อีกอย่างซีเหมินจินเหลียนก็รู้สึกว่าหินหยกของร้านเถ้าแก่โจวเกือบทั้งหมดต่างก็มีลักษณะผิวที่ไม่ดี แต่บ่อยครั้งก็มาในคราบม้ามืดเผยหยก แต่พวกที่ลักษณะผิวด้านนอกดูดี เมื่อตัดออกมาแล้วก็ดูธรรมดาจน…อาจจะเป็นหิน
เหตุการณ์นี้ประหลาดมาก เหมือนครั้งที่ซีเหมินจินเหลียนเคยซื้อหินหยกที่ร้านของเขา ตอนนั้นเถ้าแก่โจวชั่งกิโลขาย ลักษณะภายนอกไม่ได้โดดเด่น แต่ข้างในมีเนื้อแก้วชนิดโบราณชั้นดี และยังเป็นสีเขียวสด หลังจากนั้นเธอก็ผ่าออกมาทำเป็นเครื่องประดับกับของตกแต่ง มีแต่คนแก่งแย่งที่จะซื้อ แม้ราคาจะสูงกว่าหยกชนิดเดียวกันมาก แต่ก็หาไม่ได้ง่ายๆ ตามตลาด
จากข้อมูลที่จ่านมู่ฮวาเก็บรวบรวมไว้ แหล่งกำเนิดหินหยกของร้านเถ้าแก่โจวมีสาเหตุมาจากหลายอย่าง และจากที่ได้ยินหลินเสวียนหลานแนะนำมา ตอนแรกเถ้าแก่โจวแพ้เดิมพันหินที่เจียหยาง ต้องชดใช้ทรัพย์สินค่าเสียหายทั้งหมด และภายใต้การช่วยเหลือของเพื่อนๆ ถึงได้เปิดร้านขายหินหยกที่เมืองเซี่ยงไฮ้
เถ้าแก่โจวคนนี้ถือว่ามีโชคชะตาที่ดีอยู่บ้าง แต่สำหรับพ่อของหนิงชุ่ยฉินไม่มีโชคในเรื่องนี้
“ถ้าคุณอยากจะดู ก็ดูอย่างเดียวก็พอ” หนิงชุ่ยฉินยิ้ม “แต่ฉันขอเตือนไว้ก่อนว่าคุณอย่าซื้อเลย…ไม่อย่างนั้นในอนาคตคุณต้องโทษฉันแน่”
“แพ้ก็ต้องรับผลเอง ไม่มีการโทษกันหรอก” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“เอาเถอะ” หนิงชุ่ยฉินพูด “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉันจะไปช่วยแม่ในครัวก่อน คุณก็ดูไปเถอะ…หากต้องการจริงๆ ฉันจะไปบอกแม่ให้ค่ะ”
“โอเค” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า
เมื่อเห็นหนิงชุ่ยฉินกระโดดหยองแหยงจากไปแล้ว จ่านป๋ายก็ยิ้มออกมา “ผู้หญิงคนนี้จิตใจโอบอ้อมอารีดีนะครับ”
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มพร้อมพยักหน้า คนที่เคยตกอับยากแค้นมาก่อน แต่สามารถรักษาความใสซื่อบริสุทธิ์แบบนี้เอาไว้ได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ปลายฤดูใบไม้ร่วง ข้างนอกมีอากาศหนาวจัด แม้ว่าทางเจียหยางจะอากาศดีกว่าเซี่ยงไฮ้อยู่มาก แต่เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดมิด ซีเหมินจินเหลียนก็รู้สึกหนาวเย็นยะเยือกขึ้นมา เธอเดินไปที่หินหยกก้อนนั้น ขี้เกียจจะสำรวจดูแล้วว่าลักษณะของผิวเป็นเช่นไร ทำเพียงเอื้อมมือออกไปแตะตรงๆ…
ผิวสีเหลืองแดงหยาบกร้านค่อยๆ เลือนหายไปในดวงตา เปลือยให้เห็นแก่นแท้โผล่จากข้างในเป็นหินสีขาว ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้วไม่คลาย เธอเคยเห็นหินหยกมาไม่น้อย แม้ลักษณะจะไม่ดีเท่าไหร่ แต่เนื้อข้างในเป็นหินสีขาวนุ่มเนียนชุ่มชื่น หินหยกเหลือทิ้งพวกนั้นส่วนมากนำไปเป็นเครื่องประดับธรรมดาราคาประมาณสิบหยวน แน่นอนหากงานละเอียดก็สามารถขายได้ในราคาดี
คนที่เดิมพันหินแท้จริงคงไม่ต้องการสินค้าแบบนี้แน่
ไม่แปลกใจที่หินหยกก้อนนี้ไม่มีใครสนใจ ซีเหมินจินเหลียนดูแล้วส่ายหน้าบางๆ ในเมื่อดูแล้ว เธอก็ไม่สามารถเก็บมือกลางคันได้ หากไม่ดูให้ถึงที่สุดเธอคงต้องรู้สึกคาใจแน่ๆ?
ชั้นของหินสีขาวเทาหนามาก หนาประมาณสามถึงสี่เซนติเมตร ถัดมาในใจของซีเหมินจินเหลียนก็เริ่มสั่นไหว…หรือว่านี่จะเป็นหินปลอมที่ถูกคนสร้างขึ้นมา?
แต่หากเป็นของที่คนสร้างขึ้นมา ทำไมถึงทำได้อย่างไม่มีรอยโหว่เกิดขึ้นล่ะ?
โดยปกติแล้วหากเป็นผิวที่ถูกคนสร้างขึ้นมา คงต้องทำผิวหินให้มีลักษณะดีไว้ก่อน จุดหยกหนาแน่นมีรอยเส้นหยกล้อมรอบ หรือไม่ก็ทำให้เนื้อหยกออกมา จนเธอเคยได้ยินว่ามีคนนำหลอดไฟฟ้ามาใส่ไว้ในหินหยกด้วย จากนั้นก็เปิดรอยช่องโหว่เอาไว้ หากใช้ไฟฉายส่องไปข้างในแน่นอนว่าต้องเห็นสีเขียวมรกต
แต่ผิวของหินหยกก้อนนี้หยาบกร้านดูไม่มีอะไรดึงดูดเป็นพิเศษ จนกระทั่งทำให้คนเข้าใจผิดได้ว่าเป็นหิน ของปลอมแบบนี้ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย…ใครกันที่กล้าทำเรื่องบ้าบอแบบนี้?
ซีเหมินจินเหลียนปล่อยมือลงและลุกขึ้น เธอเดินเวียนรอบหินหยกก้อนนั้นด้วยความมึนงง มันเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลจริงๆ
“จินเหลียน เกิดอะไรขึ้นหรือครับ” จ่านป๋ายถามอย่างแปลกใจ
“แปลกจริงๆ” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าแล้วพูด “ไฟฉายล่ะ? ขอฉันดูให้ละเอียดกว่านี้หน่อย”
“คุณยังต้องใช้ไฟฉายอีกเหรอ?” จ่านป๋ายยิ้ม เขามองออกตั้งแต่แรกแล้ว เรื่องที่ซีเหมินจินเหลียนถือไฟฉายกับแว่นขยายไว้ในมือนั่นก็เป็นแค่เรื่องหลอกลวงเท่านั้น แต่ละครั้งที่เธอดูสินค้าก็มีแค่สามขั้นตอน หนึ่งดู สองสัมผัส สามตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่ซื้ออย่างว่องไว…และอาศัยเพียงแค่ดวงตาตัวเอง
“หินหยกก้อนนี้แปลกเหลือเกิน” ซีเหมินจินเหลียนพูดและรับไฟฉายมาจากมือเขา ส่องไปทางหินหยกและตรวจตราอย่างละเอียดถี่ถ้วน…ไม่ทิ้งร่องรอยปะติดปะต่อ น่าจะมาจากธรรมชาติจริงๆ แต่ทำไมถึงเป็นอย่างนี้นะ? ทำไมหินหยกก้อนนี้ถึงมีผิวสองชั้น?
เมื่อก่อนไม่ใช่ว่าเธอจะไม่เคยได้ยินเรื่องผิวสองชั้น โดยปกติก็ทำแค่เล่นเฉไฉบนผิวหินหยกให้มีลักษณะดีเท่านั้น แต่หินหยกก้อนนี้ตรงกันข้าม ชั้นผิวข้างในของมันต่างหากถึงดี…
ดีมากเหลือเกิน!
เมื่อสักครู่ซีเหมินจินเหลียนยังไม่ทันได้ใช้ความสามารถมองทะลุผ่านทั้งหมด เห็นแค่ชั้นผิวข้างในก็ทำให้เธอนิ่งงันอยู่นาน
“หรือว่าเรื่องแปลกๆ ที่เราพบเจอมา มันยังน้อยไปหรือครับ?” จ่านป๋ายพูด “ถึงจะแปลกยังไงแต่ก็คงแปลกไม่เท่าหยกราชางูของคุณหรอกนะ”
“มันไม่เหมือนกัน” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูด “หยกราชางูก้อนนั้นของฉันแปลกหลังจากที่เจียระไนออกมาเสร็จแล้ว เป็นสิ่งแปลกประหลาดที่ไม่สามารถใช้คำทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันมาอธิบายได้ ส่วนนี่…เป็นสิ่งแปลกที่ไม่ปกติ” พูดจบเธอก็ปีนขึ้นไปบนหินหยก หยิบไฟฉายและอาศัยร่องรอยบนหินมองต่อไป สุดท้ายได้ผลสรุปว่านี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ไม่ใช่สิ่งที่คนปลอมแปลงขึ้นมา
โลกใบใหญ่ขนาดนี้จะมีสิ่งมหัศจรรย์ไหนที่จะไม่มีล่ะ! ซีเหมินจินเหลียนแอบคิดในใจ เพราะว่าพื้นผิวที่หยาบกร้านห่อหุ้มเนื้อหยกที่งดงามไว้ ปล่อยสิ่งสวยงามไว้ให้เสียของจริงๆ
“ไม่ปกติยังไงเหรอครับ” จ่านป๋ายถามอย่างไม่เข้าใจ
“อืม…” ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้จะอธิบายกับเขาอย่างไรดี เธอก้มหน้าไม่พูดจาพยายามคิดดูและยื่นไฟฉายไปให้จ่านป๋ายและสัมผัสลงไปอีกครั้ง
ผิวสีแดงเหลืองค่อยๆ เลือนหาย ชั้นหินสีเทาขาวปรากฏขึ้นมา และลึกลงจากชั้นหินสีเทาขาวนั้นมีอีกชั้นหินหนึ่ง แต่ผิวของชั้นนี้ก็คือสีแดงเหลืองเช่นกัน เม็ดผิวไม่รู้ว่าละเอียดกว่ากันตั้งเท่าไหร่ แต่สังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ามีเส้นลายหยกเส้นหนาพันล้อมรอบหินหยก ด้านบนหินหยกมีจุดหยกกระจายอยู่ทั่วและมีส่วนหนึ่งที่โผล่เนื้อหยกเปลือยเปล่าโปร่งใสออกมา
เป็นชนิดเนื้อแก้วอย่างไม่ต้องสงสัย ดวงตาที่มองผ่านนั้นสามารถรับรู้ถึงความราบเรียบของเนื้อหยกที่เผยออกมาได้อย่างละเอียด ความโปร่งใสสูง และยิ่งผิดคาดจากที่ซีเหมินจินเหลียนคิดไว้ก็คือ สีของเนื้อหยกที่เปลือยออกมานั้นเป็นสีม่วงดอกไลแอคสุดสวย
ใช้ความสามารถในการมองทะลุผ่านต่อไป แม้ว่าซีเหมินจินเหลียนจะเคยเห็นหินหยกหลากสีชั้นดีมาตั้งมาก แต่ในใจก็อดไม่ได้ที่จะสั่นไหว ให้ตายเถอะ หินหยกลักษณะดีแบบนี้กลับถูกคนคิดว่าเป็นหินธรรมดา
ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยเห็นฮกลกซิ่ว สามสีหายากที่ตัวเองมีไว้ในครอบครองมาก่อน ถึงจะได้เห็นหยกสีแดงเหลืองม่วงอีกครั้ง เธอก็ไม่ใจสั่นระทวยตกใจขนาดนี้ แต่หยกฮกลกซิ่วก้อนใหญ่ขนาดนี้ถือว่าเป็นสามสีที่หาพบเจอได้ยาก สิ่งที่ทำให้เธอตกใจยิ่งกว่าก็คือสิ่งมหัศจรรย์ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา
ไม่สิ ต้องขอบคุณเทพธิดาหนี่วา…ไม่ทันได้รู้ตัว เธอก็ยอมรับว่าหยกก็คือหินที่เหลือจากการฝึกหินของเทพธิดาหนี่วาเข้าแล้ว
สีสามสีที่หายากนี้ส่วนมากที่เจอจะเป็นแดงเหลืองม่วง และพื้นที่ของสามสีนี้ก็เท่ากัน แต่นี่ถือว่าไม่ได้หายากมากเท่าไหร่ หยกสีแดงที่สว่างจ้าราวเพลิงไฟล้อมรอบเส้นสีเงินขนาดเท่านิ้วมือ สวยจนเธอไม่อยากจะเชื่อในสายตาของตัวเอง
ซีเหมินจินเหลียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ในหยกบางชนิดมักมีโลหะหนักอยู่ในนั้น ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่เคยเห็น เช่นหยกสีแดงเกร็ดทองที่เคยซื้อมาจากร้านเถ้าแก่โจว หยกสีแดงลายทองคำก้อนนั้นสีหยกสีแดงสวยสด แต่ไม่ใช่หยกสีไฟ แต่เกร็ดทองกระจัดกระจายไปทั่ว ไม่เหมือนกับหยกสีแดงสามสีหายากที่ฝังไปด้วยเส้นสีเงินก้อนนี้
ซีเหมินจินเหลียนอดไม่ได้ที่จะสำรวจไปยังเส้นสีเงิน นิ้วมือยื่นไปสัมผัสข้ามผ่านหยกสีไฟที่ล้อมรอบแสงระยิบระยับนี้
หินหยกก้อนนี้ เธอต้องครอบครองให้ได้ ถึงแม้ราคาจะสูงกว่านี้ก็ไม่เสียดาย…ซีเหมินจินเหลียนแอบคิดในใจ
ในเวลาเดียวกันเธอก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงคุณพ่อหนิงที่ยอมกินยาพิษฆ่าตัวตายขึ้นมา หาก…หากเขาเจียระไนหินหยกทั้งหมดออก ก็น่าจะร่ำรวยตั้งนานแล้วสิ คงไม่ถึงขนาดขั้นฆ่าตัวตายแบบนี้?
เมื่อก่อนตอนที่อยู่ชนบท เธอเคยได้ยินสำนวนหนึ่งว่า…ความร่ำรวยไม่ส่งต่อให้คนจน! หรือว่านี่จะเป็นคำสั่งจากเบื้องบนให้ติดอยู่กับความจน? มีหลักการแบบนี้ด้วย?
น่าเสียดาย! ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจส่ายหน้าออกมาไม่หยุด
“ฉันก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าดูเลย” หนิงชุ่ยฉินเดินออกมาพอดี เห็นซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้วไม่หยุด ก็ได้แต่ส่ายหน้า สีหน้าเคร่งเครียด คิดว่าหินหยกก้อนนี้ไม่ดีเลยรีบพูดขึ้น “รีบเข้ามากินข้าวเถอะค่ะ”
“อืม” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าและยื่นไฟฉายไปให้จ่านป๋าย จ่านป๋ายเดิมทีที่อยากจะถามว่าลักษณะผิวของหินหยกก้อนนี้เป็นอย่างไร แต่เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนได้แต่ส่ายหน้าก็คิดเหมือนกับหนิงชุ่ยฉิน มั่นใจว่าหินหยกก้อนนี้คงไม่ดีอะไร เลยไม่กล้าที่จะปริปากถาม
เมื่อทั้งคู่เดินเข้าไปล้างมือ คุณแม่หนิงที่จัดเตรียมอาหารไว้เต็มโต๊ะก็เรียกให้ทั้งคู่นั่งลงและยิ้มว่า “กับข้าวไม่ได้มีมากมายนักหรอกนะคะ เป็นกับข้าวพื้นๆ หาได้ทั่วไป คุณทั้งสองคนอย่าได้ถือสาเลยนะ”
หนิงชุ่ยฉินเปิดขวดโคล่าส่งไปให้ซีเหมินจินเหลียนแก้วใหญ่และพูดกับจ่านป๋ายว่า “ไม่มีเหล้าหรอก พวกคุณก็ดื่มน้ำอัดลมได้ใช่ไหม?”
จ่านป๋ายพยักหน้า ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกกระหายอยู่บ้างจึงรีบดื่มไปอึกใหญ่และพูดขึ้น “คุณป้าคะ หินหยกที่อยู่ปากประตูของบ้านก้อนนั้น หนูขอซื้อได้ไหมคะ…”
หนิงชุ่ยฉินไม่รีรอให้คุณแม่หนิงปริปากพูด เธอก็รีบลุกขึ้นร้องขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม “คุณไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม?”
“ไม่ใช่แน่นอน” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูด “ฉันต้องการที่จะซื้อจริงๆ”
“คุณซีเหมิน” คุณแม่หนิงขมวดคิ้ว “ฉันรู้ว่าหนูเป็นคนที่มีจิตใจดี แต่หนูให้ค่านายหน้ากับชุ่ยฉินมามากพอแล้ว หากหนูใช้วิธีเช่นนี้เพื่อซื้อหินหยกก้อนนั้นอีก พวกเราคงไม่สบายใจ รู้ทั้งรู้ว่าเป็นหินแต่ยังขายไปให้หนู…เงินที่ได้มาพวกเราก็ไม่รู้จะใช้ยังไง!”
จ่านป๋ายเองก็คิดเหมือนกัน เขาคิดว่าซีเหมินจินเหลียนคงแค่สงสารสองแม่ลูกเลยอยากอาศัยจังหวะนี้ซื้อหินหยกก้อนนั้นเพื่อช่วยเหลือพวกเธอ