บทที่ 152 บึง
เรือเหาะจันทราเงินเหาะขึ้นฟ้า ทิ้งเส้นสายสีเงินไว้ตามทาง ที่ปลายแสงคือฝูงแร้งสิงห์เหล็กที่กระพือปีกโดยแรงไล่ตามมันอยู่
ซูเฉินใช้หินพลังต้นกำเนิดระดับสูงกว่าสิบก้อนก่อนจะถึงขีดจำกัดของเรือเหาะแล้วสลัดพวกมันหลุดไปได้ จากนั้นเขาก็ร่อนเรือลงจอดบนบึง
“เวร ! ข้าแค่เอาหญ้าใยเหล็กไปไม่กี่เส้น ต้องไล่ล่ากันเป็นวันเลยหรือ ?” ซูเฉินบ่น หากไม่ใช่เพราะสัตว์อสูรส่วนมากในแถบนี้ออกไปพร้อมกับขบวนหมดแล้ว ซูเฉินคงไม่อาจบินบนฟ้าได้เลยด้วยซ้ำ
หญ้าใยเหล็กเป็นสมุนไพรวิญญาณที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกายได้
ซึ่งไม่ใช่ของหายากในเมืองมนุษย์แต่อย่างไร ทว่าหญ้าใยเหล็กหมื่นปีนั้นย่อมหายาก จริง ๆ แล้วจะบอกว่าไม่เคยมีเลยก็ว่าได้ สำหรับมนุษย์ส่วนมากแล้ว กระทั่งหญ้าใยเหล็กอายุสิบปียังช่วยเสริมความแกร่งให้กระดูกได้มากมาย ฉะนั้นย่อมไม่มีใครปล่อยให้มันเหลือรอดให้คนอื่นเอาไปแน่
หากแต่แร้งสิงห์เหล็กไม่ได้กินหญ้าใยเหล็กเป็นอาหาร แต่ใช้มันเพื่อสร้างความมั่นคงแข็งแกร่งให้กับรัง หรือก็คือมันใช้หญ้านี้ทำรังนั่นเอง มันจึงได้ชื่อเหล็กมาอยู่ในชื่อด้วย
ซูเฉินชิงเอาหญ้ามา ก็เท่ากับทำลายบ้านพวกมัน ด้วยความที่เขาทำลายรังคราเดียวหมด จึงถือว่าล่วงเกินพวกมันอย่างใหญ่หลวง ไม่แปลกที่แร้งสิงห์เหล็กกัดเขาไม่ปล่อยง่าย ๆ
ซูเฉินไม่รู้สึกผิดสักนิด แต่กลับยินดีกับเงินกริ๊ง ๆ เขาเพิ่งเข้าแดนสัตว์อสูรมา แต่ก็ได้สมุนไพรราคาสูงสำหรับมนุษย์มาแล้ว ดังนั้นจึงคิดว่าเข้ามาเป็นสิ่งที่ดีแล้ว ซูเฉินไม่สนเรื่องเงิน แต่ยิ่งไม่สนเงิน ก็ยิ่งทำให้สนของที่ใช้เงินซื้อไม่ได้มากขึ้น หญ้าใยเหล็กเส้น ๆ เหล่านี้มีค่ามากไม่ด้อยไปกว่าดอกซากวิญญาณเมื่อครั้งนั้นเลย
ซูเฉินก้าวออกจากเรือเหาะจันทราเงินแล้วเก็บเรือไป ก่อนจะมุ่งหน้าต่อด้วยเท้า
กระทั่งแร้งสิงห์เหล็กยังไล่เขากว่าหนึ่งวัน แต่วันนั้นก็ไม่ได้เสียไปทีเดียว เขาได้สำรวจแดนสัตว์อสูรบ้าง ซึ่งช่วยเขาได้เยอะเพราะเขาไม่มีแผนที่ ซูเฉินได้แต่เดาเอาว่าเขาอยู่ตรงจุดไหน ระหว่างนั้นก็หาทรัพยากรล้ำค่าที่พอจะเก็บกลับไปได้ด้วย
ซึ่งสถานที่ที่ซูเฉินลงจอดก็คือหนึ่งในนั้น เต็มไปด้วยทรัพยากรอุดมสมบูรณ์นัก
เมื่อตอนที่บินอยู่บนฟ้า ซูเฉินสังเกตเห็นบึงนี้จากในป่า เห็นว่าที่นี่มีผลไม้ประหลาดเติบโตอยู่
แม้จะไม่รู้ว่ามันเป็นผลไม้อะไร แต่ความผันผวนพลังต้นกำเนิดรุนแรงที่แผ่ออกมาทำให้ซูเฉินรู้ว่ามันไม่ธรรมดาแน่
แต่เพื่อความปลอดภัย ซูเฉินจึงไม่จอดลงกลางบึง แต่ลงจอดที่ปลายขอบแล้วเดินเท้าเข้ามาแทน
ซึ่งก็ไม่มีเส้นทางเข้าสู่บึงที่ชัดเจน บนพื้นมีเพียงกากตะกอนเน่า ๆ เต็มไปหมด ผลไม้สุกงอมที่ร่วงลงโคลนเหล่านี้จมหายไปทันที เหลือไว้เพียงฟองปุด ๆ เท่านั้น
ซูเฉินก้าวต่อไม่สะทกสะท้าน เดินอยู่บนโคลนตมไปไม่ถูกดูด
เทียบกับแต่ก่อน กำลังของซูเฉินเพิ่มขึ้นอีกครา ตอนนี้เขาใช้พลังเพียงนิดก็พยุงร่างตนได้ ข้อจำกัดทั้งหลายกลายเป็นไร้ผล
เขาก้าวผ่านบึงไปสบาย ๆ และถึงจุดหมายในเวลาไม่นาน
เป้าหมายคือผลไม้สีเลือดที่ปล่อยความผันผวนพลังต้นกำเนิดออกมาอย่างรุนแรง จำนวนของพลังต้นกำเนิดประเภทไฟที่อยู่ในผลนั้นมากพอจะจุดไฟขึ้นในอากาศได้ด้วยซ้ำ
แต่ยิ่งเข้าใกล้มัน ซูเฉินก็พบว่าอากาศรอบข้างผลไม้นั่นกลับเย็นกว่าปกติหลายเท่า
เช่นนั้นตัวผลก็มีอุณหภูมิปกติดี แค่มีพลังงานร้อนระอุอยู่โดยรอบงั้นสินะ
ซูเฉินจึงไม่เข้าไปต่อ แต่ยืนอยู่ห่างจากมันเล็กน้อย แล้วใช้เนตรมองโลกจุลภาคตรวจสอบดู
สัตว์อสูรที่นี่ไม่ใช่แค่ศัตรูหนึ่งเดียว แม้จะมีทรัพยากรล้ำค่ามากมายกระจัดกระจายอยู่ทั่วทวีปต้นกำเนิด แต่ก็มีพวกที่อันตรายอยู่มากเช่นกัน ผลไม้ตรงหน้าเขาไม่รู้แหล่งกำเนิด ไม่รู้คุณสมบัติของมัน เช่นนี้แล้ว ระวังให้มากสักหน่อยเป็นยอดดี
พอใช้เนตรมองโลกจุลภาคแล้วก็พบว่าผลไม้สีเลือดนั่น ภายในมีอวัยวะคล้ายหัวใจดวงเล็ก ๆ อยู่ ดูเหมือนจะเต้นบ่อยครั้งด้วย
ในตอนนั้นเอง……
ความระแวดระวังพลันพุ่งขึ้นสูงสุด สันหลังเย็นวาบ
เขาถอยไปหลายก้าวเงียบ ๆ แล้วตรวจสอบรอบกายตน
ผลนั่นงอกออกมาจากเถาวัลย์เส้นบางสีฟ้า แต่ตัวผลมีขนาดเกือบเท่าศีรษะมนุษย์ ทั้งยังไหวตามลมด้วยท่าท่างประหลาด ครึ่งล่างของเถาวัลย์จมอยู่ในบึงขุ่น ไม่อาจเห็นเบื้องล่างน้ำขุ่นนั่นได้เลย
แม้ซูเฉินไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดเคลื่อนไหว แต่ก็ยังถอยไปอีกหลายก้าว เพิ่มระยะห่างระหว่างเขากับผลไม้นั่นอีก
ผลสีแดงเลือดไหวไปตามลมหลายครั้ง ส่องแสงเรือง ๆ น่าหลงใหลออกมา
ซูเฉินเห็นแล้วจึงหัวเราะ “แดนสัตว์อสูรมีทรัพยากรมากก็จริง แต่ก็มีอยู่เพราะพวกเผ่าสัตว์อสูรไม่ต้องการใช้ ไม่ก็คอยปกป้องอย่างดี เหมือนหญ้าใยเหล็กกับแร้งพวกนั้น แต่ก็มีพวกพืชพิสดารที่ไม่สนความสัมพันธ์กับเผ่าสัตว์อสูร พึ่งกำลังตนเองเสียมากกว่าอยู่ด้วย ไม่เพียงแต่ไม่จำเป็นต้องให้เผ่าสัตว์อสูรปกป้อง แต่ยังเป็นฝ่ายล่อลวงและจับพวกนั้นกินเพื่อเสริมความแกร่งอีกต่างหาก เจ้าเองก็คงอยู่ในกลุ่มนี้กระมัง ไม่ใช่หรือ ?”
ไร้การตอบสนอง
ซูเฉินยักไหล่ “ก็ได้ ในเมื่อทำเป็นไม่รู้ความ ข้าก็มีแต่ต้องบอกลาเจ้า”
เขาหันกลับ เตรียมตัวเดินจากไป
“ฟู่ !”
ลมเริ่มส่งเสียงหวีดหวิว
เถาวัลย์จำนวนนับไม่ถ้วนโผล่ขึ้นมาหลังซูเฉิน เลื้อยขึ้นมาจากบึงแล้วพุ่งเข้าคว้าตัวเขาราวกับเป็นหนวด
ซูเฉินสัมผัสลมได้ก็พุ่งออกไปอย่างไม่ลังเลราวกับมีตาหลัง
เจ้าเถาวัลย์จึงกลับไปมือเปล่า ซูเฉินรู้ระยะห่างจากมันได้ดีเกินไป กระโจนไปคราเดียว เขาก็หลบการโจมตีมันได้แล้ว
“กรร !” เสียงคำรามรุนแรงดังขึ้น
เสียงมาจากต้นไม้เก่าแก่ที่อยู่ด้านหลังผลไม้นั่น
ใบหน้าดุร้ายปรากฏบนลำต้นของต้นไม้เก่าแก่ ก่อนจะคำรามใส่ซูเฉิน จากนั้นผลสีแดงเลือดที่โผล่ขึ้นจากโคลนจึงถูกดึงลอยขึ้นมา ถึงตอนนี้ เห็นได้ชัดแล้วว่ามันเป็นผลที่เชื่อมกับต้นไม้ด้านหลังนั่น
กิ่งก้านนับไม่ถ้วนโบกไปมาในอากาศ เกิดเป็นภาพน่าขนลุก ทว่าด้วยระยะห่างของมันกับเขา มันจึงไม่อาจทำอะไรเขาได้
ซูเฉินยืนนิ่งอยู่ไกล ๆ มองดูต้นไม้คล้ายปลาหมึกอย่างเย็นชา “สงสัยว่าข้ารู้ระยะห่างได้อย่างไรหรือ ? จริงๆ แล้วง่ายมาก ก็ใช้พวกนกเหล่านั้นไง”
มีนกตัวเล็ก ๆ สองสามตัวบินไปมาอยู่ใกล้ ๆ ก่อนต้นไม้จะเริ่มโจมตี พวกมันอยู่บนพื้นจิกหาอาหาร แต่พอต้นไม้โจมตี พวกมันก็ไม่กระเจิงหนี แต่กลับร้องจิ๊บอย่างเริงร่า ไม่สะทกสะท้าน
พวกมันไม่ใช่อสูรร้าย เป็นแค่นกอ่อนแอธรรมดา ๆ เท่านั้น
แต่ก็อยู่รอดในที่แบบนี้ได้เพราะมีความสามารถในการหลบเลี่ยงอันตราย
การสังเกตสภาพแวดล้อมอย่างระมัดระวังและหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่ไม่จำเป็นเป็นสัญชาตญาณที่ทุกสิ่งชีวิตถือครอง ต้นไม้ขวัญผวานี่อาจเป็นศัตรูกับอสูรกายนับไม่ถ้วน แต่กับนกเล็กเหล่านี้พึ่งพามันเป็นโล่กำบัง และเพราะพฤติกรรมของพวกมันจึงทำให้เขาล่วงรู้ถึงความลับของต้นไม้นั่นได้
“กรร !” ต้นไม้เก่าแก่คำรามโกรธ
ราวกับว่ามันทำได้เพียงขู่เขากลับเท่านั้น
“ข้ารู้ว่าเจ้าทรงพลังมาก แต่จุดอ่อนมันตำตากันเกินไป เพื่อนบ้านข้างเคียงอาจใช้จุดอ่อนของเจ้าโดยไม่ตั้งใจ แต่เสียดาย ข้าเป็นมนุษย์ จึงชอบฉวยโอกาสจากจุดอ่อนคนอื่นเป็นพิเศษเชียวล่ะ”