ตอนที่ 967 มีไส้ศึก

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

“ทำไมนายถึงแอบฟังพวกเราพูดคุยกัน?” โม่เสี่ยวหยาโกรธมาก เธอไม่เคยเห็นคนไร้ยางอายที่คิดว่าการแอบฟังคนอื่นพูดคุยกันเป็นสิ่งที่ถูกต้องเช่นนี้มาก่อน! 

 

 

“โอ” หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ฉันสงสัยว่าจะมีไส้ศึกอยู่ในกลุ่มพวกเธอ ฉันถึงมาฟังเพื่อลองดูว่าจะพบไส้ศึกภายในกลุ่มนี้หรือไม่?” 

 

 

ในเวลานั้น สีหน้าของซุนจ้งหยางพลันเปลี่ยนไปทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “นายรู้หรือเปล่าว่ากำลังพูดอะไรออกมา นายกล้าดียังไงถึงมาดูถูกมิตรภาพมากกว่ายี่สิบปีของพวกเรา พวกเราจะปล่อยให้นายมาใส่ร้ายแบบนี้ได้อย่างไรกัน?” 

 

 

“ฉันก็แค่สงสัยเท่านั้น” หลี่ว์ซู่กล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มเริงร่า 

 

 

“ทิ้งความคิดนี้ไปซะเถอะ มิตรภาพของพวกเราไม่ต้องการความสงสัยของนาย” ซุนจ้งหยางกล่าวเย็นชา 

 

 

“ก็ได้ งั้นพวกนายก็พูดคุยกันต่อเถอะ” หลี่ว์ซู่โบกมือและพาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋จากไปพร้อมด้วยสวีมู่จวินที่ค่อยๆ ตามหลังไปอย่างไม่เร่งรีบ 

 

 

เขาไม่ใส่ใจโต้เถียงกับซุนจ้งหยาง ผลลัพธ์เท่านั้นที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าซุนจ้งหยางและพวกของเขาจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม 

 

 

ซุนจ้งหยางและพวกของเขาล้วนไม่พอใจและพูดไม่ออก จากนั้นพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าควรถึงเวลาชำระบัญชีกับหลี่ว์ซู่ แต่ก่อนที่พวกเขาจะจัดการเช่นนั้น พวกเขาก็คิดได้ว่า แล้วจะปล่อยเรื่องที่เขาแอบฟังไปได้อย่างไรเล่า? 

 

 

โม่เสี่ยวหยายิ่งโกรธมากขึ้นและถามออกมาว่า “ซุนจ้งหยาง ทำไมนายถึงปล่อยเขาไป!” 

 

 

ซุนจ้งหยางครุ่นคิดอยู่นานและรู้สึกตัวว่าเขาถูกกล่าวโทษอย่างใหญ่หลวง “ฉัน…ฉันโกรธมาก เพราะเขากำลังสงสัยในมิตรภาพของเรา…” 

 

 

“ได้แต้มอารมณ์จากซุนจ้งหยาง +666!” 

 

 

“ได้แต้มอารมณ์จากโม่เสี่ยวหยา +666!” 

 

 

“จาก…” 

 

 

ทุกคนล้วนไม่สบายใจ แต่พวกเขาก็ทำอะไรกับชายหนุ่มที่มีนามว่าเล่ออี๋หลี่ว์ไม่ได้เลย หากพวกเขาไม่ได้รับบาดเจ็บก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่เวลานี้พวกเขาได้รับบาดเจ็บ จะเอาชนะอีกฝ่ายเป็นไปไม่ได้เลย… 

 

 

บัดนี้ ซุนจ้งหยางยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่หลี่ว์ซู่กล่าวมานั้นเป็นความจริงหรือไม่? มีไส้ศึกอยู่ในกลุ่มหรือ? 

 

 

นี้เป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงนัก ซุนจ้งหยางเชื่อว่ามิตรภาพที่มีมานานกว่ายี่สิบปีของพวกเขาจะไม่มีสิ่งที่น่ารังเกียจเช่นนี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่…จะเป็นอย่างไรหากมันเกิดขึ้นจริงๆ เล่า? 

 

 

อย่างไรก็ตาม ความจริงแล้ว คราวนี้หลี่ว์ซู่จริงจังมาก ในอดีต ก่อนหน้าที่พวกทาสจะโจมตี เขาก็ได้เตือนอีกฝ่ายก่อนแล้ว หลังจากที่ซุนจ้งหยางและพวกของเขาได้รับบาดเจ็บ พวกนักฆ่าก็มาทันที แม้พวกเขาจะไม่มีสถานะสูงนัก แต่พวกเขาก็มีเจตนาสังหารซ่งป๋อ หัวหน้ากองคาราวานการค้า 

 

 

ศัตรูของพวกเขารู้ดีว่าซ่งป๋อเป็นเพียงยอดฝีมือระดับสองเท่านั้น และยังรู้ด้วยว่าสิ่งที่ซ่งป๋อต้องการซื้อมากที่สุดในตอนนี้ก็คือรถม้า ดังนั้นพวกเขาจึงส่งยอดฝีมือระดับสองมาพร้อมรถม้าเพื่อล่อลวง ตอนแรกพวกเขาก็ค่อนข้างมั่นใจที่จะฆ่าซ่งป๋อได้ แต่หลี่ว์ซู่ก็ทำลายแผนการของพวกเขา  

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเหตุการณ์หลายอย่างทั้งหมดนี้มีความผิดปกติอยู่มากมาย ดังนั้นระมัดระวังตัวให้ปลอดภัยไว้ก่อนจึงเป็นการดีกว่าที่จะมาเสียใจในภายหลัง 

 

 

เวลานี้กองคาราวานการค้าเดินทางมุ่งหน้าไปในถิ่นทุรกันดาร ในขณะที่ซุนจ้งหยางและพวกของเขายังคงพักฟื้นตัวอยู่บนเกวียนไม้ที่โคลงเคลงไปมา ส่วนโม่เสี่ยวหยาและสตรีคนอื่นๆ ล้วนนั่งอยู่ในรถม้าที่มีรูขนาดใหญ่ 

 

 

เหล่าทาสในกองคาราวานล้วนหมดแรง พวกเขาล้วนเคยมีประสบการณ์สู้รบมาเป็นอย่างดี และด้วยสถานะของซ่งป๋อ เขาจะต้องซื้อทาสที่ดีที่สุดเพื่อปกป้องตัวเองและทรัพย์สินของเขาอย่างแน่นอน 

 

 

แต่ไม่ว่าเหล่าทาสจะเก่งกาจเพียงใด พวกเขาก็ต่อสู้กับยอดฝีมือระดับหนึ่งไม่ได้ 

 

 

และในเวลานี้ ซ่งป๋อพลันรู้สึกว่าสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญจริงๆ คือต้องทรงพลัง 

 

 

เวลานี้ทุกคนในกองคาราวานล้วนวุ่นวาย กองคาราวานเคยเดินทางผ่านเมืองเล็กๆ หลายแห่งมาก่อน แต่ซ่งป๋อกลัวจะเกิดปัญหาจึงไม่เข้าไปและตัดสินใจมุ่งหน้าไปเมืองหลวงทันที 

 

 

ภายใต้สถานการณ์ปกติ เมื่อกองคาราวานผ่านเมืองหรือป้อมปราการต่างๆ ซ่งป๋อก็จะส่งทาสของเขาไปเติมของบางอย่าง เช่น เสบียงพื้นฐานอย่างน้ำ เป็นต้น แต่จะไม่ยอมเข้าไปในเมือง 

 

 

ซ่งป๋ออธิบายให้พวกเขาฟังว่าจะมีเมืองเล็กๆ อยู่ไม่ไกลจากถนนสายหลักและส่งพวกทาสไปซื้อเสบียง และเหล่าทาสในกองคาราวานก็รีบออกไปหลังจากที่หลี่ว์ซู่บอกว่าอาจมีไส้ศึก  

 

 

ด้วยเหตุนี้ซ่งป๋อจึงพบว่าบรรยากาศผิดปกติไป จากนั้นเขาก็หันศีรษะไปพบว่าหลี่ว์ซู่ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ และสวีมู่จวินกำลังจ้องมองเขาอยู่เงียบๆ เช่นกัน… 

 

 

บัดนั้น ซ่งป๋อก็รู้สึกหนังศีรษะชาด้วยความตื่นกลัวขึ้นมาทันที เอ่ยถามหลี่ว์ซู่ว่า “มองกระผมด้วยเรื่องอะไรหรือ?” 

 

 

หลี่ว์ซู่กล่าวอย่างใจเย็นว่า “โดยปกติแล้ว นายเป็นคนที่ติดต่อกับโลกภายนอกได้ง่ายและบ่อยที่สุด นายกำลังนั่งอยู่ที่นี่ และเมื่อวานนี้ อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ดูเหมือนว่ากำลังรอโอกาสอยู่ ดังนั้นเมื่อทาสของนายกลับมาพร้อมกับอาหารที่ซื้อมา ห้ามให้ใครแตะต้องหรือเคลื่อนย้ายอาหาร และนายจะต้องเป็นคนกินก่อนคำแรก?” 

 

 

ซ่งป๋อรู้สึกไม่ดี เขายังกังวลว่าอาหารที่เขาซื้อมาจะมีพิษ เขาจึงให้ทาสของเขาลองกินก่อนอยู่เสมอ แต่เวลานี้ เขากลับถูกสั่งให้ทดสอบอาหารก่อน ทุกคนรู้ดีว่าพวกเขาอยู่ภายใต้สถานการณ์พิเศษ และเรื่องการวางยาพิษในอาหารก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้สูงมาก ดังนั้น หากเขาเป็นคนที่ทดสอบอาหารก่อน เขาก็อาจจะต้องตายอย่างกะทันหัน… 

 

 

แต่จู่ๆ ซุนจ้งหยางก็เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาว่า “อย่าสงสัยเลย อาหารและสินค้าของพวกเราถูกทำลายเสียหายไปมาก และยังมีจำนวนมากที่ถูกทิ้งไปเพราะเกวียนและม้าถูกทำลายไป หากพวกเราไม่ซื้ออาหารจากในเมือง พวกเราก็จะอดตายไปนานแล้วโดยที่ไม่ต้องวางยาพิษเลย และยิ่งไปกว่านั้น ซ่งป๋อก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมายให้กับตระกูลซุนของฉันมานานหลายสิบปีแล้ว และตระกูลซุนก็เชื่อใจเขามาก” 

 

 

หลี่ว์ซู่เหลือบมองซุนจ้งหยางและบอกตามตรงว่า เขามีความรู้สึกที่ดีต่อซุนจ้งหยาง เพราะซุนจ้งหยางมีอุปนิสัยตรงไปตรงมา เขามีเกียรติและยุติธรรมอย่างยิ่งเหมือนคนที่มาจากตระกูลใหญ่จริงๆ 

 

 

ดังนั้นหลี่ว์ซู่จึงรู้ว่าย่อมมีเหตุผลสมควรที่ทำให้ซุนจ้งหยางได้เป็น ‘ผู้นำ’ กลายๆ ของคนกลุ่มนี้ได้ ทุกคนล้วนเต็มใจที่จะเชื่อฟังเขา และนี่จึงทำให้ซุนจ้งหยางเป็นคนมีเสน่ห์ 

 

 

เวลานี้ เมื่อซุนจ้งหยางเห็นหลี่ว์ซู่ทำให้ซ่งป๋อตกที่นั่งลำบาก เขาก็ทนไม่ไหว เขาจำได้ชัดเจนถึงสิ่งที่ซ่งป๋อทำเพื่อเขามาตลอดทาง แล้วเขาจะมาสงสัยใครในเวลานี้ได้อย่างไร? 

 

 

หลี่ว์ซู่ยักไหล่แล้วกล่าวว่า “แล้วหากมันมีพิษ พวกเราจะทำอย่างไร?” 

 

 

และในเวลานี้ ทาสของซ่งป๋อก็กลับมาพร้อมกับซาลาเปาที่ห่อด้วยกระดาษน้ำมัน ซ่งป๋อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “เอาแบบนี้ดีหรือไม่ ด้วยวิธีนี้จะทำให้ไม่ต้องมีคนมาลองทดสอบอาหาร กระผมจะใช้เข็มเงินตรวจสอบว่าซาลาเปามีพิษหรือไม่ หากมีพิษ กระผมก็จะขอไถ่โทษด้วยความตายและหวังเพียงว่าตระกูลซุนจะช่วยเมตตาดูแลภรรยา และลูกๆ ของกระผมเป็นอย่างดีด้วยขอรับ” 

 

 

ขณะที่ซ่งป๋อกล่าวเช่นนั้น เขาก็ดึงเข็มเงินออกมาแล้วแทงเข้าไปในซาลาเปา และเมื่อดึงเข็มเงินออกมา เข็มเงินก็กลายเป็นสีดำจริงๆ! 

 

 

ซุนจ้งหยางนิ่งงันไปทันที 

 

 

ทาสที่ถือซาลาเปาพลันอ้าปากค้าง พูดไม่ออกเช่นกัน ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ที่อยู่ข้างๆ เขาก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะแล้วกล่าวว่า “โง่หรือเปล่า นี่มันเป็นซาลาเปาถั่วแดงชัดๆ!” 

 

 

หลี่ว์ซู่ฉงนแล้วถามออกมาว่า “ใครบอกนายว่าเข็มเงินทดสอบยาพิษได้?” 

 

 

ซ่งป๋อตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวตอบว่า “มีกล่าวเอาไว้ในซ้องกั๋งเล่มหนึ่งซึ่งลงอักษรเอาไว้โดยราชันองค์เก่า”  

 

 

จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกว่าราชันองค์เก่าผู้นี้ช่างมีเวลาว่างจริงๆ เขาได้คัดลอกเรื่องยาวๆ ทั้งหมดนี้มาจาก ‘ซ้องกั๋ง’ หรือ?! แต่เขาก็พูดอะไรไม่ได้มาก เพราะความคิดเกี่ยวกับเรื่องการใช้เข็มเงินเพื่อทดสอบพิษบนโลกก็มาจากเรื่อง ‘ซ้องกั๋ง’ แต่การเผยแพร่แนวคิดนี้ก็ทำให้ใครๆ คิดว่าเข็มเงินเป็นเครื่องมือพิเศษที่ใช้ทดสอบพิษได้แม่นยำเต็มร้อยในนิยายกำลังภายใน 

 

 

อย่างไรก็ตาม หลักการทดสอบพิษด้วยเข็มเงินนั้น เดิมทีมันพุ่งเป้าไปที่สารหนู และหลี่ว์ซู่ก็ไม่เชื่อว่าสารบางอย่างเช่นสารหนูนี้จะมีผลกระทบใดๆ ต่อผู้บำเพ็ญระดับหนึ่ง… 

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ายอดฝีมือระดับหนึ่งที่มีร่างกายใหญ่โตแข็งแรงย่อมไม่ตายจากการกินสารหนูอย่างแน่นอน อย่างมากที่สุดพวกเขาก็จะแค่มีอาการท้องร่วงและจะฟื้นตัวขึ้นมาได้ภายในวันรุ่งขึ้น