู้นักว่าพระผู้เยาว์คนนี้เป็นเช่นไร ใช่เป็นพระชนิดเสือซ่อนเล็บหรือไม่ เวลานี้เห็นแล้วว่าสามารถมีอารมณ์โกรธเกิดขึ้นได้ แสดงว่าไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องทรยศหักหลังชนิดชั่วร้ายได้

 

“อวิ๋นโหวทำไมจึงดูเหมือนใส่ใจเปี้ยนจีมาก ถึงขนาดใช้เรื่องยาทดสอบปฏิกิริยาของเขา เป็นเพราะอะไรหรือ” แก่จนกลายเป็นปิศาจ อวิ๋นเยี่ยสุงสิงกับเหล่าสุนัขจิ้งจอกแก่มามากมาย ไม่ต้องอธิบายมากพูดเพียงว่า “ขณะที่อาจารย์สร้างวัดให้นำเปี้ยนจีติดตัวไว้จะดีที่สุด ก่อนอายุห้าสิบอย่าได้ไปเหยียบฉางอัน มิฉะนั้นจะมีภัยมหันต์”

 

พูดจบแล้วก็ยิ้มลาอวี้หลิน ฝากจดหมายที่หลี่กังให้เต้าซิ่นไว้ที่อาจารย์อวี้หลิน แล้วเดินไพล่หลังออกจากห้องอวี้หลิน เตรียมเที่ยวชมวิววัดเส้าหลินให้เพลิดเพลิน ทั้งดูวิทยายุทธเจ็ดสิบสองชนิดตามที่เล่ากันในตำนาน

 

ถานอิ้นกับเจวี๋ยหย่วนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู พอได้ยินเสียงที่อวิ๋นเยี่ยคุยกันอย่างแช่มชื่นกับอวี้หลิน จึงได้วางใจรอคอยอย่างเงียบสงบ ถานอิ้นพอจะรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลในอาการป่วยของอวี้หลิน ทั้งๆที่ไม่มีอาการป่วยเลยแต่กลับมีท่าทางใกล้จะตาย ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเจ้าอาวาสจึงทำเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอวิ๋นเยี่ยอาจจะพอรู้บ้าง

 

มองเห็นอาจารย์อวี้หลินเดินส่งอวิ๋นเยี่ยออกมาด้วยสีหน้าแดงเรื่อสดใส ถานอิ้นก็รู้ว่าไข้ใจของอาจารย์ได้รักษาหายแล้ว พอไร้ความกังวลย่อมยินดีร่วมมือทุกอย่าง ไม่ว่าอวิ๋นเยี่ยต้องการไปที่ไหนก็ไปได้ตามต้องการ

 

ตำหนักใหญ่ต้าสยงเป่าเตี้ยนเป็นจุดแรกที่อวิ๋นเยี่ยไป การกราบไหว้พระพุทธรูปในวัดย่อมเป็นสิ่งสมควร ตำหนักเป็นสถาปัตย์ชนิดชายคาคู่พักเขากว้างห้าเจียน กลางตำหนักเป็นพระพุทธเจ้าสิทธัตถะยุคปัจจุบัน ซ้ายมือเป็นพระพุทธเจ้าเย่าซือแห่งโลกคริสตัลตะวันออกยุคอดีต ขวามือเป็นพระพุทธเจ้าอมิตตพุทธแห่งโลกสุขสันต์ตะวันตกยุคอนาคต ผนังตำหนักฝั่งตะวันออกตะวันตกเป็นรูปพระอรหันต์สิบแปดองค์ ข้างหลังกำแพงฉากกั้นเป็นรูปกวนซื่ออิน ตำหนักต้าสยงเป่าเตี้ยนวัดเส้าหลินต่างกับตำหนักต้าสยงเป่าเตี้ยนวัดอื่นๆ ด้วยด้านซ้ายขวาของพระพุทธรูปทั้งสามยุคจะมีรูปยืนของปรมาจารย์ตั๊กม้อต๋าหมอจู่ซือกับจิ่นนาหลัวหวังต้นตำรับไม้กระบองเส้าหลิน

 

จุดธูปบูชาพระพุทธรูปแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็ถูกดึงดูดสายตาจากฉีหลินสองตัวที่แบกเสากลางตำหนัก ทั้งตำหนักล้วนมีแต่รูปคนหูที่เบ้าตาลึกโตคิ้วดก แม้แต่นางฟ้าก็ยังเป็นหญิงหูที่เปลือยท่อนบน อย่างเดียวที่พอจะทำให้อวิ๋นเยี่ยชื่นใจบ้างก็คือพระโพธิสัตว์กวนอิม แต่ก็ยังถูกแขวนอยู่ด้านหลังกำแพงฉากกั้น คงมีเพียงฉีหลินที่เป็นผลผลิตจากหัวเซี่ยแท้ๆ ถึงแม้จะมีหัวมังกร ลำตัววัว ปกคลุมด้วยเกล็ดปลา ดูน่าอนาถอยู่บ้าง แต่ก็ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกผูกพันใกล้ชิดมาก

 

ความรู้สึกที่ดีต่อพระโพธิสัตว์กวนอิมสืบเนื่องจากคำพูดที่ว่า “ชายดีงามเอ๋ย เจ้ามองรับรู้ถึงสิ่งเลวร้ายทั้งสามของทุกชีวิต เกิดจิตเมตตายิ่งใหญ่ ช่วยทุกชีวิตตัดขาดสิ่งกังวล ช่วยทุกชีวิตสู่สุขอนันต์ ชายดีงามเอ๋ย ขอตั้งนามเจ้าแต่บัดนี้ ว่ากวนซื่ออิน”

 

อวิ๋นเยี่ยเองไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนี้ คงรู้เพียงว่าท่านปฏิญาณตนที่จะช่วยเหลือชาวโลก แต่ก็ยังรู้สึกแค้นเคืองที่เห็นหนวดเคราบนใบหน้าพระโพธิสัตว์กวนอิม ภาพลักษณ์ยุคหลังของพระโพธิสัตว์กวนอิมล้วนเป็นหญิงที่ใบหน้าเปี่ยมล้นด้วยความเมตตาปรานี การที่ได้เห็นภาพเป็นชายเต็มตัวแล้วออกจะยอมรับได้ยาก

 

ถานอิ้นเห็นอาการเสียดมเสียดายของอวิ๋นเยี่ย จึงหัวเราะพูดว่า “บางท้องถิ่นบูชาร่างหญิงของพระโพธิสัตว์ โดยใช้รูปร่างองค์หญิงที่สามของเมี่ยวจวงอ๋องตามตำนานเล่าขาน เมื่อบวกเข้ากับแนวทางกตัญญูกตเวทิตาของหัวเซี่ยเราแล้ว ย่อมเข้าเป็นเนื้อเดียวกันได้อย่างดี ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ต้าฉือต้าเปยกวนซื่ออินแปลงร่างให้เห็นได้นับหมื่นนับพันร่าง เพื่อขจัดภัยร้ายทั้งปวง การที่อวิ๋นโหวให้ความเคารพบูชาย่อมไม่ผิดอยู่แล้ว”

 

เคยรู้ตำนานนี้อยู่แล้ว ท่านย่าพูดเสมอว่าคนที่มีใจกตัญญูกตเวทิตาย่อมเป็นสิ่งที่ดี บุตรสาวเมี่ยวจวงอ๋องคนนั้นสละนัยน์ตาตัวเองข้างหนึ่งกับแขนอีกข้างหนึ่งเพื่อรักษาอาการป่วยของบิดา จึงได้รับพระราชทานนัยน์ตาหนึ่งพันดวงกับแขนหนึ่งพันข้างจากพระพุทธเจ้า เป็นตัวอย่างของความกตัญญูกตเวทิตาตั้งแต่โบราณกาล

 

อวิ๋นเยี่ยเคยคุยเล่นกับท่านย่า ว่าหากวันหนึ่งท่านป่วย แล้วหลานควักนัยน์ตาออกมาทั้งตัดแขนตัวเองออกมารักษาท่าน ท่านเห็นเป็นอย่างไร เกิดพระพุทธเจ้าไม่ทันเห็นความกตัญญูกตเวทิตาของหลาน ลืมให้นัยน์ตาหนึ่งพันดวงกับแขนหนึ่งพันข้างแก่หลาน หลานคงแย่แน่ๆ แต่คิดอีกที หากให้มาจริงๆ แล้วให้หลานลากแขนพันข้างกับตาพันดวงวิ่งไปโน่นไปนี่ คงทำให้คนอื่นตกใจตาย ผลการพูดล้อเล่นนี้คือโดนไม้ไปสองที

 

หน้าประตูหอไตรมีพระชรากวาดพื้นอยู่จริงๆ ชราจนดูอายุไม่ออก เฉิงฉู่มั่ว,หนิวเจี้ยนหู่กับซ่านอิงต่างรุมล้อมจดจ้องพระชรา ในนิยายของอวิ๋นเยี่ย พระชราคนนี้มีความสามารถขึ้นฟ้าลงดิน ไม้กวาดอันเดียวตีจนจอมยุทธสองคนหนีหัวซุกหัวซุน

 

ความเป็นจริงในเวลานี้ห่างไกลจากตำนานมหาศาล พระชราที่ทั้งผอมทั้งแก่สุดๆจนราวกับลมยังตีให้ล้มลงได้ เฉิงฉู่มั่วเห็นกล้ามเนื้อที่ทั้งแห้งทั้งหย่อนยานของพระชรา หนิวเจี้ยนหู่เห็นช่วงล่างที่อ่อนแอจนแทบไร้แรงยืน ซ่านอิงได้ยินเสียงหายใจหอบที่สั้นและแรงรวมทั้งเสียงก้องสะท้อนในหน้าอก ไม่ว่ามองจากมุมไหน วิทยายุทธวิเศษอย่างเดียวที่พระชรามีอยู่คงมีเพียงล้มลงวัดพื้น ไม่ได้มีแววจอมยุทธแม้เพียงนิดเดียว

 

ในฐานะที่เคารพความชรา ทั้งสามจึงไม่ได้ขอประลอง ถานอิ้นทำความเคารพพระชราด้วยอาการเคารพอย่างสูง หนิวเจี้ยนหู่พกความหวังสุดท้ายถามถานอิ้นว่า “อาจารย์ท่านนี้มีนามว่าอะไรหรือ”

 

ถานอิ้นตอบว่า “หนิวโหวเหยียน้อย พระกวาดพื้นนี้กวาดพื้นหอไตรตั้งแต่ที่ข้ามาเส้าหลิน ตอนนั้นท่านยังไม่แก่ขนาดนี้ ข้าอยู่เส้าหลินมาห้าสิบกว่าปีแล้ว หมายความว่าท่านอยู่ที่นี่มามากกว่าห้าสิบปีแล้ว”

 

หนิวเจี้ยนหู่ได้ยินแล้วยิ่งเกิดข้อกังขาในใจ หากว่าตอนนั้นพระชราอายุห้าสิบปี ตอนนี้ไม่ใช่ร้อยปีแล้วหรือ ไม่แน่ว่าอาจจะทันเห็นต๋าหมอจู่ซือใช้กกก้านเดียวข้ามแม่น้ำ

 

ไม่ว่าท่านจะมีวิทยายุทธหรือไม่ แค่อายุก็สมควรแก่การเคารพ ทั้งหมดจึงพนมมือทำความเคารพพระชราโดยไม่ได้นัดหมาย พระชราราวกับไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ ยังคงกวาดพื้นที่สะอาดสะอ้านอยู่แล้วต่อไปเรื่อยๆ

 

มาถึงหอไตรแล้วทั้งคัมภีร์ล้างไขกระดูกและคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นย่อมไม่ดูไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยบอกว่าเป็นสุดยอดคัมภีร์วิทยายุทธระดับของวิเศษที่คนธรรมดาไม่มีสิทธิ์ได้เห็น เวลานี้มีผู้ดูแลวัดมาด้วยคิดว่าคงจะได้สมปรารถนา

 

พอได้ยินคำขอของหนิวเจี้ยนหู่ทั้งสามคน ถานอิ้นหัวร่อฮ่าๆบอกว่า คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นยังอยู่แต่คัมภีร์ล้างไขกระดูกถูกฮุ่ยเข่อขโมยไปยังคงไร้ร่องรอย คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นเป็นเพียงท่าฝึกสิบสองท่า ดูพวกเจ้าทั้งสามคนต่างชอบวิทยายุทธ ดูๆหน่อยจะเป็นไรไป

 

ได้ยินถานอิ้นพูดเช่นนี้แล้ว หนิวเจี้ยนหู่ทั้งสามคนรีบพุ่งเข้าไปในหอไตรอย่างรวดเร็ว อวิ๋นเยี่ยเดินตามอย่างเอ้อระเหย เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยจึงรู้สึกว่าพระชราราวกับมองตัวเองอยู่ แต่พอเขาหันกลับไปดูก็เห็นพระชรายังคงกำลังกวาดพื้นอย่างช้าๆอยู่เรื่อยๆ