ลางบอกเหตุ

ใช้น้ำเสียงนุ่มนวลพูดสิ่งที่น่ากลัวอย่าง ‘คุณจะตาย’… ครู่หนึ่งเลยทีเดียวที่เด็กหนุ่มคิดว่าหูเขาฟังผิดไปแล้ว เขานั่งอยู่ที่เดิม ตัวแข็งทื่อ และมองเฉินเกอด้วยสายตาว่างเปล่าเหมือนไม่สามารถทำความเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้

“บอกผมทุกอย่างที่คุณรู้ ยิ่งละเอียด ผมยิ่งมีโอกาสช่วยเพื่อนของคุณได้ นอกจากนั้น จำเอาไว้– ไม่ว่าบ้านของคุณจะอยู่ที่ไหน อย่าได้ไปทางตะวันออกเมื่อลงจากรถ เข้าใจไหม?”

เฉินเกอเป็นคนประเภทไหนน่ะเหรอ? ถ้าพูดว่าเขาเป็นคนที่จะตะกายขึ้นไปบนสุดของกองซากศพก็ดูจะเกินไป แต่พอคิดถึงประสบการณ์ที่ผ่าน ๆ มาของเขาแล้ว ก็ต้องใช้ถึงสองมือเพื่อนับจำนวนฆาตกรบ้าคลั่งที่ตกมาอยู่ในมือของเขาเลยนะ

เตร็ดเตร่ไปตามบ้านผีสิงอยู่ทุกคืน มีการติดต่อใกล้ชิดกับพวกผี ทำให้พลังของพวกวิญญาณนั้นอาบอยู่บนตัวเขา เฉินเกอนั้นไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่าเปลี่ยนโทนเสียง เด็กหนุ่มก็คิดไปแล้วว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง บางทีมันอาจจะเป็นสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดของเขาที่บังคับให้เขาอยู่ให้ห่างจากบุคคลอันตรายเช่นนี้ อุณหภูมิร่างกายของเฉินเกอนั้นต่ำกว่าปกติ แต่มันก็ไม่ได้นับเป็นเรื่องผิดปกติอะไร แต่เด็กหนุ่มจู่ ๆ ก็รู้สึกย่ำแย่จากความเย็นอันหนาวเยือก มือทั้งสองข้างของเขากดอยู่กับเบาะ เขาขยับตัวออกห่างเฉินเกออย่างแอบ ๆ

“เป้ยเหวินเป็นคนสุดท้ายที่หายตัวไป บางทีอาจจะเพราะว่าเขากลัว เขาไม่ได้มีท่าทีต่างไปจากปกติเลย”

“นั่นไม่ใช่ข้อมูลที่มีประโยชน์ ผมต้องการเงื่อนงำเกี่ยวกับตัวเขา พวกเขาทิ้งอะไรเอาไว้ที่ดูใช้การได้ไหม? อย่างข้อความหรือว่าบันทึกประจำวัน” เฉินเกอบีบคั้นเด็กหนุ่มให้จนมุมอยู่ที่เบาะแถวหลังสุด “ลองคิดให้ดี ๆ”

ใบหน้าของเด็กหนุ่มดูตึงเครียดขึ้น และหลังจากใคร่ครวญอยู่นาน ในที่สุดเขาก็นึกบางอย่างได้ “ก่อนที่เป้ยเหวินจะหายตัวไป เขาบอกผมว่าอย่าบอกตำรวจเรื่องรถเมล์คันสุดท้ายสาย 104 ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขายังให้ลูกกุญแจผมดอกหนึ่งและบอกผมว่าถ้าเขาไม่กลับมาภายในสามสัปดาห์ให้เอาลูกกุญแจนี้ขึ้นรถเมล์เที่ยวสุดท้ายไปตามหาเขา”

“คุณเอาลูกกุญแจนั่นติดตัวมาไหม?” มีเฉินเกอจับตามองอยู่ เด็กหนุ่มก็ดึงกุญแจสนิมกรังดอกหนึ่งออกมาจากกระเป๋า มันเปื้อนเลือด

“ขอผมดูหน่อย” เฉินเกอรับกุญแจมาตรวจดู เขาไม่อยากเชื่อเลย เขาค้นทั่วกระเป๋าตัวเองและเจอกุญแจของเขาอยู่ในซอกกระเป๋า กุญแจทั้งสองดอกนี้เหมือนกันอย่างไม่น่าเชื่อ

“คุณเองก็มีกุญแจแบบเดียวกัน?” เด็กหนุ่มอ้าปากค้างอย่างตกใจ

“เงียบก่อน” เฉินเกอวางกุญแจทั้งสองดอกลงบนเบาะและขมวดคิ้ว เขาได้รับกุญแจดอกนี้มานานแล้วตอนที่ทำภารกิจของบุคลิกที่สองของเหมินหนานสำเร็จ มันเป็นรางวัลจากโทรศัพท์เครื่องดำ กุญแจแห่งการรู้ตน กุญแจดอกนี้สามารถช่วยเขาตามหาตัวตนแท้จริงของเขาเมื่อเขาตกอยู่ภายใต้ผลของความสับสนหรือว่าภาพหลอน

เฉินเกอเชื่อว่ากุญแจดอกนี้จะเป็นประโยชน์ตอนที่เขาสำรวจหอผู้ป่วยสาม ใคร ๆ ก็ง่ายที่จะถูกรบกวนจากพลังงานด้านลบหนาหนักที่อยู่ด้านหลังประตูตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าไปครั้งแรก ทำให้สูญเสียความเป็นตัวเองไป ตามที่เฉินเกอคิด กุญแจดอกนี้สามารถจัดการกับเรื่องเช่นนั้นที่อาจจะเกิดขึ้นได้

สุดท้ายแล้ว เขาก็ไม่ได้ใช้กุญแจดอกนี้ตอนนั้นเพราะว่าจางหยานั้นมีพลังมากเกินไป เธอพุ่งเข้าไปในประตูและไล่ตามผู้อำนวยการคนนั้น นอกจากตกใจแล้ว เฉินเกอก็ไม่ได้ประสบกับอารมณ์อื่นที่มากเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ใช้กุญแจดอกนี้

เพราะเฉินเกอคิดว่าเขาอาจจะได้ใช้กุญแจดอกนี้ในอนาคต เขาจึงเก็บมันเอาไว้ในกระเป๋าสะพายหลัง แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ ว่าระหว่างเดินทางไปจิ่วเจียงตะวันออกในวันนี้ เขากลับได้เจอกุญแจที่เหมือนกันอีกดอกหนึ่ง ในด้านหน้าตาแล้ว นอกจากรอยกัด พวกมันก็ดูเหมือนกันเปี๊ยบ

“การปรากฏตัวของกุญแจดอกนี้นั้นบ่งบอกบางอย่าง?” กุญแจนี้สามารถหยุดบางคนจากการสูญเสียตัวตนได้ ก่อนที่เป้ยเหวินจะหายตัวไป เขาบอกเด็กหนุ่มคนนี้ให้ตามหาเขาด้วยกุญแจดอกนี้ นี่หมายความว่าที่ที่เขาไปนั้นเป็นสถานที่ซึ่งคนผู้หนึ่งจะหลงลืมตัวตนไปได้โดยง่าย?

“คุณรู้ไหมว่าเป้ยเหวินไปไหน?” เฉินเกอเก็บกุญแจทั้งสองดอกเข้าไปในกระเป๋าตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ

“เขาไม่ได้บอกผม” เด็กหนุ่มมองเฉินเกอฉวยกุญแจของเขาไปด้วย เขาตอบอย่างซื่อตรงและไม่กล้าขอกุญแจคืน

“กุญแจดอกนี้ค่อนข้างสำคัญ แต่ไม่ต้องห่วง ในเมื่อผมเอากุญแจของคุณมา ผมก็ต้องช่วยเพื่อนของคุณแน่นอน” เฉินเกอเอนตัวพิงเก้าอี้และจู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่านี่เป็นลางร้าย ตอนที่กุญแจดอกแรกปรากฏขึ้น เขาก็เข้าไปในหอผู้ป่วยสามและเจอกับศัตรูที่รับมือได้ยากที่สุดในตอนนั้น– สมาคมเล่าเรื่องผี

คราวนี้ เขากำลังจะไปยังจิ่วเจียงตะวันออกเพียงคนเดียว และการปรากฏของกุญแจดอกนี้นั้นก็อาจจะเป็นสัญญาณว่าเขากำลังจะเจอเข้ากับศัตรูเก่งกาจอีกรายหนึ่ง

กุญแจดอกแรกนั้นเกี่ยวข้องกับเหมินหนาน เด็กที่มีสองบุคลิก และพวกเขายังมีบุคลิกภาพที่ต่างกัน กุญแจดอกที่สองนั้นเกี่ยวข้องกับฝาแฝดแซ่เป้ย ที่หน้าตาเหมือนกันแต่นิสัยต่างกันเฉินเกอแตะกุญแจทั้งสองดอกในกระเป๋าและจู่ ๆ ก็นึกถึงเงาที่ดูคล้ายกับเขา นี่หมายความว่าฉันจะได้เจอกุญแจดอกที่สาม?

เฉินเกอหันมองไปที่หน้าต่าง ไม่มีใครพูดอะไรอีก และในที่สุดรถเมล์ก็จอดที่ป้ายถัดมา

“ลงรถที่นี่และเดินไปทางตะวันตก ทางตะวันออกจากนี้ไปไม่ปลอดภัยแล้ว” เฉินเกอเบี่ยงตัวให้เด็กหนุ่มผ่านออกไป เด็กหนุ่มลุกยืนขึ้น มันเหมือนเขามีอย่างอื่นจะพูด แต่เมื่อมองหน้าเฉินเกอ ในที่สุดเขาก็กลืนคำพูดของเขาลงไปแล้ววิ่งลงรถไป

“เฮ้ คุณลืมร่มของคุณแน่ะ!” เฉินเกอตะโกนออกไปทางหน้าต่าง เด็กหนุ่มกลัวมากจนแม้ว่าฝนจะยังตก เขาก็วิ่งไปทางตะวันตกโดยไม่แม้แต่จะหันหน้าไปมองรอบ ๆ

“ฉันทำให้เขากลัวเหรอ? แต่นี่ก็เป็นเรื่องดี แบบนี้ เขาก็จะสามารถตั้งใจกับการสอบของเขาและไม่ต้องซ้ำชั้นเป็นครั้งที่สาม” เฉินเกอเดินกลับไปยังที่นั่งของตัวเองและหมอก็เอนตัวเข้ามาหาเขานิด ๆ “มีอะไรเหรอ?”

“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาเป็นห่วงคนอื่นแล้ว” หมอกระซิบก่อนที่จะขยับผ้าพันคอให้กระชับและปิดใบหน้าของเขาเอาไว้จนเกือบหมด

“เข้าใจแล้ว” เฉินเกอหยิบร่มของเด็กหนุ่มและกลับไปยังที่นั่งตัวเอง ตอนที่เขาช้อนตาขึ้นมอง เขาก็เห็นหัวเห็ดที่แถวที่สองกำลังมองเขาอยู่ ด้วยริมฝีปากแห้งแตกและรอยยิ้มแข็ง ๆ เขากำลังมองเฉินเกออย่างตั้งใจและเฉินเกอก็รู้สึกอยากจะให้รางวัลเขาด้วยการกระแทกค้อนใส่หน้าสักครั้ง เมื่อคิดถึงคนบนรถ เฉินเกอก็กดความต้องการนั้นลงไป

“หยุดยิ้มได้แล้ว ถ้าหยุดยิ้มแล้วคุณจะน่าเกลียดเกินไปงั้นหรือ?” คำพูดของเฉินเกอนั้นท้าทายมาก แต่ว่าหัวเห็ดก็ไม่ได้มีปฏิกริยาอะไรนอกจากมองเฉินเกอต่อ ยิ้มแบบเดิม ๆ

บรรยากาศบนรถเมล์เปลี่ยนเป็นตึงเครียด แต่ในตอนนี้เอง ประตูหน้าก็ส่งเสียงลั่น และมือชุ่มเลือดข้างหนึ่งก็เอื้อมเข้ามาในรถ เลือดหยด และผู้หญิงในชุดเสื้อกันฝนสีแดงก็ยืนอยู่ที่ประตูหน้า

ผมของเธอลู่ติดกับใบหน้าของเธอ ปิดบังดวงตาของเธอเอาไว้ ริมฝีปากของเธอถูกเย็บปิดด้วยบางอย่าง และเธอก็ดูน่ากลัวมาก

“ในที่สุด คุณก็มาแล้ว”

เห็นผู้หญิงคนนี้แล้ว เฉินเกอก็ลุกขึ้นจากที่นั่งของเขา ผู้โดยสารทั้งหมดบนรถเมล์นั้นหันมาสนใจผู้หญิงในชุดกันฝนสีแดงกันหมด