ภาคที่ 31 ขั้นอลวน ตอนที่ 16 ปาหลงกัณฑ์เก้า

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 16 ปาหลงกัณฑ์เก้า โดย Ink Stone_Fantasy

การเริ่มต้นจากศูนย์นั้นยากที่สุด เมื่อสำเร็จแล้วก็บ่มเพาะเป็นไข่ ตั้งแต่เล็กจนโต ไปจนถึงกะเทาะเปลือกออกมานั้นง่ายกว่ามากทีเดียว

“มีพรสวรรค์ไร้เงาสองคน พวกเราก็สบายขึ้นมากทีเดียว”

“ก่อนหน้านี้ส่ง ‘อ๋อง’ ออกไปสำเร็จหลายครั้งก็ล้วนแต่อาศัยแม่ทัพฝูเชียนทั้งสิ้น ก่อนหน้านี้ผู้ที่มีพรสวรรค์ไร้เงาก็มีแม่ทัพฝูเชียนเพียงคนเดียว หากแม่ทัพฝูเชียนพ่ายแพ้และสิ้นใจไป พวกเราก็แย่แล้ว บัดนี้มีถึงสองคน ฮ่าฮ่า โอกาสที่คนหนึ่งจะสิ้นใจไปก็ต่ำมากอยู่แล้ว สองคนก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องกังวลเลย” ‘อ๋อง’ ทั้งหกในที่นั้นล้วนมองดูไข่ฟองเล็กจิ๋วที่ค่อยๆ กลายเป็นโปร่งใสขึ้นมาด้วยความยินดีปรีดา

แม่ทัพฝูเชียนก็มีพรสวรรค์ไร้เงา

การตรวจตราอากาศที่แดนนอกของผู้บำเพ็ญไปจนถึงการตรวจตราแดนใน…สำหรับแม่ทัพฝูเชียนล้วนไร้ผลทั้งสิ้น เขาสามารถไปถึง ‘ป้อมปราการอากาศ’ ชั้นสุดท้ายได้อย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง

‘ป้อมปราการอากาศ’ ชั้นนั้นเป็นการป้องกันชั้นสุดท้าย ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญคิดหาวิธีมากมายเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับป้อมปราการอากาศ ต่อให้เหล่าเทพจักรวาลโจมตีอย่างบ้าคลั่ง จะโจมตีให้แตกก็ยังต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน แม่ทัพฝูเชียนอาศัยพรสวรรค์ก็สามารถแทรกซึมเข้าไปในป้อมปราการอากาศได้จริงๆ แต่ระหว่างการแทรกซึมเข้าไปก็จะมีระลอกคลื่นเล็กละเอียดอยู่บ้าง

เห็นได้ชัดว่าในบรรดาวิธีการต่างๆ ของป้อมปราการอากาศ ก็ยังคงมีบางส่วนที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อแม่ทัพฝูเชียนอยู่เล็กน้อย

หาก ‘ระลอกคลื่นเล็กละเอียด’ พรรค์นี้ปรากฏขึ้นในยามปกติแล้ว ก็จะทำให้ผู้บำเพ็ญตื่นตระหนกได้อย่างแน่นอน! แม้ ‘พรสวรรค์ไร้เงา’ จะร้ายกาจมาก แต่เหล่าเทพจักรวาลทางฝ่ายผู้บำเพ็ญทั้งหลายสามารถต่อสู้กับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้จนถึงบัดนี้ เมื่อพบวิธีการของฝูงมารผลาญทำลายแล้ว จะลงมือกับมารตนหนึ่งซึ่งมีพรสวรรค์แต่มีพลังเพียงแค่ ‘ขั้นอลวน’ ก็คงจะพอมีวิธีอยู่

ทางฝ่ายฝูงมารผลาญทำลายนั้นแพ้ไม่ได้!

ก่อนหน้านี้ทุกครั้งล้วนบุกสังหารไปจนถึงป้อมปราการอากาศโดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น ภายใต้ระลอกคลื่นอันบ้าคลั่ง ระลอกคลื่นเล็กละเอียดที่เล็ดรอดออกไปได้ปะปนอยู่ในนั้น จึงย่อมยากจะพบได้

“รอให้เจ้าเด็กน้อยนี่กำเนิดขึ้นมาเสียก่อน หลังจากพลังเติบโตและมั่นคงแล้วก็จะสามารถจุดชนวนสงครามครั้งต่อไปได้” บุรุษเกราะม่วงที่มีปีกกล่าวขึ้นว่า “ในบรรดาอ๋องยุคปัจจุบันนี้ มีแปดท่านที่เคยออกไป ข้าและอีกสามท่านล้วนไม่เคยออกไป ข้าและคนอื่นๆ ก็ต้องออกไปดูโลกผู้บำเพ็ญและซึมซับวิธีการของระบบผู้บำเพ็ญบ้าง บางทีพวกเราอาจจะบรรลุเช่นเดียวกับ ‘จักรพรรดิจวิน’ ก็เป็นได้”

“ขอรับ”

“พวกเราควรออกไปได้แล้ว หากอยู่แต่ในทางเดินโลกาพิศวงตลอดเวลา เคล็ดวิชาบางชนิดที่พวกเขามอบให้ และได้รับเพียงแค่เคล็ดวิชาบางอย่างที่พวกเขาส่งมาเท่านั้น มิได้ไปสอดส่องดูโลกของผู้บำเพ็ญ เมื่อใดจะบรรลุได้กันเล่า”

“มีพรสวรรค์ไร้เงาสองคน เมื่อออกไปก็ง่ายขึ้นมากแล้ว”

จวบจนบัดนี้ ทางฝั่งฝูงมารผลาญทำลายนั้นมี ‘อ๋อง’ ถือกำเนิดขึ้นมาทั้งหมดสิบห้าท่าน ในช่วงแรกนั้น ในภาพรวมพวกเขาค่อนข้างอ่อนแอ ล้มหายตายจากไปอย่างต่อเนื่อง มี ‘อ๋อง’ ที่สู้จนตัวตายไปทั้งหมดสี่ท่านด้วยกัน เมื่อค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น พวกเขาก็ร่วมมือกันขึ้นมา ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญคิดจะสังหาร ‘อ๋อง’ อีกสักท่านก็ยากแล้ว

‘อ๋อง’ สิบเอ็ดท่าน

บัดนี้ห้าท่านอยู่ภายนอก ปลอมแปลงตัวตนท่องไปตามบริเวณต่างๆ ของโลกภายนอก ถึงขั้นไปศึกษาเคล็ดการบำเพ็ญต่างๆ ด้วย

อีกหกท่านเหลือไว้เพื่อรักษาการทางเดินโลกาพิศวง! ซึ่งพวกที่รักษาการทางเดินโลกาพิศวงเหล่านี้ต้องการพละกำลังที่ค่อนข้างจะแข็งแกร่ง

หาก ‘อ๋อง’ สักคนจะออกไป ‘อ๋อง’ ที่อยู่ภายนอกต้องกลับมาเสริมกำลังเสียก่อน หรือไม่ก็ต้องมี ‘อ๋อง’ ใหม่ถือกำเนิดขึ้น เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของทางเดินโลกาพิศวง และนี่คือสิ่งที่พวกเขาตกลงร่วมกัน แม้พวกเขาจะเชื่อว่าฝูงมารผลาญทำลายที่ถูกความปรารถนาที่จะเข่นฆ่าครอบงำเหล่านั้นเป็นพวกโง่เง่า…แต่ ‘อ๋อง’ ก็ถือกำเนิดขึ้นในหมู่พวกเขา

ในฐานะอ๋อง พวกเขาปรารถนาในสิ่งที่แตกต่างกับพวกโง่เง่าเหล่านั้น

พวกเขาทำลายการควบคุม ปกครองตนเอง ด้วยอยากจะแข็งแกร่งขึ้น! แข็งแกร่งขึ้น! จนกระทั่งเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสูงสุดของอากาศอันสับสนอลหม่านนี้! แม้ในฐานะอ๋องจะมีการเข่นฆ่าบ้าง แต่การเข่นฆ่าของพวกเขาก็มิได้ถูก ‘ความปรารถนาที่จะเข่นฆ่า’ ชักจูงแต่อย่างใด หากแต่เพื่อ ‘พลังงานพิเศษ’ ที่ทำให้ตนแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

“นับแต่นี้เป็นต้นไป ข้าและคนอื่นๆ จะประจำการอยู่ที่รังเกราะทองที่แปด ก่อนหน้าที่เจ้าเด็กรุ่นใหม่เหล่านี้จะถือกำเนิดขึ้น จะต้องรับรองความปลอดภัยของรังนี้ให้จงได้”

“ถูกต้อง”

“อย่าได้เหมือนก่อนหน้านี้ที่รังเกราะทั้งสองถูกทำลายไปเป็นอันขาด”

‘อ๋อง’ ทั้งหกต่างก็ตัดสินใจพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

หากมี ‘อ๋อง’ เพียงแค่คนเดียวที่รักษาการอยู่ เมื่อเผชิญหน้ากับร่างจริงของเทพจักรวาลทั้งกลุ่มของทางฝ่ายผู้บำเพ็ญที่บุกสังหารเข้ามาก็จะสกัดกั้นเอาไว้มิได้! แต่เมื่อพวกเขาทั้งหกร่วมมือกัน แม้มิอาจคว้าชัย แต่ก็มั่นใจมากว่าจะสามารถสกัดเอาไว้ได้

……

พวกเขาได้ติดต่อกับอ๋องทั้งห้าซึ่งอยู่ในโลกภายนอกแล้วปรึกษาหารือกัน

ไม่นานนักก็ตกลงกันได้แล้ว

เพราะถึงอย่างไรก็บำเพ็ญอยู่ที่โลกภายนอกมานานแล้ว มีเพียงตอนแรกเท่านั้นที่ได้เก็บเกี่ยวสิ่งต่างๆ มากมายยิ่งนัก ยิ่งนานไปก็ยิ่งยกระดับยากขึ้นเรื่อยๆ จะกลับไปยังทางเดินโลกาพิศวงบ้างเป็นบางครั้ง พวกเขาก็ยินดี

******

เวลาล่วงเลยไป

คนที่สองของฝูงมารผลาญทำลายซึ่งมี ‘พรสวรรค์ไร้เงา’ ค่อยๆ ถูกบ่มเพาะขึ้นโดยมี ‘อ๋อง’ ทั้งหกคอยคุ้มกัน

สงครามเข่นฆ่าระหว่างฝ่ายผู้บำเพ็ญและฝูงมารผลาญทำลายเหมือนที่แล้วมา!

ฝูงมารผลาญทำลายก็มาท้าทายอยู่บ่อยครั้ง แม้จะก่อให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายก็ไม่แยแส เพราะเป้าหมายของพวกเขาก็คือคิดจะยกระดับพลัง ส่วนเป้าหมายสุดท้ายก็คือทำลายการครอบงำของความปรารถนาที่จะเข่นฆ่าแล้วสำเร็จเป็น ‘อ๋อง’ ยิ่งเป็นฝูงมารผลาญทำลายที่แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรำคาญการครอบงำมากขึ้นเท่านั้น เพียงแต่ความปรารถนานั้นน่าหวาดหวั่นเกินไป ต่อให้เป็นฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าซึ่งแข็งแกร่งที่สุด ก็แค่ควบคุมความปรารถนาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น บางครั้งก็ยังต้องระบายออกมาอยู่ดี

ต่อสู้ เข่นฆ่า…

พวกเขาก่อให้เกิดการบาดเจ็บล้มตาย แต่ส่วนใหญ่ก็ค่อยๆ ยกระดับขึ้น

……

เพียงพริบตาเดียว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มายังปราการอากาศเพื่อทำสงครามได้เกือบหมื่นล้านปีแล้ว

วิธีการเขตลวงของเขานั้นร้ายกาจมากอย่างแท้จริง ภายในชั่วระยะเวลาเกือบหมื่นล้านปีนี้ มี ‘ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทอง’ ถึงห้าตนและฝูงมารผลาญทำลายเกราะโลหิตนับร้อยที่ตายไปด้วยน้ำมือของตน เนื่องจากฝูงมารผลาญทำลายที่เข้าไปต่อสู้ ณ แดนใน…ต่อให้เป็นระดับเกราะทองก็ใช่ว่าจะแข็งแกร่งเหมือนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงพบในครั้งแรกไปเสียหมด

ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองสามตนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงพบในครั้งแรกนั้น ตนแรกเป็นระดับชั้นที่เก้า อีกสองตนเป็นชั้นที่แปดระดับยอด ซึ่งนี่ก็นับว่าเป็นการรวมพลังที่แข็งแกร่งมากแล้ว

ตามปกติแล้วมิได้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ และอาจจะพบฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองระดับชั้นที่เจ็ดหรือชั้นที่แปดบ้าง

เขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงทำให้ชั้นที่แปดระดับยอดได้รับผลกระทบอยู่บ้าง ดังนั้นจึงได้สังหารฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองไปถึงห้าตนต่อเนื่องกัน ขณะเดียวกับที่ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองสิ้นใจไปนั้น ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฝูงมารผลาญทำลายเกราะโลหิตแล้ว แม้ทางฝ่าย ‘ฝูงมารผลาญทำลาย’ จะระมัดระวังวิธีการเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงมากยิ่งขึ้น แต่ต่อให้ระวังกว่านี้ พวกเขาก็ยังคงต้องเคี่ยวกรำตนเองอยู่ดี พวกเขาสามารถทนรับการเสียสละเล็กน้อยได้บ้าง อย่างมากก็แค่ระมัดระวังมากขึ้นเท่านั้น โดยทั่วไปก็แค่ร่วมมือกับฝูงมารผลาญทำลายที่ด้านดวงจิตค่อนข้างแข็งแกร่งก็เท่านั้นเอง

เขาสังหารฝูงมารผลาญทำลายไปมากมายถึงเพียงนี้…

ผลของการดูดซับพลังงานพิเศษนั้นเพียงพอจะเทียบได้กับศิลาปฐมโลกาสองหมื่นก้อนเลยทีเดียว

น่าเสียดายที่พลังงานพิเศษนั้นมิอาจขายได้

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงพึงพอใจนัก เขารู้สึกว่าหากตนบำเพ็ญให้นานอีกหน่อย ต้องสามารถล่าเหยื่อได้มากกว่านี้อย่างแน่นอน! อีกทั้งเมื่อเวลาผ่านไป ในฐานะผู้แกร่งกล้าทางด้านวิถีโลกเทียมที่สุดเท่าที่เคยมีมา และเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศอย่างยิ่งในด้านนี้ ระหว่างที่การรับรู้ ‘วิถีโลกเทียม’ ของตงป๋อเสวี่ยอิงค่อยๆ ยกระดับขึ้นนั้น…ก็ได้แก้ไข ‘โครงสร้างโลกเขตลวง’ ของเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดชั้นที่เก้าของตนอยู่หลายครั้ง

เนื่องจากเคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดนั้นถูกสร้างขึ้นมา ด้านหนึ่งคือการยกระดับวิญญาณ ส่วนอีกด้านหนึ่งคือเพื่อผสานกับเคล็ดวิชาสืบทอดอีกสามวิชาได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ลำพังแค่โลกเขตลวงของเคล็ดวิชาสืบทอดก็มิได้นับว่าสมบูรณ์แบบแต่อย่างใด เป็นเพียงแค่ ‘พลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่แปด’ เท่านั้น

ต้องรู้ไว้ว่า…‘สิบสามกระบี่ผลาญโลกา’ กระบี่ที่เก้า ก็คือกระบี่สุดท้ายของขั้นอลวน แต่แน่นอนว่าระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้า กระบี่นี้ได้แฝงวิถีใหญ่ของจักรวาลเอาไว้

อันที่จริงแล้ว

วิถีโลกเทียมก็ยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยพัฒนาไปทาง ‘จักรวาลโลกเทียม’ การยกระดับแต่ละก้าวก็ยากมาก ตงป๋อเสวี่ยอิงแก้ไขโลกเขตลวงของ ‘เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาด’ อยู่หลายครั้ง อานุภาพของเขตลวงก็ยกระดับขึ้นบ้างจริงๆ แต่ก็มิได้นับว่าเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้แต่อย่างใด

“จะอาศัยวิถีโลกเทียมเพียงอย่างเดียวแล้วเข้าถึงกระบวนท่าระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้านั้นยากเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในจุดนี้ดี “เมื่อเทียบกันแล้ว การคิดค้นบุปผาผลาญทำลายกระบวนที่สามขึ้นมานั้นอาจจะง่ายกว่าสักหน่อย”

ภายในห้องเงียบ

ผิวหนังทั่วกายของตงป๋อเสวี่ยอิงมีเกราะสีดำปรากฏขึ้นมา เกราะสีดำที่ปรากฏขึ้นจากฝ่ามือคู่หนึ่งก็มีแสงหลากสีสัน  กลิ่นอายเข่นฆ่าทั้งร่างเก็บงำอยู่ในกาย เห็นได้ชัดว่าเมื่อต่อสู้ฟันฝ่าในปราการอากาศมากว่าหมื่นล้านปี ในที่สุดก็ได้ฝึก ‘เคล็ดวิชาสืบทอดปาหลง’ ได้สำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ บรรลุถึงระดับกัณฑ์เก้า

ระดับขั้นวิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่าล้วนแต่เพียงพอจะคิดค้น ‘บุปผาผลาญทำลายกระบวนที่สาม’ ขึ้นมาได้

แต่จะคิดค้นให้สำเร็จน่ะหรือ กลับยากเสียยิ่งกว่ายาก

ส่วนกระบวนท่าของวิถีโลกเทียมชั้นที่เก้าและ ‘กระบี่ที่เก้าผลาญโลกา’  ของวิถีเข่นฆ่าก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก อันที่จริงเมื่อดูจากแก่นแท้แล้ว ความยากของพวกมันกับบุปผาผลาญทำลายกระบวนที่สามนั้นใกล้เคียงกัน เนื่องจากตงป๋อเสวี่ยอิงมีประสบการณ์คิดค้นบุปผาผลาญทำลายชั้นที่หนึ่งตั้งแต่ตอนที่เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งและได้สัมผัสถึงคำว่า ‘ครบสมบูรณ์อย่างต่อเนื่อง’ บวกกับที่มี ‘กระจกศิลา’ เหนี่ยวนำ ดังนั้นความยากในการคิดค้นบุปผาผลาญทำลายกระบวนที่สามนั้นก็ต่ำกว่ามากทีเดียว

 ……………………………………..