ซีเหมินจินเหลียนพูด “คุณป้าจะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ ก่อนที่หินหยกก้อนหนึ่งจะผ่าออกมา ใครจะยืนยันได้ว่ามันจะเป็นหินจริงๆ?”
“แต่มันก็เป็นหินจริงๆ!” คุณแม่หนิงยิ้มขมขื่น “ชุ่ยฉินไม่ได้บอกกับหนูเหรอจ๊ะ? หากหินนี่สะดุดตาใครจริงก็คงต้องถูกคนขโมยไปแล้ว แต่นี่เหลือไว้ก้อนหนึ่งไม่มีใครซื้อ ป้าเลยเก็บไว้เป็นที่ระลึก”
“ถ้าหนูขอดูได้ไหมคะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“ถ้าหนูอยากดูก็ดูได้ตามสบายเลยเลยจ้ะ” คุณแม่หนิงยิ้มอ่อนโยนและลุกขึ้นเดินไปทางห้องครัวเพื่อเตรียมอาหารเย็น ในเวลาเดียวกันก็เน้นย้ำให้หนิงชุ่ยฉินคอยดูแลแขก
ซีเหมินจินเหลียนเห็นคุณแม่หนิงเดินไปทางห้องครัวก็เลยรีบสอยเท้าออกไปข้างนอก เธอสนใจหินหยกขนาดใหญ่พิเศษเช่นนี้เป็นอย่างมาก
เมื่อยืนอยู่ใต้ต้นทับทิมในรั้วบ้าน ซีเหมินจินเหลียนก็รู้สึกสงสัยเหลือเกินทำไมคุณแม่หนิงและทุกคนต่างก็คิดว่าหินหยกที่พ่อของหนิงชุ่ยฉินซื้อกลับมาพวกนั้นเป็นแค่หินก่อสร้างที่ไม่มีราคา? นี่น่าประหลาดใจมาก ไม่ว่าใครก็ต่างพูดไว้ว่าเทพเจ้ายังยากที่จะตัดสินหยก ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก่อนที่จะทำการเจียระไนหินออกมา ทำไมถึงได้ไปตัดสินข้างเดียวว่ามันเป็นหินไร้ค่า?
แม้กระทั่งที่พ่อของหนิงชุ่ยฉินตายไปก็เพราะเหตุผลนี้?
“คุณซีเหมิน คุณอย่าดูเลย มันก็เป็นหินจริงๆ นะ” หนิงชุ่ยฉินพูด “ฉันพาคุณมากินข้าวที่บ้านไม่ใช่เพราะจะนำหินหยกก้อนนี้มาขายให้คุณ ฉันก็บอกได้เลยว่าแม่ของฉันก็ไม่ขายหรอกค่ะ”
“ทำไมล่ะ” ซีเหมินจินเหลียนถามแปลกใจ “แม่ของเธอก็บอกว่าอยากขายไม่ใช่หรอกเหรอ?”
“ตอนนั้นฉันกำลังเรียนอยู่…ที่บ้านเลยไม่มีเงิน แม่เลยคิดที่จะขายหินหยกก้อนนั้น แต่คิดไม่ถึงว่าพอไปหาลุงกับอาของฉันให้มาดู คุณรู้ไหมพวกเขาตีราคายังไง?” หนิงชุ่ยฉินแค่นเสียงใส่ด้วยใบหน้าไม่พอใจ
“อ้อ?” จ่านป๋ายพูด “เขาคงไม่คิดจะซื้อในราคาหินก่อสร้างหรอกใช่ไหม?”
“เหอะ!” หนิงชุ่ยฉินพูด “พวกเขาให้ราคาเหมือนหินห่อสร้าง หินหยกก้อนใหญ่ขนาดนี้ถึงไม่มีลักษณะของผิวอะไรปรากฏให้เห็น แต่อย่างน้อยก็ควรจะให้ราคาสักห้าพันหยวนใช่ไหมล่ะ? จากนั้นอาสามของฉันก็ทนดูไม่ไหวนำเงินมาส่งเสียฉันให้ไปเรียนแทน แม่บอกกับฉันว่าหินหยกก้อนนี้หากราคาต่ำกว่าหนึ่งล้าน เธอจะไม่ยอมขายเด็ดขาด”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินแล้วก็ได้แต่ยิ้ม หากเผยสีเขียวออกมาจริง หินหยกก้อนใหญ่เท่านี้ราคาคงไม่ต่ำถึงขนาดหนึ่งล้านหยวนแน่ นี่เป็นแค่คำพูดของคุณแม่หนิงตอนโกรธและพลั้งปากพูดออกไปทั้งนั้น
“ฉันขอดูหน่อยนะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดและพยายามหยิบแว่นขยายและไฟฉายออกมาจากในกระเป๋า เธอเอื้อมมือไปสัมผัสผิวหินหยก ไม่แปลกใจเลยที่ไม่มีใครต้องการ ผิวของมันก็หยาบกร้านกว่าที่คิด ผิวสีเหลืองแดงไม่เป็นที่สะดุดตาใคร แต่สิ่งที่เธอแปลกใจก็คือในเวลานี้เธอไม่สามารถรู้ได้เลยว่าแหล่งกำเนิดของหินหยกก้อนนี้มาจากที่ไหน
“คุณหนิง ตอนนั้นพ่อของเธอไปซื้อหินก้อนใหญ่ขนาดนี้มาจากที่ไหนเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนถามออกไปตรงๆ โดยที่ไม่อยากคิดเองให้มากความ
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” หนิงชุ่ยฉินส่ายหน้าพูด “ตอนนั้นฉันยังเด็ก เหมือนว่าจะไม่ได้มาจากแหล่งที่มาที่ถูกต้องอะไร ได้ยินว่าสินค้าไม่ได้ถูกต้องตามกฎหมาย น่าจะเป็นหินหยกที่แอบลักลอบเข้ามา”
“ไม่ใช่ว่าพ่อของคุณไปซื้อสินค้าที่พม่าหรอกเหรอ?” จ่านป๋ายถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “แล้วไปซื้อสินค้าลักลอบมาได้ยังไง”
“ฉันเคยได้ยินลุงของฉันพูดว่า เป็นเพราะพ่อเห็นแก่ราคาถูกเลยคิดว่าหินก่อสร้างของคนอื่นเป็นของดีและซื้อกลับมา พวกลุงของฉันไม่ได้ชอบอะไรมันมากหรอก แต่พ่อของฉันไม่ฟัง จากนั้นมีคนในแนะนำลูกค้าให้มาดูสินค้า เริ่มแรกลูกค้ามาดูแค่ไม่กี่คน ส่วนใหญ่มาดูเสร็จก็จากไป ภายหลังมีลูกค้าคนหนึ่งมาดู ดูไปดูมาจึงพูดกับคนในว่า…คุณไม่อยากทำก็พูดมาตรงๆ อย่ามาแนะนำสินค้าแบบนี้ให้ผม” หนิงชุ่ยฉินส่ายหน้าพูด
“อ้อ?” จ่านป๋ายขมวดคิ้ว ลูกค้ารายนี้ก็เกินไป ถึงจะไม่ซื้อก็ไม่น่าจะไปจู่โจมคนถึงขนาดนี้
หนิงชุ่ยฉินครุ่นคิดไปมาและพยายามรวบรวมคำพูด “ตอนนั้นพ่อของฉันเลยไปเช่าร้านที่ถนนหยกโบราณแทน มีเครื่องเจียระไนเสร็จสรรพ ได้ยินคำพูดแบบนั้นแล้วทนไม่ไหว เขาเลยนำหินหยกก้อนที่ซื้อมาดีที่สุดเจียระไนต่อหน้าคนอื่น ขอแค่เผยสีเขียวออกมาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีใครซื้อ”
“ไอเดียดี!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า
หนิงชุ่ยฉินส่ายหน้าพูด “ดีอะไรกันล่ะ? ผลของการเจียระไนต่างพิสูจน์ให้ผู้คนเห็นว่าสิ่งที่พ่อฉันซื้อมาทั้งหมดนั้นเป็นแค่หินก่อสร้าง และหินหยกที่เขาว่าดีที่สุดยังไม่มีแม้แต่สีเขียวเลย มันก็เป็นแค่หิน…”
ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมา นี่เป็นโศกนาฏกรรมอย่างไม่ต้องสงสัย…แต่แค่หินหยกก้อนเดียวก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าหินหยกทั้งหมดในนี้เป็นหินก่อสร้างที่ไม่ใช่ของดี
“เพราะเป็นการเจียระไนต่อหน้าผู้คน ต่อมาธุรกิจก็ยิ่งย่ำแย่ตกต่ำลง เงินที่บ้านหดหาย ตอนนั้นยืมเงินมาไม่น้อย เจ้าหนี้ส่วนมากต่างมาทวงเงิน…” หนิงชุ่ยฉินพูดอีกครั้ง
“เฮ้อ…” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจ
“พ่อเลยตกอยู่ในสถานการณ์กดดัน ได้แต่เจียระไนหินหยกติดต่อกันถึงสิบกว่าก้อน เป็นหินที่เขาชอบพอและซื้อมาด้วยเงินก้อนโตทั้งนั้น แต่ราวเหมือนเห็นผี หินหยกทั้งหมดหลังจากที่เจียระไนเสร็จเป็นแค่หินสีขาวเปล่าๆ ในนั้นมีก้อนหนึ่งเผยสีเขียวและแต่ก็เป็นแค่สีเขียวติดเปลือก…” หนิงชุ่ยฉินพูด “เรื่องหลังจากนั้นฉันคงไม่ต้องพูดหรอกนะ พวกคุณก็น่าจะรู้”
“พ่อรับไม่ได้กับความกดดันที่เกิดขึ้นเลยจากไป เหลือพวกเราสองแม่ลูก พร้อมกับหนี้ก้อนโต” หนิงชุ่ยฉินพูดต่อ
“คนแบบนี้มีเยอะ ชอบซื้อตามกระแส ความจริงนี่ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าหินหยกที่พ่อของเธอซื้อกลับมาจะเป็นหินก่อสร้างทั้งหมด” ซีเหมินจินเหลียนกล้ำกลืนพูดขึ้น หากเปลี่ยนเป็นเธอ เธอคงได้นำหินหยกทั้งหมดมาเจียระไนดูให้รู้ไปเลย บางทีหากเขาเจียระไนเพิ่มขึ้นอีกก้อน อาจจะเผยสีเขียวก็ได้
“ไม่เพียงเท่านี้นะ” หนิงชุ่ยฉินส่ายหน้าพูด “ฉันได้ยินอาของฉันบอกว่า ลุงของฉันไม่เชื่อเรื่องชั่วร้ายนี้ หลังจากที่พ่อจากไปแล้ว แม่ฉันก็เลยอยากจะใช้หนี้ ได้แต่นำหินหยกที่เหลือทั้งหมดขายออกไปด้วยราคาต่ำ อา คุณปู่และคุณลุงเลือกไปบางก้อน อาของฉันสุ่มเจียระไนหินหยกที่ดูลักษณะดีไปสิบกว่าก้อน…แต่ผลสุดท้ายก็ไม่ผิดไปจากที่คาดไว้ ทั้งหมดต่างเป็นหิน”
ซีเหมินจินเหลียนเข้าใจดี ในเมื่อเป็นอย่างนี้พ่อของหนิงชุ่ยฉินเลยเก็บหินหยกพวกนั้นให้เสมือนกับหินก่อสร้างตามข้างทาง ไม่มีใครต้องการ
ไม่แปลกใจเลยว่าวันนี้ตอนที่หนิงชุ่ยฉินเห็นเธอซื้อหินหยกก้อนนั้น ก็เลยดื้อรันคิดว่าเธอถูกอากลั่นแกล้ง…ที่แท้ก็มีช่วงเวลาแบบนี้นี่เอง ความจริงแล้วหินหยกเหล่านี้ถึงแม้จะไม่มีก้อนไหนที่เผยสีเขียวออกมาเลยก็ช่างเถอะ แต่นี่ยังสร้างกับดักให้ใครก็ต่างกลัว เลยไม่มีใครต้องการ
“ฉันไม่เชื่อในอาถรรพ์ ฉันจะลองดู” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้น เมื่อเห็นหินหยกก้อนใหญ่ก้อนนี้ เธอก็มีความรู้สึกแปลกๆ อะไรบางอย่างที่ทำให้เธอคิดถึงตอนแรกที่เคยดูสินค้าที่ร้านเถ้าแก่โจว…หินหยกที่เคยขายชั่งตามกิโลพวกนั้น