ตอนที่ 966 อิทธิพลแย่ๆ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ในที่สุดกลุ่มคนที่ได้รับบาดเจ็บรวมถึงซุนจ้งหยางก็มีรถม้าให้นั่งแล้ว แม้จะมีรูใหญ่อยู่ที่ด้านหลังรถม้า และยังต้องจ่ายเงินถึงห้าหมื่นเพื่อซื้อรถม้าพังๆ คันนี้ แต่พวกเขาก็ไม่สนใจเรื่องเงิน 

 

 

เพราะอย่างน้อยๆ มันก็ยังดีมากที่มีที่ให้พักพิงใและกำบังลมฝนได้ ในตอนเย็น หลังจากที่ได้รับรถม้ามา ฝนก็ตกหนักไม่ลืมหูลืมตา โม่เสี่ยวหยาจึงรู้สึกขอบคุณซุนจ้งหยางมาก 

 

 

รถม้ารองรับผู้โดยสารได้เพียงห้าคนเท่านั้น ดังนั้นซุนจ้งหยางและคนอื่นๆ จึงให้โม่เสี่ยวหยารวมถึงเด็กสาวอีกสี่คนที่มาด้วยกันนั่งในรถม้า 

 

 

หากไม่มีการเปรียบเทียบ ก็ย่อมจะไม่รู้ว่าใครดีใครชั่ว ดังนั้นหลังจากที่โม่เสี่ยวหยาและคนอื่นๆ ดูพฤติกรรมของหลี่ว์ซู่และซุนจ้งหยางและพิจารณาเปรียบเทียบกันแล้ว ก็รู้สึกว่าซุนจ้งหยางเป็นสุภาพบุรุษในขณะที่หลี่ว์ซู่เทียบไม่ได้เลย พวกเขาต่างกันราวกับสวรรค์และนรก 

 

 

พวกเขาล้วนติดต่อและคุ้นเคยกันมานานกว่ายี่สิบปี ดังนั้นความดีของซุนจ้งหยางจึงค่อยๆ ถูกละเลยไป และยากที่พวกเขาจะพัฒนาความรู้สึกระหว่างชายและหญิงต่อกันได้ 

 

 

แต่ในคืนนี้ จู่ๆ เด็กสาวก็รู้สึกว่าซุนจ้งหยางเป็นคนดีจริงๆ ความรู้สึกบางอย่างที่มีต่อเขาค่อยๆ พัฒนา… 

 

 

หลี่ว์ซู่มองดูพวกเขาอย่างมีความสุขโดยไม่สนใจว่าเขาจะถูกมองอย่างไร เขาถึงกับรู้สึกว่าหากมีใครสักคนในกลุ่มนั้นกลายมาเป็นคู่รักกันได้ พวกเขาก็ต้องขอบคุณตนเอง… 

 

 

แม้จะรอดพ้นจากการลอบสังหารครั้งนี้มาได้ แต่หลี่ว์ซู่ก็ยังกังวลใจอยู่ เพราะเห็นได้ชัดว่าผู้ที่มาโจมตีในคราวนี้แค่ลองทดสอบดูเท่านั้น นอกจากนี้ การลอบสังหารที่เกิดขึ้นซึ่งตามมาทันทีหลังจากที่พวกทาสถูกสังหารหมู่ก็ทำให้หลี่ว์ซู่มั่นใจว่า อีกฝ่ายเตรียมการโจมตีเอาไว้มากกว่าหนึ่งครั้งอย่างแน่นอน 

 

 

ซุนจ้งหยางและพวกของเขาต่างพยายามฟื้นฟูพลังอย่างเต็มที่ แต่ปัญหาคือพวกเขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อย และต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามวันเพื่อฟื้นฟูตัวเอง 

 

 

ดังนั้นในช่วงเวลาสามวันนี้ จึงเป็นเวลาที่อันตรายที่สุดของกองคาราวานทั้งหมด 

 

 

แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใด โม่เสี่ยวหยาจึงรู้สึกอยู่เสมอว่า หลี่ว์ซู่ไม่ได้รู้สึกถึงภาวะวิกฤตใดๆ และยังคงฝึกฝนทักษะวิชากระบี่ของเขาอย่างไร้กังวล 

 

 

และในวันที่สอง ระหว่างช่วงเวลาอาหารกลางวัน โม่เสี่ยวหยาก็กล่าวขึ้นทันทีว่า “นายไม่กังวลเลยหรือ ในเมื่อนายต้องคอยคุ้มกันพวกเราตามข้อตกลง นายจะทิ้งพวกเราไปไม่ได้ และหากนายทรยศพวกเราในครั้งนี้ ตระกูลของพวกเราทั้งสิบสองคนจะตามไล่ล่าสังหารนายไปจนสุดขอบโลกอย่างแน่นอน” 

 

 

หลี่ว์ซู่เลิกคิ้วแล้วกล่าวว่า “แล้วใครว่าฉันไม่ได้กำลังคุ้มกันพวกเธอล่ะ อย่ามาทำเหมือนฉันเป็นคนเลวไปหน่อยเลย” 

 

 

โม่เสี่ยวหยาคิดกับตัวเองว่าโดยปกติแล้ว หลี่ว์ซู่ผู้นี้ก็ไว้ใจได้ทีเดียว และเธอก็ไม่จำเป็นต้องสงสัยหรือกังวลเรื่องความตั้งใจของเขา 

 

 

อันที่จริง เธออยากทดสอบว่าหลี่ว์ซู่เป็นสายลับมาจากภูเขาด้านหลังของกระท่อมกระบี่หรือไม่ แต่ทันทีที่เธอพยายามทำเช่นนั้น หลี่ว์ซู่ก็ถามเธอว่าด้านหลังกระท่อมกระบี่มีภูเขาหรือไม่? 

 

 

ในขณะที่บรรดาเด็กๆ ในเมืองหลวงกำลังพูดคุยกันเองนั้น โมเสี่ยวหยาก็กล่าวออกมาเงียบๆ ว่า “ฉันไม่คิดว่าเขาเป็นสายลับที่มาจากภูเขาด้านหลังของกระท่อมกระบี่ ฉันไม่คิดว่าคนจากภูเขาด้านหลังของกระท่อมกระบี่จะละโมบเงินมากขนาดนี้ได้ พวกเธอเคยเห็นคนที่งกเงินมากเช่นนี้มาจากกระท่อมกระบี่ไหมล่ะ? กระท่อมกระบี่ไม่ได้ขาดเงินนะ!” 

 

 

กระท่อมกระบี่ไม่มีกิจการ และแม้ว่าจะมีค่าธรรมเนียมในการรับผู้สืบทอดสูง แต่ก็รับเพียงสี่คนต่อปี ทำให้กระท่อมกระบี่จึงมีรายได้จำกัด แต่ถึงกระนั้น ซุนจ้งหยางและพวกของเขาก็ไม่กล้าดูถูกความสามารถของกระท่อมกระบี่ 

 

 

อีกทางหนึ่ง ประการแรก กระท่อมกระบี่ก็มีรายได้ร้อยละยี่สิบจากภาษีในเมืองหลวง ส่วนรายได้จากภาษีร้อยละแปดสิบจะเป็นของราชาแห่งทวยเทพ และประการที่สอง กระท่อมกระบี่จะได้รับข้าวของจำนวนมากมายมหาศาลที่บรรดาศิษย์ของกระท่อมกระบี่ทั่วทั้งจักรวาลหลี่ว์มอบให้ 

 

 

มีคนในเมืองหลวงเคยกล่าวไว้ว่า กระท่อมกระบี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่หายากไม่กี่แห่งในโลกนี้ที่ไม่เคยต้องกังวลเรื่องเงินเพราะไม่เคยขาดเงิน 

 

 

ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จู่ๆ จะมีคนโลภเงินมาจากสถานที่ที่ไม่เคยขาดเงิน! 

 

 

“เป็นไปได้ไหมว่าผู้ฝึกฝนจากภูเขาด้านหลังของกระท่อมกระบี่จะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือและต้องหารายได้ทั้งหมดด้วยตัวเอง?” มีใครบางคนเอ่ยถามขึ้นมาอย่างสงสัย 

 

 

“หยุดหาเหตุผลแก้ตัวให้เขาได้แล้ว” โมเสี่ยวหยากล่าวจริงจัง “เขาก็แค่ยากจนเท่านั้น” 

 

 

“นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดถึงเรื่องนี้” ซุนจ้งหยางกล่าวขึ้นอย่างกะทันหัน “เสี่ยวหยา ยอดฝีมือจากตระกูลของเธอจะมาถึงเมื่อไหร่กันล่ะ?” 

 

 

“ดูจากระยะทางแล้ว ฉันคิดว่าคงต้องใช้เวลาบินจากเมืองหลวงถึงที่นี่สักสองวัน” โม่ เสี่ยวหยากล่าวตอบ “ดังนั้นในช่วงระหว่างสองวันนี้ พวกเราต้องหาทางเอาตัวรอดเองให้ได้” 

 

 

“ฉันไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะต้านไหวหรือเปล่า?” ซุนจ้งหยางกล่าวพลางถอนหายใจ “ฉันเกรงว่ามันจะไม่ได้ผล ไม่ว่าเขาจะเก่งแค่ไหน ก็เป็นแค่ยอดฝีมือระดับสอง สุดท้ายก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของยอดฝีมือระดับหนึ่ง” 

 

 

เวลานี้ ซุนจ้งหยางฝากความหวังกับหลี่ว์ซู่เอาไว้สูง เพราะเขาเดาว่าตัวตนของหลี่ว์ซู่จะเกี่ยวข้องกับกระท่อมกระบี่ แต่หากผู้ที่ต้องการสังหารพวกเขาส่งยอดฝีมือระดับหนึ่งคนอื่นมาอีกครั้ง ก็เกรงว่าจะไม่รอดแล้ว 

 

 

ตอนนี้พวกเขาได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่กล้าส่งยอดฝีมือระดับหนึ่งในสังกัดหรือนอกสังกัดมา 

 

 

ยอดฝีมือระดับหนึ่งของแต่ละตระกูลล้วนมีชื่อแซ่ และหากพวกเขาเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็จะถูกตระกูลอื่นสังเกตเห็นได้ เพราะในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาแต่ละฝ่ายต่างก็คอยระวังกันและกัน เมื่อพบว่ามีใครคิดทำร้ายลูกหลานของอีกตระกูลหนึ่ง ทั้งสองตระกูลก็จะออกโรงเข้าห้ำหั่นกันเอง 

 

 

บรรดาขุนนางในราชสำนักมักชอบลอบกระทำการสิ่งเหล่านี้ในที่ลับ คล้ายกับมหาสมุทรที่ ไม่ว่าจะมีคลื่นใต้น้ำเชี่ยวกรากรุนแรงเพียงใด แต่ผิวน้ำทะเลก็ยังคงดูเงียบสงบอยู่ตลอดเวลา 

 

 

ทุกคนล้วนมีแผนสำรองของพวกเขาเอง 

 

 

ในเวลานี้ จู่ๆ หัวหน้ากองคาราวานการค้าก็กล่าวขึ้นมาทันทีว่า “กระผมคิดว่าเขาอาจจะเป็นลูกหลานผู้สืบทอดของกระท่อมกระบี่” 

 

 

“โอ? เพราะเหตุใดกันล่ะ?” ซุนจ้งหยางเอ่ยถามอย่างสงสัย 

 

 

ซ่งป๋อจึงกล่าวถึงเรื่องเกี่ยวกับการตายของนักฆ่าที่ไม่อาจอธิบายได้เมื่อคืนนี้ “กระผมยังสงสัยว่าจะมียอดฝีมือคอยแอบปกป้องพวกเขาอยู่ลับๆ และบางทีอาจจะมากกว่าหนึ่งคนด้วยซ้ำ ดังนั้นเวลานี้กระผมจึงคิดว่า พวกเราอาจจะไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายอย่างที่คาดคิดเอาไว้ พวกท่านไม่สังเกตหรือว่า เจ้าเด็กนั่นดูใจเย็นและสงบนิ่งอย่างผิดปกติ!” 

 

 

ซุนจ้งหยางครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วกล่าวว่า “ดูจากเรื่องนี้แล้ว เขาก็ยังมีเหตุผลในการเก็บเงิน แต่พวกเราก็ยังไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีคนคอยแอบปกป้องเขามาก่อน เป็นไปได้ไหมว่าคนผู้นั้นมีพลังมากกว่าเรา ดังนั้นพวกเราจึงไม่เห็นพวกเขา” 

 

 

“ก็เป็นไปได้” ซ่งป๋อกล่าว 

 

 

จากนั้นกลุ่มของพวกเขาก็พูดคุยกันถึงเรื่องต่างๆ ในเงามืดข้างๆ รถม้า และทันใดนั้น ซุนจ้งหยางก็ฉุกคิดถึงบางอย่างขึ้นมาได้ก่อนจะกล่าวว่า “เดี๋ยวก่อน แล้วเล่ออี๋หลี่ว์อยู่ที่ไหนล่ะ?” 

 

 

พวกเขาทุกคนต่างมองไปรอบๆ และไม่เห็นร่างของหลี่ว์ซู่จริงๆ ก่อนหน้านี้เขายังอยู่ที่ข้างๆ กองไฟไม่ใช่หรือ? 

 

 

แล้วจากนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากเหนือศีรษะของพวกเขา “ฉันอยู่นี่ อยู่ที่นี่” 

 

 

ซุนจ้งหยางและพวกของเขาต่างเงยหน้าขึ้นมองทันที และแทบจะหัวใจวายเมื่อเห็นหลี่ว์ซู่อยู่บนหลังคารถม้า! ตอนนี้พวกเขาแต่ละคนล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัส และไม่มีใครทันสังเกตเมื่อมีคนเข้ามาใกล้พวกเขาด้วยซ้ำ! 

 

 

หลี่ว์ซู่นั่งยิ้มอยู่บนหลังคารถม้าและมองดูพวกเขาที่เหลืออย่างมีความสุข ว่ากันตามตรง เมื่อซุนจ้งหยางถามว่าเล่ออี๋หลี่ว์อยู่ที่ไหน เขาก็แทบจะไม่มีปฏิกิริยาใดๆ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซุนจ้งหยางกำลังเรียกเขา 

 

 

“แล้วทำไมนายถึงไปอยู่บนหลังคารถม้าล่ะ?” โม่เสี่ยวหยามีสีหน้าเคร่งขรึม เธออยากจะกล่าวหาว่าหลี่ว์ซู่กำลังแอบฟังพวกเธอ แต่ก็ไม่ได้พูดตรงๆ เพราะพวกเธอยังต้องพึ่งพาหลี่ว์ซู่ให้ช่วยปกป้องตลอดระหว่างสองวันนี้ 

 

 

หลี่ว์ซู่ยิ้มและกล่าวว่า “ฉันกำลังฟังสิ่งที่พวกเธอพูดคุยกันอยู่” 

 

 

ทันใดนั้นใบหน้าของโม่เสี่ยวหยาก็ยิ่งมืดทะมึนขึ้นมาทันที ทำไมเขาถึงแอบฟังอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้? และทุกคนก็เงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง แล้วจึงได้เห็นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ และสวีมู่จวินกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังคารถม้าอีกด้วยเช่นกัน… 

 

 

จู่ๆ ซุนจ้งหยางก็รู้สึกเหมือนถูกทิ่มแทงที่หัวใจราวกับอกหัก ทำไมสวีมู่จวินซึ่งเป็นสตรีเพียบพร้อมจึงได้รับอิทธิพลแย่ๆ เช่นนี้จากเล่ออี๋หลี่ว์ไปด้วยเล่า!