วงการเอ็กซ์ตรีมสั่นสะเทือน

 

ในขณะเดียวกันวงการเอ็กซ์ตรีมในตอนนี้ได้เกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่

 

“มีคนบอกว่ามีดาราคนนึงได้สตรีมการเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีมอยู่ แล้วการเล่นนั้นน่ะโคตรจะมีพลังเลยหล่ะ”

 

“ก็แค่แฟนคลับเห่อดาราธรรมดาหล่ะน่า แค่ทำอะไรนิดหน่อยก็กรี๊ดกร๊าดกันแล้ว อย่างนั้นเข้าเรียกแค่การแสดงไม่ใช่กีฬาเอ็กซ์ตรีมหรอก”

 

“ฉันก็เคยเห็นนะ มีดาราคนนึงที่ทำแค่กระโดดขึ้นพร้อมสเกตบอร์ด เล่นๆอยู่แล้วเลี้ยว ทำตีลังกากลับหลังแบบเห่ยๆ แค่นั้นก็กรี๊ดกันแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ พวกดาราน่ะไม่รู้กันหรอกว่ากีฬาเอ็กซ์ตรีมที่แท้จริงเป็นยังไง อย่างไปสนใจคำพูดพวกนั้นมากนักเลย”

 

“ไม่ใช่นะ ฉันได้ยินมาว่าเขาเป็นของจริงเลย นายจะได้เห็นเองถ้าเข้าไปดู”

 

เหล่าผู้ชื่นชอบในกีฬาเอ็กซ์ตรีมนั้นต่างก็ไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น อย่างแรกอากาศร้อนแบบนั้นไม่มีใครอยากเล่นกันหรอก อย่างที่สองคนที่ดูการสตรีมเยอะมากจนหน้าต่างแสดงความคิดเห็น เต็มหน้าจอไปหมด(เป็นการแสดงข้อความจากการพิมความเห็นลอยจาก ขวาไปซ้ายที่จีนนิยมใช้กัน) เยอะขนาดที่ต้องปิดช่องแสดงความคิดเห็นถึงจะดูการสตรีมได้ เขาเห็นจำนวนคนดูมีเยอะประมาณสองแสนคน แถมยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วยซ้ำ

คนๆนั้นเห็นซูจิ้งกำลังยืนอยู่ในสวนสาธารณะ ซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องออกกำลังกายมากมาย ที่ซูจิ้งเลือกที่นี่ก็เพราะว่านอกจากจะมีพื้นที่ให้พอเล่นสเกตบอร์ดได้แล้วที่นี่ยังใกล้แถมตอนแรกนั้นที่เขาเลือกที่จะเล่นตอนเที่ยง เพราะว่ามันไม่ค่อยมีคนมา แต่ด้วยการที่การสตรีมครั้งนี้มีคนพูดถึงอย่างมาก คนที่อยู่ใกล้ๆ จึงเลือกที่จะมาดูกับตาตัวเองทำให้มีคนอยู่เยอะพอสมควร

“คนเริ่มเยอะแล้วสิ ตอนนี้รีบๆ จบสตรีมแล้วรีบกลับกันดีกว่า อย่าเข้าใกล้ฉันมากนักหล่ะ เดี๋ยวจับภาพได้ไม่ดี” ซูจิ้งพูดออกมา ที่จริงนั้นซูจิ้งต้องการจะเล่นมากกว่านี้ เพราะเขาหวังจะให้หมินจิ้มีเงินในการดูแลแม่ของเขา และเพื่อเป็นการเพิ่มความนิยมในตัวเขาด้วย จะได้เป็นการเพิ่มพลังศักดิ์สิทธิ์ที่จะสามารถดูดซับได้ จากตราเทวฑูตไปในตัว แต่ซูจิ้งไม่คิดว่าผู้คนจะเคลื่อนไหวเร็วขนาดนี้ เขากลัวว่าจะเกิดความโกลาหลขึ้น ซูจิ้งจึงตัดสินใจยกเลิกแผนการทั้งหมดและจากไปที่นี่ทันที

 

“ตกลง ได้เลยครับ” เต็งหมินจิ้พยักหน้าตอบรับเป็นไก่จิกข้าวสารอีกครั้ง เขาพยายามถือมือถือของเขาตามถ่าย ไปด้วยความระมัดระวังและพยายามเดินไม่ให้ห่างจากซูจิ้งไกลนัก ปันเสวี่ยและเฉียนหยินหนิงตอนนี้ต่างก็มองหน้ากัน

 

“ไปกันเถอะ” ซูจิ้งบอกแล้วก็ได้พุ่งตัวไปที่ม้านั่งข้างหน้าเขา เขานั้นใช้ม้านั่งในการเสริมแรงกระโดดทำให้ตัวของเขากระโดดได้สูงขึ้น ประมาณสองเมตร

 

ร่างกายของเขาร่อนลงบนม้านั่งตัวอื่นแล้วเขาเองก็ใช้วิธีการ เสริมแรงนี้อีกครั้ง ด้วยสิ่งนี้ทุกคนที่เห็นต่างก็ต้องอึ้ง ถึงมาว่าจะเป็นการกระทำที่เห็นได้บ่อยๆ ในการเล่นฟรีรันนิ่ง(ปากัวร์) แต่โดยทั่วไปแล้วไม่มีทางที่จะไปถึงม้านั่งอีกตัว ที่อย่างห่างมากกว่าสองเมตรด้วยท่าทางแบบนั้นได้เลย

ยังไม่หมดแค่นั้น ในขณะที่ซูจิ้งลอยตัวอยู่บนจุดสูงสุดของการกระโดด เขานั้นได้เตะเท้าซ้ายออกไปตามด้วยเท้าขวาทำให้ร่างกายหมุนลอยตัวนานกว่าปกติ นอกจากนั้นเขายังทำท่าทางอื่นๆ อีกด้วย ก่อนที่เขาจะตกมายังพื้นเขานั้นใช้มือเกี่ยวบาร์โหนตัวที่อยู่ข้างๆ เขา

 

ตอนนี้ร่างกายของเขาได้เหวี่ยงตัวเองออกไปด้านข้าง ตอนที่ร่วงลงเหมือนเขากำลังจะชนโดนเครื่องเล่นอีกเครื่องแต่กลายเป็นว่าเขาใช้เท้าเหยียบไปอีกครั้งทำให้ร่างกายเปลี่ยนทิศทางคราวนี้เขากระเด้งขึ้นไปประมาณสามเมตร ร่างกายหมุนอย่างสมมาตร เขาได้ใช้มือจับไปที่เชือกของเครื่องฝึกไต่ภูเขา เขาใช้เชือกเป็นจุดเสริมแรงเหวี่ยง เหวี่ยงตัวเองไปยังเครื่องฝึกไต่เขาที่อยู่ถัดไป แล้วทำการไต่ขึ้นไปด้วยมือเปล่าทั้งสองข้างแบบชิลๆ เหมือนกำลังเดินเล่นอยู่ในสวน

ทุกคนรวมถึงเหล่านักกีฬาเอ็กตรีมที่เพิ่งเข้ามาดูนั้นต่างตกตะลึง

ไม่ใช่แค่ฝึมือของซูจิ้งจะระดับมือพระกาฬเท่านั้น ความรู้สึกแรกที่พวกเขานึกออกคือไต่ท้องฟ้า

 

เหล่านักกีฬาเอ็กตรีมคิดออกมาในทันทีว่าวิดีโอนักกีฬาปากัวร์(ฟรีรันนิ่ง)ชั้นแนวหน้าที่เข้าเคยเห็นนั้นกลายเป็นขยะไปเลย เมื่อเทียบกับซูจิ้งที่เป็นการถ่ายทอดสด(สตรีม)ได้อย่างดูดีมีชีวิตวีวาดูมีพลังและที่สำคัญเท้าของเขาไม่เคยแตะพื้นเลยซักนิด

แม้แต่นักกีฬาปากัวร์ระดับโปรเมื่อเห็นก็ยังตกใจเลยเหมือนกัน พวกเขาต้องกลืนคำพูดตัวเองที่เคยสบประมาทเอาไว้ ดาราประเภทไหนกันทีเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีมได้ประดุจดั่ง เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตขนาดนี้

 

ทุกย่างก้าวที่ซูจิ้งเคลื่อนไหวล้วนเป็นเทคนิคชั้นสูงที่ดูเหมือนจะง่าย แต่ต้องใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายมหาศาล มีแต่คนที่มีชีวิตอยู่กับการออกกำลังกายเท่านั้นถึงจะทำได้

เพียงแค่เห็นซูจิ้งปีนขึ้นไปบนที่ฝึกปีนเขาแล้วตีลังกาลงมา พวกเขานึกว่าจะจบแล้วแต่เปล่าเลยเขาไม่ได้หยุด เขายังวิ่งต่อไปนั่นทำให้เต็งหมินจิ้เกือบจะวิ่งตามไปถ่ายแทบไม่ทัน

ซูจิ้งได้พุ่งไปยังลานจอดรถ เขาวิ่งที่หน้ารถคันหนึ่งแล้วทำการกระโดดตีลังกาไปยืนอยู่บนรถ โดยใช้มือเดียวยืนแทนเท้าหลังจากนั้นก็ใช่แรงมือผลักตัวเอง ตีลังกาไปยังรถอีกคัน แล้วใช้มือดีดตัวเองขึ้นฟ้าอีกครั้ง

 

หลังจากลงพื้นเขายังวิ่งตรงต่อไป เขาเหยียบลงบนเก้าอี้ ทยานขึ้นฟ้า ไต่ขอบกำแพง กระโจนจากกำแพง ไปอีกกำแพง ไปเกาะขอบหน้าต่าง กระโดดจากขอบหน้าต่างชั้นหนึ่งไปยังชั้นสองของตึกอีกฝั่ง และกระโจนอีกทีไปเกาะขอบหน้าต่างอีกตึกที่ชั้นสาม นั่นทำให้คนที่เห็นตกตะลึงบางคนถึงกลับอ้าปากค้างขึ้นมา

ถ้าหากว่าแยกแต่ละการเคลื่อนไหวของซูจิ้งออกจากกัน ทุกท่าทางล้วนเป็นธรรมชาติอย่างที่สุด ดูเรียบง่าย และสง่างาม แต่พอจับทุกการเคลื่อนไหวมาต่อกันแล้วมันไม่สามารถบอกได้เลยว่า เป็นการเคลื่อนไหวธรรมดา มันไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่มนุษย์จะทำได้เลยด้วยซ้ำ

 

ในหนังเฉินหลงสามารถปีนกำแพงได้ นักกีฬาฟรีรันนิ่งสามารถไต่ตึกได้เช่นเดียวกับซูจิ้ง แต่พวกเขาก็ไม่ได้ใช้แค่มือในการพาตัวเองไต่ขึ้นที่สูง พวกเขาต้องใช้หมดทั้งตัวทั้งความรู้สึกนึกคิดพละกำลังทั้งร่างกาย แต่ซูจิ้งกลับใช้เพียงแค่มือผลักตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ อย่าว่าแต่ขึ้นไปข้างบนเลย แค่ผลักให้ตัวลงมาชั้นล่างก็ยังอยากเลยด้วยซ้ำ

 

“เดี๋ยวนะ นั่นเขาทำอะไรน่ะ”

 

“ไม่มีทาง”

 

ทุกคนต่างร้องอุทานออกมาก่อนที่พวกเขาจะหยุดหายใจ ที่พวกเขาเห็นในตอนนี้คือซูจิ้งได้ปล่อยตัวเองทิ้งตัวลงมาจากชั้นสาม

 

หัวใจของทุกคนตอนนี้ถึงกับหยุดเต้นเลยก็ว่าได้ นี่เขาโดดลงมาจริงๆ งั้นหรอ

อย่างไรก็ตามตอนนี้ซูจิ้งร่วงลงมาจริงๆ แต่ทันที่เขากำลังจะถึงพื้น เขาได้ตีลังกาแล้วทำการถีบไปยังกำแพงดีดตัวตีลังกาไปยังกำแพงอีกฝาก เขาทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆเพื่อลดความเร็วในการตก จนกระทั่งม้วนตัวลงพื้นอย่างง่ายดาย

ผู้คนที่เห็นต่างเงียบกริบ

ผู้คนที่ดูการสตรีมก็เงียบกริบเช่นกัน