ภาคที่ 4 บทที่ 153 ป่าหิน (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 153 ป่าหิน (1)

ถุย !

ซูเฉินถุยเลือดคำใหญ่ออกมา แล้วลากร่างเจ็บหนักออกจากป่า ชุดคลุมสีขาวสะอาด ตอนนี้ชุ่มไปด้วยเลือดสีแดง ตอนนี้ไม่อาจแม้กระทั่งเดินอยู่บนบึงอย่างคราวแรกได้ ร่องรอยการบาดเจ็บทั้งหลายแสดงให้เห็นถึงการต่อสู้อันยากลำบากที่เขาเพิ่งผ่านมา

“บัดซบ ประเมินเจ้านั่นต่ำไปอยู่ดี” ซูเฉินเดินออกมาแล้วงึมงำ

ปีศาจต้นไม้แก่นั่นซึมซาบพลังไฟมาพันปี มีกำลังอย่างไม่น่าเชื่อ แม้มันจะขยับไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถจัดการศัตรูที่อยู่ในระยะได้ สุดท้าย แม้ชายหนุ่มจะเอาชนะมาได้ แต่ก็บาดเจ็บไม่น้อย

กระนั้น ซูเฉินก็ยังเอาหัวใจของมันมาได้

เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร ทั่วทวีปต้นกำเนิดมีของแปลกประหลาดอยู่มากมาย หากพบเจอบางอย่างที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน ก็อาจตั้งชื่อไว้ก่อนเลยก็ได้ ในเมื่อดวงใจของผลไม้นี้ยังเต้นอยู่ ซูเฉินจึงเรียกมันว่าดวงใจปีศาจต้นไม้เพราะดูเหมาะสมดี ส่วนมันจะเป็นดวงใจของปีศาจต้นไม้เฒ่านั่นหรือไม่ หรือจะมีของชิ้นอื่นที่มีชื่อซ้ำกันหรือเปล่า เขาไม่สน

คุณสมบัติและประโยชน์ของมันยังไม่มีใครรู้ แต่ดูจากกำลังของต้นไม้เฒ่านั่นแล้ว เทียบเท่าได้กับระดับด่านสู่พิสดารขั้น 4 เลยทีเดียว เห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดา

ที่สำคัญ ของชิ้นนี้เองก็หายากและได้มาอย่างลำบากด้วย

กระทั่งมูลสุนัขก้อนหนึ่งยังอาจมีมูลค่ามากหลาย ตราบเท่าที่มันไม่อาจหาของที่เทียบกันได้มาจากทั่วทั้งทวีป

ซูเฉินเก็บดวงใจปีศาจต้นไม้แล้วพักหายใจเล็กน้อย ก่อนจะกลับไปยังเรือเหาะจันทราเงิน แล้วเริ่มหาเป้าหมายต่อไป

เป้าหมายถัดมาคือทุ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก และที่นี่ยังมีป่าหินด้วย

เหตุผลที่ทำให้ซูเฉินเชื่อว่าป่าหินแห่งนี้อาจเป็นแหล่งของสมบัติล้ำค่า นั่นเป็นเพราะป่าหินแผ่นนี้มีรูปแบบแปลกประหลาด ทั้งยังมีความผันผวนของพลังแผ่ออกมาด้วย

ตามหาความผันผวนพลังเช่นนี้จึงกลายเป็นการหาสมบัติล้ำค่าที่ง่ายที่สุด แม้จะไม่ใช่ทุกชิ้นที่ปล่อยคลื่นพลังออกมา แต่ของที่สามารถปล่อยพลังหนาแน่นออกมาได้เช่นนี้ย่อมไม่ใช่ของธรรมดาแน่นอน

ใต้หล้ากว้างใหญ่มากเกินไปเสียจนซูเฉินไม่จำเป็นต้องเสียเวลาตามหาสมบัติที่ซุกซ่อนทั้งหลายทุกอย่าง

แค่กับของที่เห็นได้ง่าย ๆ เท่านี้ก็เก็บแทบไม่ไหวแล้ว

ไม่นานเขาก็มาถึงทุ่ง และเห็นว่าตนเองกำลังลอยอยู่เหนือป่าหิน

ป่าหินมีพื้นต่างระดับ ต้นไม้จึงมีความสูงและขนาดแตกต่างกัน ทว่าแต่ละกิ่งปลดปล่อยความผันผวนของพลังรุนแรงออกมา เมื่อซูเฉินเข้าใกล้ หินก้อนใหญ่ก็ลอยขึ้นมา กลายเป็นอสูรหินหน้าตาเหมือนหมาป่า ลิง หมู ปู และอื่น ๆ ตัวที่ใหญ่ที่สุดสูงกว่าร้อยฉื่อ ตัวเล็กสุดนั้นขนาดแค่ฝ่ามือเท่านั้น มันคือแมงป่องหินผลึกแก้วตัวใสนั่นเอง

สิ่งหนึ่งที่เหล่าปีศาจหินมีเหมือนกันคือเมื่อก่อร่างขึ้นแล้ว ก็พุ่งใส่ซูเฉินทันที ทั้งยังร้องเสียงเกรี้ยวกราด“เจ้าคนน่ารำคาญมาอีกแล้ว”

“ฆ่ามัน ! ฆ่าให้หมด !”

เสียงโหวกเหวกดังก้องไปในอากาศ

ซูเฉินถอยออกมาเพื่อดูวิธีการสู้ของศัตรู กลยุทธ์ที่ใช้ได้ดีที่สุดคือการปล่อยเหยี่ยวเพลิงฝูงใหญ่ออกมา

โดยจะวิเคราะห์ความแกร่งของศัตรูด้วยการโจมตีนี้ ทว่าเหยี่ยวเพลิงกลับไปโดนปีศาจหินตัวหนึ่งเข้าแล้วสังหารมันทันที ตัวซูเฉินยังอึ้งไป เจ้าพวกนี้ฆ่าง่ายขนาดนั้นเลยหรือ ?

“มันฆ่าเพื่อนเรา !”

“ปีศาจ !”

“ต้องฆ่ามันเพื่อพยุงความยุติธรรม”

ขณะที่พวกมันยังคงตะโกนไร้สาระต่อไป ปีศาจหินก็พุ่งเข้าใส่ซูเฉินพร้อมเรี่ยวแรงเต็มเปี่ยม เหวี่ยงแขนหินและดาบหินไปในอากาศ เป็นการต่อสู้เรียบง่ายดั้งเดิม

เห็นดังนั้น ซูเฉินก็ตัดสินใจรวดเร็ว ปล่อยเหยี่ยวเพลิงอีกระลอก กวาดล้างพวกมันสิ้นอย่างง่ายดาย

ทว่าพอพวกนั้นตายแล้ว ก็มีพวกมันอีกกลุ่มลอยขึ้นจากป่าหินแล้วพุ่งเข้าใส่พร้อมเสียงคำรามอีก

ซูเฉินโจมตีอีกครั้ง ทำลายพวกมันได้โดยไม่ยากเย็น

ทว่าพวกมันระลอกสามก็พุ่งเข้าใส่อย่างไม่ลดละ

ซูเฉินจึงรู้สึกผิดปกติ

เขาทำลายพวกมันตัวหนึ่งแล้วมองดูซากมัน ซึ่งหมุนคว้างกลับป่าหินไปเอง จากนั้นก็ซ่อมแซมตนเองขึ้นใหม่จนเป็นเหมือนเดิม ก่อนจะลุกขึ้นแล้วพุ่งขึ้นมาสู้ใหม่

จะเอาเช่นนี้ใช่หรือไม่ ? ฆ่าไม่ตายงั้นหรือ ?

พวกมันต่อสู้ได้ธรรมดา แต่ความสามารถในการคืนชีพเรื่อย ๆ นั้นยากจะรับมือนัก

หากฟื้นคืนชีพได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งเช่นนี้ ก็เอาชนะไม่ได้น่ะสิ ?

ซูเฉินครุ่นคิดอีกหน่อยเรื่องที่พวกมันพูด เห็นได้ชัดว่าพวกมันต่อสู้บ่อย หรือก็คือ มันตายมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยตายจริงสักครั้ง หมายความว่าพวกมันตายได้ไม่จำกัดครั้งจริง ๆ สินะ

เวรแล้ว ทำไมต้องมาเจอศัตรูเช่นนี้ด้วย ?

ที่สำคัญ ซูเฉินก็ไม่ได้ของมีค่าหรือสำคัญจากพวกมันเลยด้วย

ซูเฉินไม่คิดร่วมวงในการต่อสู้เช่นนี้จึงเริ่มถอย

แต่เจ้าพวกนั้นกลับไม่ปล่อยเขาไปง่าย ๆ

“มันจะหนี หยุดมัน อย่าให้มันหนี !”

ปีศาจหินกระโจนเข้ามา ขณะเข้าใกล้ก็พลันแปลงร่างไปด้วย

พวกมันรวมร่างกันกลายเป็นหินขนาดใหญ่แล้วขวางทางถอยและเหนือศีรษะซูเฉินไว้

ซูเฉินโกรธจนแค่นหัวเราะ พวกเจ้าไม่คิดปล่อยวางหรือ ? คิดหรือว่าข้ากลัวพวกเจ้าจริง ?

ฝนร้อนระอุเริ่มตกลงมาจากท้องฟ้า ละลายพวกปีศาจหินไปจนหมด

ทว่าฆ่าไปแล้วมันก็ฟื้นมาใหม่ ยังขวางทางเขาไม่หยุด ราวกับผีร้ายที่เกาะหนึบไม่ยอมปล่อย

“ถ้ากลับไปป่านั่นแล้วจะคืนชีพได้สินะ ? เช่นนั้นหากกลับไม่ได้เล่า ?” ซูเฉินเอ่ยเสียงเย็น

การโจมตีที่ทรงพลังถูกปลดปล่อยออกมาอีก พวกมันถูกทำลายอีกครั้ง

แต่ก่อนที่เศษหินเหล่านั้นจะกลับไปยังป่าหิน ซูเฉินก็โบกแขนเสื้อ เขวี้ยงพวกมันไปด้านหลัง

ทว่าทันใดนั้น ก็มีลำแสงเจิดจ้าพุ่งออกมาจากป่าหิน และซากของปีศาจหินที่ถูกโยนขึ้นไปในอากาศก็หายไป กองหินก้อนใหญ่ปรากฏในป่าหิน กลับกลายเป็นปีศาจหินรูปร่างประหลาด ที่ยังคงพูดพึมพำในขณะที่พุ่งเข้าใส่อีก

ไม่ง่ายเช่นนั้นหรือ ? ซูเฉินคิด

ต่อมา เขาพยายามแช่แข็งเศษหินที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าเขาจะพยายามที่จะทำลายเศษหินเหล่านี้อย่างไร มันก็กลับไปในป่าหินตลอด ราวกับสู้อยู่กับภาพมายา

ทั้งยังไม่ถูกวิชาสรรพสิ่งลวงตา เพราะปีศาจหินนั้นไม่แพ้ทางวิชาจิตใด ๆ ทั้งสิ้น

ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดเองก็ไม่ช่วย ทำได้แต่เพิ่มความแกร่งให้เขาเท่านั้น หากแรงโจมตีเดิมเท่ากับ 10 หน่วย มันจะช่วยเพิ่มขึ้นเป็น 50 หน่วย แต่ปีศาจหินพวกนี้ตายตั้งแต่แรงโจมตี 5 หน่วยแล้ว ฉะนั้นใช้ไปก็ไม่ได้อะไร

อาวุธวิญญาณและวิชาจิตหงส์เพลิงก็เช่นกัน ในเมื่อสามารถจัดการศัตรูด้วยวิธีง่าย ๆ ได้ พวกวิชาขั้นสูงทั้งหลายจึงไร้ประโยชน์ มีแต่จะทำให้เสียแรงมากขึ้นเท่านั้น

ซูเฉินรู้สึกจนใจกับการสู้กับกองทัพปีศาจหินอยู่พักหนึ่ง

ทันใดนั้น เขาก็เห็นแมงป่องผลึกแก้วตัวน้อย มันเป็นตัวเดียวที่ยังรั้งอยู่ในป่าหิน ยังไม่ออกมาทำการต่อสู้

ความคิดหนึ่งวาบขึ้นในหัว หรือจะเป็นจุดอ่อนของเจ้าพวกนี้ ?

ทว่าเจ้าแมงป่องผลึกแก้วหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าหิน ทั้งยังมีปีศาจหินมากมายขัดขวางเขาอยู่ จะทำลายมันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย

แต่ไม่ว่าจะยากเย็นอย่างไร นี่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับซูเฉิน พริบตาต่อมา ร่างเขาก็วาบผ่านแถวปีศาจหิน ปรากฏอีกทีอยู่หน้าแมงป่องผลึกแก้ว พลังไฟหนาแน่นปรากฏขึ้นในฝ่ามือ ก่อนหงส์เพลิงจะทะยานขึ้นฟ้า

“ตายเสีย !” ซูเฉินใช้หงส์เพลิงทำลายแมงป่องผลึกแก้ว

เปรี๊ยะ !

ได้ยินเสียงลั่นเปรี๊ยะแล้ว แมงป่องผลึกแก้วก็แตกกระจายออก

เฮ้อ

ซูเฉินถอนหายใจยาวออกมา คงจบเท่านี้ล่ะ เขาคิด

ทว่าทันใดนั้น ภาพเบื้องหน้าก็ทำให้เขาถึงกับพูดไม่ออกไป