ส่วนที่ 4 ตอนที่ 194 หินก้อนใหญ่

ความลับแห่งจินเหลียน

ในระหว่างที่ซีเหมินจินเหลียนครุ่นคิดอยู่นั้น ในขณะเดียวกันเธอก็สำรวจสีเหลืองไปด้วย สีนั้นค่อนข้างเจือจางโอบล้อมความสดใสของสีเขียวสดขจี สีเหลืองไม่ได้เบี่ยงเบนความสนใจจนเกินไป แต่กลับผสมผสานเข้ากันเป็นอย่างดี สดใสราวกับสีสันของฤดูใบไม้ผลิ ไม่ได้สะดุดตามากไป แต่ก็ไม่ง่ายที่จะเพิกเฉย

โดยปกติแล้วหยกสองสีมักจะเป็นหยกกินบ่อเสี้ยน ไม่สีเขียวก็จะเป็นสีม่วง บางครั้งอาจจะมีสีแดงกับสีม่วงหรือสีเขียวกับสีแดง แต่ไม่เคยเห็นสีเขียวอยู่กับสีเหลือง ซีเหมินจินเหลียนมีเก็บสะสมสีแดงเหลืองไว้ สีอบอุ่นจนทำให้จิตใจคนรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

เมื่อยื่นมือไปสัมผัส ซีเหมินจินเหลียนก็ลุกขึ้นยืน เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ หากจะมาซื้อสินค้าที่เจียหยางก็จำเป็นต้องมีคนคอยนำทาง ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่มีช่องทางที่จะติดต่อมาที่บ้านเขาได้ หรือจู่ๆ จะให้เธอถามเขาว่าคุณขายหินหยกหรือเปล่าอย่างนั้นหรือ? ถ้าหากไม่ถูกเขาเข้าใจว่าเป็นคนบ้าก็แปลกแล้ว

เธอเรียกให้เริ่นเสี่ยวหมิงเข้ามา ครั้งนี้เธอก็ถามเขาออกไปตรงๆ ว่า “หินก้อนนี้ราคาเท่าไหร่คะ”

เริ่นเสี่ยวหมิงมองซีเหมินจินเหลียนสลับกับหินหยกก้อนนั้นที่วางอยู่บนพื้นและยิ้มเฝื่อนๆ พูดออกมาว่า “คุณผู้หญิงสนใจก้อนนี้น่ะหรือครับ?”

ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า “ก้อนนี้นี่ล่ะค่ะ”

ครั้งนี้แม้แต่หนิงชุ่นฉินเองก็ยังตามเข้ามา เธอมองไปที่ซีเหมินจินเหลียนและเริ่นเสี่ยวหมิงอย่างสงสัย แต่ก็มองออกว่าเธอไม่รู้เรื่องหินหยก ส่วนจ่านป๋ายไม่เคยเข้ามายุ่งในเรื่องการซื้อขายหินหยก เวลานี้เขาได้แต่เป็นคนใช้แรงงาน

“คุณซีเหมิน หินหยกก้อนนี้มีรอยกลากเกลื้อนนะครับ” เริ่นเสี่ยวหมิงพูด “คุณเปลี่ยนเป็นอีกก้อนดีไหม? ไม่อย่างนั้นถ้าหากคุณเดิมพันแพ้ขึ้นมา ยัยหนิงนี่คงไม่ปล่อยผมไว้แน่”

“รอยกลากเกลื้อนอะไรกัน?” หนิงชุ่ยฉินไม่เข้าใจและถามขึ้นอย่างสงสัย “หรือว่าหยกก็มีรอยเกลื้อนเหมือนคนเหรอ?”

“เนื้อน้ำแข็งสีเขียวอ่อน คริสตัลที่โปร่งใสหรือหยกที่ใสโปร่ง ไม่ใช่แค่แสงสะท้อนบนพื้นผิวและความโปร่งใสที่ดีเยี่ยมถูกไหม”

“อืม!” แม้ปากของหนิงชุ่ยฉินจะบอกว่าไม่ชอบหยก แต่เธอก็ไม่อาจปฏิเสธว่าเครื่องประดับหยกชั้นดีนั้นมีเสน่ห์แบบเฉพาะตัวของมันจริงๆ

“แต่หากบนพู่หยกนี้มีรอยด่างสีดำ เธอลองคิดดูสิมันก็เหมือนกับใบหน้าของหญิงงามที่จู่ๆ ก็มีรอยกากเกลื้อนอัปลักษณ์เกิดขึ้นมาไม่ใช่เหรอ?” เริ่นเสี่ยวหมิงอธิบาย

หนิงชุ่ยฉินพยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจ “ความหมายของนายก็คือ หินหยกที่เธอเลือกก้อนนี้มีรอยกลากเกลื้อน?”

“อืม” เริ่นเสี่ยวหมิงพยักหน้า “เห็นได้ชัดว่าบริเวณรอบผิวของหินหยกก้อนนี้มีรอยกลากเกลื้อนอยู่เต็มไปหมด พูดตามตรงก็คือหากเป็นแค่รอยเกลื้อนตามแนวนอนคงจะไม่ลึกเท่าไหร่ แต่ใครจะไปรู้ว่าอาจจะเป็นรอยแนวตั้งก็ได้ และก็ไม่รู้ว่าจะทำให้หยกข้างในเสียหายหมดหรือเปล่า ข้อดีก็คือถ้ามีรอยเกลื้อนมันต้องเผยสีเขียวแน่ เพราะอย่างนั้นถ้าหากคุณต้องการมันจริงๆ ก็ไม่ต้องกลัวเลยว่าจะไม่แพ้เดิมพัน”

“ในเมื่อฉันบอกว่าต้องการ แน่นอนว่าต้องการจริงๆ ในเมื่อคุณเริ่นรู้ถึงข้อเสียต่างๆ แล้ว อย่างนั้นก็ได้โปรดเปิดราคาที่ยุติธรรมมาแล้วกันค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด

เริ่นเสี่ยวหมิงคิดไปพักหนึ่งและพูดว่า “หากเป็นคนอื่นเสนอมาด้วยราคาไม่ถึงสองแสน ผมคงไม่ยอมปล่อยขายไปแน่ๆ ครับ แต่นี่คุณยอมเสี่ยงอันตรายกลับไปตัดเอง และผมก็ไม่เคยเห็นผู้หญิงสวยที่ไหนมาเดิมพันหินแบบนี้ อีกอย่างคุณเป็นคนที่หนิงหนิงแนะนำมา…อย่างนั้นผมให้คุณในราคาหนึ่งแสนห้าหมื่นก็ได้ครับ”

“อะไรนะ?” หนิงชุ่ยฉินขมวดคิ้วพูด “เจ้าสำนักเสี่ยวหมิง นี่นายล้อเล่นหรือเปล่า? หินมีตำหนิแบบนี้ นายยังจะขายตั้งหนึ่งแสนห้าหมื่นเชียวเหรอ?”

“หนิงหนิง เธอไม่เข้าใจธุรกิจการค้าขายหยก อย่าพูดจาเหลวไหลเลย ระวังคนอื่นจะหัวเราะเยาะเอาได้” เริ่นเสี่ยวหมิงพูด

ซีเหมินจินเหลียนครุ่นคิดเล็กน้อย ในใจของเธอคาดไว้ว่าน่าจะสักแสนสองหรือแสนสาม แต่ราคานี้ของเริ่นเสี่ยวหมิงก็ยังพอรับได้ ไม่ได้ห่างไกลจากที่คิดเอาไว้นัก

“หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นแล้วกันค่ะ ฉันจะเอาเลย!” ซีเหมินจินเหลียนทำการต่อรองราคา แม้ว่าราคาที่เริ่นเสี่ยวหมิงให้มาเธอจะพอรับได้ แต่ตามกฎการซื้อขายหินหยก หากไม่ต่อรองราคาสักหน่อยเท่ากับว่าจะไร้สีสันเกินไป

“คุณผู้หญิงท่านนี้ก็จะโหดร้ายเกินไปแล้ว แสนสี่แล้วกันครับ น้อยกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ!” เริ่นเสี่ยวหมิงส่ายหน้าพูด “อย่างน้อยก็ให้เงินผมกินข้าวบ้างเถอะ”

“ตกลงเถอะ แล้วเดี๋ยวคืนนี้ฉันเลี้ยงข้าวนายเป็นไง?” หนิงชุ่ยฉินดวงตาสุกสกาว

ซีเหมินจินเหลียน จ่านป๋ายและเริ่นเสี่ยวหมิงได้แต่เผยยิ้มออกมา พวกเขาก็ไม่เคยเจอคนแบบนี้เวลาซื้อหินหยกที่ไหนะลย

“หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นห้าพันแล้วกันค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนพูด

เริ่นเสี่ยวหมิงส่ายหน้าติดๆ กัน ผ่านการต่อรองราคามาหลายรอบ สุดท้ายราคาก็เคาะที่หนึ่งแสนสองหมื่นห้าพันหยวน ซีเหมินจินเหลียนมองเวลาก็เห็นว่าใกล้จะห้าโมงเย็นแล้ว จึงรีบให้จ่านป๋ายขอบัญชีธนาคารของเริ่นเสี่ยวหมิงและโทรไปให้ทางธนาคารโอนเงินเข้ามา

เมื่อทำธุรกรรมเสร็จ เริ่นเสี่ยวหมิงก็เรียกให้ลูกน้องสองคนช่วยกันขนย้ายหินหยกขึ้นไปบนรถตู้ จากนั้นก็พยายามเว้าวอนให้หนิงชุ่ยฉินอยู่กินข้าวด้วยก่อน แต่หนิงชุ่ยฉินกลับปฏิเสธ

เธอขับรถตู้ทะยานออกไปบนถนนเส้นเล็กและพูดกับซีเหมินจินเหลียนว่า “หลังจากที่นำหินหยกก้อนนี้กลับไปเก็บที่โรงแรม แล้วค่อยไปกินข้าวที่บ้านฉันเป็นไงคะ?”

“อย่าเลย พวกเราไปกินข้างนอกกันดีกว่า เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง” วันนี้ซีเหมินจินเหลียนอารมณ์ดีมาก เธอไม่เพียงแต่ซื้อซากฟอสซิลหยกต้นไม้มา แต่ยังได้เหลืองขนเป็ดโต้เขียวต้นหลิวมาด้วย

“กินข้างนอกจะอร่อยอะไรกัน กับข้าวของแม่ฉัน อร่อยกว่าอีกนะ!” หนิงชุ่ยฉินพูด “เมื่อกี้ฉันโทรไปหาแม่แล้ว ให้เธอเตรียมกับข้าวไว้ ฉันรับเงินของคุณมาตั้งเยอะนะ หากไม่เลี้ยงข้าวคุณสักมื้อคงต้องรู้สึกไม่สบายใจแน่”

“ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องขอฝากท้องไว้ด้วยแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าพูด “และฉันมีอะไรบางอย่างที่อยากจะถามเธอหน่อยน่ะ”

“อ้อ?” หนิงชุ่ยฉินถามอย่างสงสัย “อะไรเหรอ”

“พวกเรายังต้องไปพม่าอีก แต่เรื่องภาษาและประเพณีของทางนั้นพวกเราก็ไม่คุ้นเคยเลย…เธอน่าจะพอรู้ หากนักเดิมพันไม่มีคนคุ้นเคยนำทางไป คงหาช่องทางไม่ได้แน่! ส่วนเรื่องราคาเราก็ตกลงกันได้” ซีเหมินจินเหลียนพูด

หนิงชุ่ยฉินได้ยินดังนั้นแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ไม่นานถึงค่อยปริปากว่า “ช่างเถอะ เดี๋ยวฉันให้แม่ของฉันนำทางพวกคุณไป”

“แม่ของเธอคุ้นเคยกับทางนั้นเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนแปลกใจ

“ชำนาญเลยล่ะ!” หนิงชุ่ยฉินพูด “เธอชอบไปซื้อหินหยกกับลุงของฉันอยู่บ่อยๆ เพียงแต่…หากให้ลุงของฉันพาพวกคุณไป พูดตามตรงนะ ฉันก็ไม่ค่อยเชื่อใจเขา! คุณเป็นคนดี ฉันกลัวว่าเขาจะต้องหลอกคุณแน่!”

จู่ๆ จ่านป๋ายก็หัวเราะขึ้นมา เธอกับซีเหมินจินเหลียนรู้จักกันแค่วันเดียว แต่ก็เชื่อมั่นว่าเธอเป็นคนดีแล้ว?

“แม่ของเธอก็ทำธุรกิจหยกอย่างนั้นเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกสงสัย

“ไม่ใช่หรอก” หนิงชุ่ยฉินส่ายหน้าพูด “หลังจากที่พ่อของฉันตาย แม่ก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อ ลุงของฉันทำธุรกิจหยกและยังเปิดโรงงานแปรรูปหยกสำเร็จรูป แม่ฉันมีฝีมือแกะสลักหยกที่ไม่แพ้ใคร เลยไปทำงานกับลุง โดยปกติเวลาที่ลุงไปซื้อหินหยกก็มักจะพาแม่ฉันไปด้วย จะได้คอยดูแลกัน”

หลังจากที่กลับไปเก็บหินหยกเหลืองขนเป็ดเขียวต้นหลิวเสร็จ ซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายขึ้นรถตู้ของหนิงชุ่ยฉินอีกครั้ง ถนนหนทางค่อนข้างขรุขระ ข้ามผ่านถนนสองสามสายรถถึงจอดอยู่ที่ตรอกซอยเก่าแก่ข้างใน

ซีเหมินจินเหลียนลงจากรถแล้วมองไปรอบด้าน ไม่นานก็ขมวดคิ้วขึ้น สถานที่แห่งนี้…เธอก็รู้สึกคุ้นๆ?

จ่านป๋ายกวาดสายตามองไปรอบๆ ไม่นานก็ฉงนคิดขึ้นมาได้ ที่แห่งนี้ห่างจากซากวิหารเก่าแก่ผุพังของผู้อาวุโสหูไม่ไกล มีบ้านเก่าผนังปูนเปลือยทรุดโทรมแห่งหนึ่ง ปลูกต้นทับทิมเอาไว้ ตอนนี้เหลือแค่กิ่งก้านที่แห้งแก่นยื่นออกมาจากหน้าบ้าน ประตูเหล็กสองบานถูกสนิมเกรอะ…

ท้องฟ้าค่อนข้างมืดลง แสงยามเย็นที่เหลือของพระอาทิตย์ค่อยๆ เลือนหาย ท้องฟ้าทางตะวันตกมีแค่สีแดงกล่ำ

หนิงชุ่ยฉินผลักประตูเหล็กพร้อมตะโกนเรียกว่า “แม่ หนูกลับมาแล้วค่ะ!”

“แกยังรู้จักกลับมาบ้านบ้างนะ?” ข้างในมีเสียงหญิงสาววัยกลางคนพูดตอบกลับมา แต่เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายก็ได้แต่อมยิ้ม “รีบเข้ามาข้างในก่อนเถอะค่ะ”

ซีเหมินจินเหลียนไม่กล้าแม้แต่ขยับฝีเท้า ในบ้านมีต้นทับทิมต้นหนึ่งขนาดเท่าลำแขน แต่บนต้นทับทิมมีหินผิวหินสีเหลืองแดงขนาดใหญ่ตั้งไว้อยู่ เธอคิดว่าหินก้อนนี้น่าจะหนักราวๆ สามถึงสี่ตัน…

และสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเธอก็คือมันเป็นหินหยก

สถานที่อย่างเจียหยางเป็นที่ที่เซอไพรส์คนได้จริงๆ! คิดไม่ถึงว่าภายในบ้านที่ทรุดโทรมจะมีหินหยกขนาดใหญ่เก็บไว้อยู่ด้วย?

และสิ่งที่ทำให้เธออึดอัดใจก็คือ หินหยกของพวกเธอเก็บไว้ในโกดังที่บ้าน แต่หินหยกของพวกเขาก็วางไว้ในบ้านแบบนี้ นี่ก็ไม่กลัวขโมยเหรอ?

แต่เมื่อย้อนคิดกลับไป หินหยกก้อนใหญ่ขนาดนี้ ถึงโจรอยากจะขโมยไปมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าไม่ใช้รถโฟล์คลิฟท์ก็ไม่มีทางได้ย้ายออกไปได้แน่

“สวัสดีค่ะคุณป้า!” ซีเหมินจินเหลียนรีบทักทายและส่งยิ้ม

“ไอหยา ผิวพรรณหนูดีมากเลย!” หญิงกลางคนพูดพลางและยิ้มอ่อนโยนทักไปหาจ่านป๋าย “เข้ามานั่งก่อนสิ! ชุ่ยฉินนี่ก็ไม่รู้เรื่องเลย พาแขกมาก็ไม่โทรบอกไว้ล่วงหน้าก่อน!”

“แม่!” หนิงชุ่ยฉินกระโดดเข้ามานวดคอแม่ของตนและพูด “ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าอาจะหลอกลวงพวกเขา ที่จริงก็คิดจะให้พวกเขาเลี้ยงข้าวฉันอยู่เหมือนกัน!”

“แกว่าอะไรนะ!” แม่ของหนิงชุ่ยฉินหยิกแก้มของเธอและพากันกล่าวขอโทษขอโพยซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋าย

ซีเหมินจินเหลียนเห็นความรักของแม่ลูกคู่นี้แล้ว ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างไม่ทราบสาเหตุ ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ เดินตามคุณแม่หนิงและหนิงชุ่ยฉินเข้าไป คุณแม่หนิงกำลังวุ่นกับการชงชา ซีเหมินจินเหลียนกวาดสายตาชำเลืองมองไปรอบด้าน ตระกูลของหนิงชุ่ยฉินไม่เหมือนครอบครัวคนมีฐานะ ของส่วนใหญ่มักจะชำรุดทรุดโทรมไปบ้าง เมื่อคิดถึงหินก้อนนั้นที่อยู่ข้างนอกในใจก็เต้นระรัวไม่หยุด

“คุณป้าคะ หินก้อนใหญ่ข้างนอกนั้นขายหรือเปล่าคะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้ร

“หา?” คุณแม่หนิงไม่ทันได้พูดอะไร หนิงชุ่ยฉินก็รีบพูดแทรกขึ้น “คุณจะซื้อก้อนนั้นเหรอ? ก้อนนั้นไม่ได้นะ มันคือหิน หากเป็นหยกจริงๆ บ้านฉันคงไม่เอามาตั้งไว้ที่นั่นหรอก ไม่อย่างนั้นบ้านอื่นคงได้พากันมาขโมยไปกันตั้งนานแล้ว”

แม่ของหนิงชุ่ยฉินมองไปที่ซีเหมินจินเหลียนพร้อมถอนหายใจออกมา “ก้อนนั้นก็เป็นหินจริงๆ ไม่มีสีเขียวหรอกจ้ะ หลายครั้งแล้วที่ฉันอยากจะขายมันออกไป แต่…ของที่ไร้ค่าเหมือนขยะนั่นจะมีใครต้องการกัน”