บทที่ 154 ป่าหิน (2)
เมื่อแมงป่องผลึกแก้วแตกเป็นเสี่ยงแล้ว ปีศาจหินทั้งหมดก็ร้องโหยหวนด้วยความโกรธอย่างพร้อมเพรียงกัน
“มันฆ่าน้องเล็ก !”
“ทำได้อย่างไรกัน ? น้องเล็กน่ารักจะตาย ไม่เคยโจมตีใครเลย”
“น้องเล็ก น้องเล็กที่น่าสงสาร !”
“ยังเล็กอยู่เลยแท้ ๆ ยังฟื้นร่างไม่ได้ แต่ตอนนี้กลับสลายไปตลอดกาลแล้ว”
“แก้แค้น ! แก้แค้น ! แก้แค้น !”
เสียงโห่ร้องและเสียงกู่ร้องดังจนหูซูเฉินแทบระเบิด
เจ้าตัวผลึกแก้วไม่ใช่แก่นของป่า แต่เป็นตัวที่เพิ่งเกิดใหม่สินะ ก็แค่เด็กเกิดใหม่ยังเปราะบาง ยังไม่อาจคืนชีพได้ มันจึงหลบอยู่ในป่าไม่ยอมโจมตีงั้นสินะ ?
แล้วเขาก็ทำลายมันด้วยวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายและวิชาจิตหงส์เพลิงเนี่ยน่ะหรือ ?
ทำเอาเขาพูดไม่ออกเลย
อันที่จริง สามัญสำนึกก็ไม่น่าเชื่อถือเสมอไป เจ้าแมงป่องดูต่างจากปีศาจหินตัวอื่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันแกร่งที่สุด อาจหมายความว่ามันอ่อนแอที่สุดได้ด้วย
แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้สำคัญเป็นพิเศษ ที่สำคัญกว่าคือเขาทำให้พวกมันโกรธเข้าจริง ๆ แล้ว
ปีศาจหินทั้งหลายพุ่งเข้ามาโห่ร้องลั่น เกิดเป็นภาพตระการตาต่อหน้าซูเฉิน
พวกมันหลอมละลายเข้าด้วยกัน
ร่างแข็งเป็นหินของมันเหลวดั่งโคลน พวกมันหลอมเข้าด้วยกันแล้วก่อร่างขึ้นใหม่
ซูเฉินรู้ว่าแย่แล้ว เขาไม่คิดรั้งรอให้มันก่อร่างเสร็จ อย่างไรเขาก็ไม่คิดอยากสู้กับมันแล้ว แม้ไม่อาจใช้หลักเหตุผลได้ครั้งหนึ่ง แต่ปกติแล้วก็ยังใช้หลักเหตุผลเป็นประโยชน์ได้
เขาวาดมือ วิชาจิตหงส์เพลิงเหินขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น ยังตามมาด้วยกรงเล็บเพลิงเงาติด ๆ แม้ศัตรูกำลังจะก่อร่างเสร็จแล้ว แต่พลังซัดครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อนอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดำเนินไปในทางที่เขาคาดไม่ถึง ร่างที่หลอมรวมไม่สมบูรณ์เหมือนดั่งโล่โคลน และดูดซับการโจมตีอันทรงพลังของเขาโดยไม่เปลี่ยนรูปร่าง มันยังคงดิ้นเปลี่ยนรูปต่อ ค่อย ๆ กลายเป็นแมงป่องหินขนาดยักษ์ คล้ายกับแมงป่องผลึกแก้วที่เขาสังหารไปเมื่อก่อนหน้า แต่ตัวใหญ่กว่ามาก ใหญ่ราวกับปราสาทลอยฟ้า แค่หางก็ยาวกว่าร้อยฉื่อ ก่อร่างแล้วมันก็ตวัดหางใส่เขาอย่างรุนแรงทันที
ซูเฉินรู้ว่าคงไม่หลบมันได้เช่นครั้งก่อน ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดปรากฏ และเปลวไฟสีดำก็เริ่มฉายขึ้นบนผิวหนัง ปลดดาบหั่นภูผาออกจากฝัก ระเบิดออกมาด้วยพลังมหาศาลในเวลาเพียงชั่วพริบตา.
ตู้ม !
เกิดแรงระเบิดครั้งใหญ่ ซูเฉินกระเด็นออกมาราวกับว่าวสายป่านขาด ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดกะพริบรุนแรง ซูเฉินเกือบรั้งมันไว้ไม่ได้
“เวร ทรงพลังมาก !” ซูเฉินอุทานขณะเช็ดรอยเลือดที่มุมปากออก เขาไม่กลัว แต่แววตื่นเต้นในดวงตายิ่งเต้นระริก
นี่ล่ะการต่อสู้ของจริง !
รอบนี้ไม่มีหลอก ไม่เหมือนพวกขยะที่อ่อนแอที่ซูเฉินสู้เมื่อก่อนหน้าแน่
ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดขยายจากห้าไปเป็นสิบห้าจั้ง เมื่อร่างใหญ่ขึ้น กำลังก็เพิ่มขึ้น แต่การป้องกันและความทนทานลดลง
ซูเฉินไม่สนเรื่องอื่นแล้วเมื่อตอนนี้ได้ปะทะกับศัตรูทรงพลังเสียที เขารีดความแกร่งตนขั้นสุด ดาบหั่นภูผาเองก็ขยายขนาดตาม ผิวดาบเริ่มมีสายฟ้าลั่นเปรี๊ยะ
ร่างกายของเขาสว่างไสวด้วยเปลวไฟสีดำและดาบของเขาจุดประกายด้วยสายฟ้าลั่นผ่านตัวดาบ สายฟ้าและเพลิงดำผสานกัน เกิดเป็นแสงจ้าแสบตา ชี้ให้เห็นว่าเขาอยู่ในสถานะที่มีพลังสูงสุดแล้ว
“มาเลย !” ซูเฉินตะโกนบอกแล้วเสือกดาบเข้าไป
สายฟ้าแล่นผ่านดาบ พุ่งออกไปเป็นวงโค้งคมเฉียบ ขู่เข็ญศัตรูตรงหน้าว่าอาจโดนแยกร่างได้
แมงป่องรวมร่างคำรามลั่นและเอากรงเล็บขนาดใหญ่สองอันของมันกระทบกัน แล้วโจมตีใส่ซูเฉิน
ดาบกับก้ามปะทะกัน เกิดเป็นวงพลังระเบิดออกมาทั่วทิศ
เคร้ง เคร้ง เคร้ง !
ซูเฉินตวัดดาบนับครั้งไม่ถ้วน แต่ละครั้งสายฟ้าคำรามสนั่น พลังระเบิดในแต่ละคมดาบไม่อาจหยุดยั้ง มันพุ่งออกไป สร้างแรงกดมหาศาล แมงป่องหินร่างยักษ์ร้องลั่นด้วยความตกตะลึง เสียงคำรามป่าเถื่อนดังขึ้น กรงเล็บใหญ่ปะทะลงมาอีกครั้งรุนแรงราวกับคลื่นยักษ์
การปะทะกันครั้งใหญ่เกิดขึ้นอีกครั้ง ประกายไฟกระจายไปทั่ว คลื่นพลังงานอันตรายแผ่ซ่านไปทั่วทุกทิศทุกทาง
ซูเฉินเหมือนนักรบผู้มีอำนาจเหนือใคร ในเวลานี้เขาไม่ได้ถอยแม้แต่น้อย กลับเพิ่มความแข็งแกร่งให้ถึงขีดสุด แมงป่องร่างยักษ์ส่งเสียงกรีดร้องแหลมคม ปลดปล่อยการโจมตีอย่างดุเดือดครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่มีฝ่ายใดถือออมมือหรือแสดงความเมตตา ใครก็ตามที่อดทนได้จนถึงที่สุดเป็นผู้ชนะ
ในแง่ของความแข็งแกร่ง แมงป่องหินร่างยักษ์มีระดับสูงกว่า แม้ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดของเขาจะสูงใหญ่ถึงสิบห้าจั้งแล้ว แต่ก็ยังเล็กกว่าแมงป่องร่างยักษ์ แต่ในเรื่องความถึกทน ซูเฉินนั้นมีมากกว่าแมงป่องหินนัก
ซูเฉินมีวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ พลังต้นกำเนิดเขาหนาแน่นกว่าคนอื่น ๆ ที่มีพลังระดับเดียวกัน ชุดคลุมเส้นใยปะการังก็ช่วยสลายพลังโจมตีได้ ทำให้ใช้พลังต้นกำเนิดน้อยลงไปอีก และเขายังมียาฟื้นพลังหลากชนิด ช่วยผสานแผล มีหินพลังใช้ไม่หมดช่วยเสริม ดังนั้นกำลังจึงรักษาแกร่งสูงสุดอยู่ตลอดได้
หากเขาต้องการ เขาสามารถต่อสู้แบบนี้ต่อไปอีกเจ็ดวันเจ็ดคืนโดยไม่เหนื่อยแม้แต่น้อย ทั้งยังเสียทรัพยากรเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
และทรัพยากรเป็นสิ่งที่เขาขาดน้อยที่สุด
คนรวยไม่กลัวการต่อสู้ที่ยาวนาน นี่เป็นกฎที่สังเกตได้ทั่วไปในทวีปต้นกำเนิด
และไม่แปลกที่ซูเฉินอยู่ในอันดับต้น ๆ ในเรื่องความมั่งคั่ง
ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวการต่อสู้ อันที่จริงเขามีความสุขมากด้วยซ้ำ
ทว่าแมงป่องหินไม่มีเจตนาเช่นนั้น
มันค้นพบอย่างรวดเร็วว่าถึงแม้จะแข็งแกร่งกว่าซูเฉิน แต่ความยืดหยุ่นและความอดทนของคู่ต่อสู้นั้นมีมากกว่าของมันเองหลายเท่า ดังนั้นหากพวกมันยังต่อสู้ต่อไป มันจะเป็นผู้ที่ต้องพบกับความสูญเสียในท้ายที่สุด
รู้เช่นนี้แล้ว ในที่สุดแมงป่องหินก็เริ่มเสียใจที่เลือกสู้และอยากล่าถอย
ทว่าซูเฉินไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยให้มันหนีไปแบบนั้น
นั่นเป็นเพราะเขาดึงของสิ่งหนึ่งออกมาแล้ว
“หลังจากที่เจ้าหลอมรวม ก็สูญเสียความสามารถในการสร้างใหม่ใช่ไหม ? และหากแยกกัน ก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อการโจมตีของข้าเหมือนเมื่อก่อนใช่หรือไม่ ? งั้นก็คือร่างแกร่งที่สุดกลับเป็นร่างที่อ่อนแอที่สุด…… ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบคำพูดนั้น แต่มันก็เหมาะกับเจ้าจริง ๆ”
“กรรร !” แมงป่องหินถ่มน้ำลายอย่างน่ากลัวเป็นคำเตือน
“ข้าชอบท่าทางเจ้านะ เจ้าน่าจะรู้ว่าพวกที่กำลังจะแพ้น่ะชอบทำเช่นนั้น” ซูเฉินตอบด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
ยิ่งคู่ต่อสู้ของเขาทำท่าแบบนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งหมายความว่ามันหลังชนฝาแล้วเท่านั้น
เยี่ยมเลย !
ดาบในมือเริ่มตวัดอย่างเฉียบคมมากกว่าเดิม
ครึ่งชั่วยามต่อมา แมงป่องร่างยักษ์ก็หมดแรง ไม่อาจสู้ได้อีก ไม่เหมือนมนุษย์ที่มีวิธีฟื้นกำลังมากมาย สิ่งมีชีวิตดั้งเดิมเหล่านี้หากหมดแรงแล้วก็จะไม่อาจต่อสู้ได้อีก
ฉัวะ !
คมดาบผ่ากลางอากาศ แยกร่างแมงป่องหินเป็นสองฝั่ง มันล้มคว่ำลงแล้วไม่อาจยืนขึ้นได้อีกตลอดกาล
คราวนี้มันไม่เกิดใหม่อีก หินสีดำกลม ๆ กลิ้งออกมาจากซากแมงป่องนั่น
แค่สัมผัสถึงพลังต้นกำเนิดในหินก่อนนั้น ซูเฉินก็รู้ว่ามันล้ำค่านัก
“เยี่ยม ! ดวงใจศิลาเป็นของข้าแล้วเช่นกัน” ซูเฉินยังตั้งชื่อให้ของชิ้นใหม่อย่างไร้ความรับผิดชอบ ใส่คำว่า ‘ดวงใจ’ ลงในทุกอย่างที่เขาพบ นับเป็นการตั้งชื่อที่มีประสิทธิภาพนัก
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขากำลังจะเดินไปหยิบดวงใจศิลานั่นเอง ทันใดนั้นก็มีมือพันผ้าพันแผลโผล่ขึ้นมาจากพื้นและคว้ามันไว้ก่อนที่จะหายกลับลงพื้นไป