เมื่อคู่รักเหยาทั้งสองคนเดินผ่านไปไกลแล้ว โม่เทียนเกอกดที่ช่องว่างระหว่างคิ้วของนางและในวินาทีถัดมานางก็ได้ออกมาจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน นางจ้องมองไปยังเส้นทางที่ทั้งสองคนเดินเข้าไปและจมอยู่ในห้วงพินิจพิเคราะห์
ซางหรูหว่านอาจจะมองไม่เห็น แต่โม่เทียนเกอมองเห็นได้อย่างชัดเจน สายตาเหยาจื่อซิวเลิ่กลั่กเวลาพูด สิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ได้ตรงกับความรู้สึกของเขาอย่างแน่นอน ยามเขาพูดเกี่ยวกับโม่เทียนเกอ สายตาเขาหมายความถึงอย่างอื่น ถึงแม้ว่าซางหรูหว่านค่อนข้างละเอียดในการสังเกตผู้อื่น แต่นางเชื่อสามีของนางโดยสนิทใจ ดังนั้นนางก็คงจะไม่ทันได้สังเกตถึงสิ่งนั้น
อนิจจา จากบทสนทนานั้น พวกเขาจะต้องตกหลุมรักซึ่งกันและกันมาก มากจนกระทั่งพวกเขาต่างไม่สนใจในความคิดเห็นของคนอื่น ด้วยการหนีตามกันออกจากตระกูลมา ใครจะไปคิดว่าหลังจากอยู่ด้วยกันในสถานะคู่รัก การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จะเกิดขึ้นในคู่ของพวกเขา เหยาจื่อซิวจะต้องมีความรู้สึกที่ไม่พอใจอยู่ภายในใจเขาอย่างแน่นอน ผู้ฝึกตนจะเลิกฝึกตนได้อย่างไร ตอนที่พวกเขาหนีตามกัน บางทีความรู้สึกของเขานั้นคงเต็มไปด้วยความจริงใจ ทว่าในภายหลัง เขากลายเป็นคนที่ไม่ต้องการจะคงอยู่เช่นนั้นตลอดชีวิตอีกต่อไป เขายังต้องการให้ระดับการฝึกตนของเขาสูงขึ้นไปยังดินแดนถัดไป สิ่งที่เขาพูดหมายถึงอะไร ‘ข้าสามารถพาเจ้ากลับไปได้อย่างถูกต้องและเปิดเผย’ ล้านเป็นคำโกหกทั้งสิ้น ความตั้งใจหลักของเขาคือเพิ่มพลังให้กับตัวเอง
หลังจากที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอจึงส่ายหัว นี่เป็นเรื่องของพวกเขา ไม่มีอะไรเกี่ยวกับนาง ทว่าซางหรูหว่านช่างน่าสงสาร ถึงแม้ระดับการฝึกตนของนางนั้นอยู่ในระดับกลางๆ แต่สถานะความคิดของนางนั้นดีกว่าศิษย์หลายคนในกลุ่มการฝึกตนเสียอีก จากบทสนทนาของพวกเขา ต้นทุนของนางก็ไม่ได้แย่เช่นกัน หากนางขยันฝึกตน บางทีนางอาจจะผ่านเข้าสู่ดินแดนใหม่ได้
ความรัก… ย้อนกลับไปในเวลานั้น เทียนเฉี่ยวก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันมิใช่หรือ ในตอนแรก นางก็มีความสุขกับความรักดี ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป เมิ่งซือกุยก็เผยธาตุแท้ของตัวเองออกมา และเทียนเฉี่ยวคนที่สนุกสนานมีชีวิตชีวาน่าหลงใหลก็กลับกลายเป็นคนนิ่งเงียบ ซางหรูหว่านนั้นกลับดูน่าสงสารยิ่งกว่า นางทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างหนีตามกันมา หากนางเสียความรักนี้ไปในวันหนึ่ง นั่นจะไม่หมายถึงว่านางไม่มีอะไรหลงเหลือแล้วหรือ ไม่มีคนรัก ไม่มีตระกูล ไม่มีแม้แต่อนาคตอันอาจจะดูสวยงามในระดับหนึ่ง…
ไม่แปลกใจที่ท่านอาเคยพูดเอาไว้ว่าการอ่อนแอและหลงใหลในความรักเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับหญิงผู้ฝึกตน หากซางหรูหว่านไม่ได้ยึดติดกับอารมณ์ขอนาง บางทีระดับการฝึกตนของนางก็น่าจะพัฒนาไปได้ไกลกว่าระดับการฝึกตนในปัจจุบันโดยมีตระกูลของนางหนุนหลัง เมื่อโม่เทียนเกอนึกถึงเรื่องนี้ นางก็ต้องถอนใจอย่างช่วยไม่ได้
ถึงแม้ว่าเหยาจื่อซิวจะคิดไม่ดีต่อนาง แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าพวกเขาต่างมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน เมื่อสัมผัสได้ว่าทั้งสองคนได้เดินห่างออกไปจากนางพอสมควรแล้ว โม่เทียนเกอจึงปล่อยจิตสัมผัสของนางเพื่อมุ่งไปทางพวกเขา นางซ่อนตัวตนและเข้าไปด้านในตามพวกเขาทั้งสองไป
ในความมืด นางเดินลงไปตามทางเดินหินจากร่องรอยของพวกเขา แต่นางรู้สึกไม่เป็นไรอย่างน่าประหลาด แต่ทว่าบางอย่างทำให้โม่เทียนเกอเป็นกังวล จิตสัมผัสของนางนั้นมุ่งไปทางคู่รักเหยา แต่หลังจากที่พวกเขาก้าวเข้าสู่ประตูหิน นางก็ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงตัวตนของพวกเขาอีกต่อไป
ในขณะที่โม่เทียนเกอกำลังเถียงอยู่กับตัวเองว่านางควรที่จะก้าวเข้าไปในประตูหินหรือไม่ ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ภายใน นางก็พบถึงตัวตนของใครบางคน เป็นที่แน่นอนว่าคนผู้นั้นคือนักพรตฟางเจิ้ง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับเหยาจื่อซิว โม่เทียนเกอจึงคอยระแวดระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม ชั่วขณะที่นางสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของนักพรตฟางเจิ้ง นางก็รีบเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนในทันที
นักพรตฟางเจิ้งบ่นพึมพำ “อา!” หลังจากที่มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวังตัว เขาก็รีบเดินตรงไปที่ประตูหินที่คู่รักเหยานั้นก้าวเข้าไปและตามเข้าไปด้านใน เช่นเดียวกันกับคู่รักเหยา ตัวตนของนักพรตฟางเจิ้งหายไปอย่างไร้ร่องรอยหลังจากที่ก้าวผ่านเข้าประตูหินไป
ชั่วขณะที่โม่เทียนเกอกำลังจะออกมาจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน นางก็พบว่ามีกลุ่มคนห้าคนเข้ามาในห้องโถง นางตรวจสอบพวกเขาโดยใช้จิตสัมผัส จากห้าคนนั้น สองคนเป็นผู้ฝึกตนชายที่อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน และอีกสามคนที่เหลือเป็นผู้ฝึกตนหญิงที่อยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน นางไม่รู้ว่าชายผู้ฝึกตนเป็นสหายกันหรือไม่ แต่ผู้ฝึกตนหญิงทั้งสามนั้นเป็นศิษย์จากกลุ่มการฝึกตนเดียวกันอย่างแน่นอน
บางทีอาจเป็นเพราะม่านพลังข้างนอกนั้นได้ถูกทำลายไปแล้ว แต่เมื่อทั้งห้าคนนี้เข้ามา พวกเขาจึงไม่ได้ดูยากลำบากเหมือนกับพวกเขาทั้งสี่คนนัก
ทั้งห้าคนเดินผ่านเข้าไปในประตูหินพร้อมกัน ชายผู้ฝึกตนสองคนเดินอยู่ด้านหน้าในขณะที่หญิงผู้ฝึกตนสามคนเดินตามอยู่ด้านหลัง หลังจากนั้นไม่นาน โม่เทียนเกอจึงตัดสินใจว่านางควรเดินเข้าไปด้านในเพื่อข่มอารมณ์ตนเอง ในเมื่อม่านพลังข้างนอกนั้นง่ายในการทำลาย ถึงแม้ว่านางจะไม่สามารถครอบครองอะไรได้นางก็คงจะไม่เสียชีวิตของนางไม่ว่าอันตรายที่อยู่ด้านในจะเป็นอะไรก็ตามเพราะนางมีโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน อีกอย่างนางออกมาจากโรงเรียนเพื่อเก็บประสบการณ์ ดังนั้นนางจะต้องไม่ระแวงมากเกินไป ไม่เช่นนั้นการเดินทางนี้ก็จะไม่บรรลุวัตถุประสงค์
โม่เทียนเกอออกมาจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน หลังจากนั้นจึงก้าวเข้าไปที่ประตูหินอย่างไม่ลังเล
ทันทีที่โม่เทียนเกอก้าวเข้าไปด้านใน นางก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนของพลังงานทางจิตวิญญาณธาตุไม้ภายใต้เท้าของนาง ยิ่งไปกว่านั้นพื้นหินก็ขยับในเวลาเดียวกัน ครู่หนึ่งภาพเบื้องหน้าของนางก็มืดลงและสว่างขึ้นในอีกเสี้ยววินาที โม่เทียนเกอพบว่าตัวเองอยู่ภายในโถงเพดานโค้งสูงแห่งหนึ่ง ใต้เท้าของนางเป็นแท่นหินกลมที่ลอยอยู่ในอากาศ ไม่ไกลจากนาง มีแท่นหินที่ลอยอยู่อีกสี่อัน คู่รักเหยาอยู่บนแท่นหนึ่ง นักพรตฟางเจิ้งอยู่อีกแท่นหนึ่ง ชายผู้ฝึกตนสองคนอยู่อีกแท่นหนึ่ง และเช่นเดียวกันกับหญิงผู้ฝึกตนสามคน
แท่นหินทั้งห้านี้เป็นสีทอง เขียว ฟ้า แดง และเหลืองตามลำดับ และพวกมันต่างแผ่พลังงานทางจิตวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งห้าธาตุออกมา แท่นหินที่โม่เทียนเกอยืนอยู่นั้นเป็นสีเขียว แท่นหินของนางเคลื่อนที่ไปยังอีกสี่แท่น ทว่าเมื่อมันเคลื่อนไปจนถึงจุดที่จะรวมกับสี่แท่นที่เหลือให้เป็นทรงห้าเหลี่ยมมันก็หยุดเคลื่อนที่
ช่วงเวลานั้น ซางหรูหว่านผู้ซึ่งนั่งอยู่บนแท่นหินสีแดงดูเหมือนจะไม่ได้เป็นอะไร เมื่อเห็นโม่เทียนเกอยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางตกตะลึง นางก็หัวเราะพร้อมพูดว่า “น้องเล็ก ดีแล้วที่เจ้าเข้ามาที่นี่โดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร”
โม่เทียนเกอรู้ว่าเหยาจื่อซิวนั้นมีเจตนาไม่ดีต่อนาง แต่ซางหรูหว่านนั้นไม่ได้ตระหนักถึงแม้แต่น้อย ดังนั้นนางจึงปฏิบัติต่อโม่เทียนเกออย่างจริงใจเหมือนเดิม โม่เทียนเกอยังรู้สึกอีกว่านางเป็นคนที่ใจดี ดังนั้นนางจึงยิ้มกลับพร้อมกับพูดว่า “ขอบคุณท่านมากที่เป็นห่วงข้า พี่ใหญ่”
หลังจากที่ซางหรูหว่านและโม่เทียนเกอทักทายกันเสร็จ ซางหรูหว่านก็ถามออกมาอย่างเรื่อยเปื่อย “ข้าสงสัยเสียจริงว่าน้องเล็กคิดอย่างไรกับโถงนี้”
โม่เทียนเกอมองไปรอบๆ และตอบ “พี่ใหญ่และสหายนักพรตทั้งหลายเข้ามาก่อนข้า บางทีพวกท่านอาจค้นพบบางอย่างแล้ว”
ซางหรูหว่านยิ้มและชี้ไปยังชายผู้ฝึกตนสองคนบนแท่นหินสีเหลือง “สหายนักพรตลู่และสหายนักพรตหวังบอกว่านี่เป็นแท่นแห่งธาตุทั้งห้าแต่พวกเขาไม่รู้ว่ามันทำงานอย่างไร”
ขณะที่ได้ยินสิ่งที่นางพูด โม่เทียนเกอหันไปจ้องมองยังผู้ฝึกตนทั้งสองคน นางถาม “แท่นแห่งธาตุทั้งห้านี้เป็นเครื่องมือเวทหรือ…”
คนที่สูงกว่าเล็กน้อยระหว่างชายผู้ฝึกตนทั้งสองตอบ “แท่นแห่งธาตุทั้งห้าปรากฏครั้งแรกที่โรงเรียนเทียนเหลียง ซึ่งตั้งอยู่ที่ภูเขาอวี้จู้ของอาณาเขตภูเขาคุนอู๋ ประวัติของมันมีมานานกว่าหลายพันปีก่อน เพราะดินแดนแห่งภูเขาอวี้จู้นั้นปกคลุมไปด้วยป่าหิน ผู้ฝึกตนทุกคนในภูเขาอวี้จู้นั้นพักอาศัยอยู่เหนือเสาหินทั้งนั้น แท่นแห่งธาตุทั้งห้าถูกสร้างขึ้นครั้งแรกเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับศิษย์ที่มีระดับการฝึกตนต่ำและไม่สามารถเหาะได้ที่โรงเรียน”
“อย่างไรก็ตาม มีจารึกไว้ในหนังสือถึงสาเหตุว่าทำไมแท่นแห่งธาตุทั้งห้าถึงถูกเรียกเช่นนี้เพราะแต่ละแท่นหินค่อยๆ พัฒนามาจากม่านพลัง แท่นแห่งธาตุทั้งห้าไม่ได้ถูกควบคุมด้วยมนุษย์ และพวกมันสามารถลอยไปบนภูเขาด้วยรูปแบบที่ถูกจัดวางไว้ อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ลักษณะและการทำงานของแท่นหินเหล่านี้นั้นดูคล้ายกับแท่นแห่งธาตุทั้งห้าที่กล่าวไว้ในหนังสือ แต่ละแท่นหินจะครอบครองหนึ่งในห้าธาตุและมากกว่านั้น มันไม่มีอย่างอื่นอยู่ภายในโถงนี้ นี่มันเหนือกว่าสิ่งที่ข้าเคยเห็นมาก่อน”
เมื่อเขาพูดจบ ชายผู้ฝึกตนข้างเขาก็พูดเสริม “มีสิ่งที่คนสามารถควบคุมได้อยู่เพียงแค่สามประเภทคือ ความหยั่งรู้ของจิตศักดิ์สิทธิ์ พลังงานทางจิตวิญญาณ และโลหิตต้นกำเนิด อย่างไรก็ตามพวกข้าไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา”
เมื่อเห็นว่าเหล่าชายผู้ฝึกตนนั้นสามารถบรรยายถึงที่มาของวัตถุนั้นว่าเกี่ยวข้องกับม่านพลัง พวกเขาจะต้องมาจากกลุ่มการฝึกตนที่เชี่ยวชาญด้านม่านพลังเป็นแน่
หนึ่งในสามผู้ฝึกตนหญิงเป็นผู้ที่แสดงออกถึงความกลัวเป็นคนแรก นางมองไปที่ประตูหินที่ยังไม่ได้ปิดลงหลังจากนั้นจึงพูดด้วยเสียงอันเบาว่า “ศิษย์พี่เหยียน พวกเราไม่มีความเข้าใจในม่านพลังแม้แต่น้อย พวกเราไม่อาจบอกได้เลยว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นเป็นจริงหรือไม่ มันคงจะดีกว่าถ้าพวกเรารีบออกไปจากที่นี่”
ขณะที่ได้ยินคำพูดนี้ ผู้ฝึกตนหญิงอีกคนหนึ่งขมวดคิ้วพร้อมพูดอย่างเห็นด้วย “สิ่งที่ศิษย์น้องอวิ๋นพูดนั้นก็มีเหตุผล อีกอย่างพวกเรายังจัดการเรื่องที่ท่านอาจารย์มอบหมายมาให้ไม่เสร็จสิ้นเลย มันคงจะไม่เหมาะสมถ้าพวกเราจะต้องมาเสี่ยงในตอนนี้”
ในเมื่อทั้งสองคนพูดเช่นนี้ คนที่ถูกเรียกว่า ศิษย์พี่เหยียนจึงพยักหน้าพร้อมพูดว่า “หากเป็นเช่นนั้น พวกเราควรที่จะทำภารกิจให้เสร็จสิ้นเสียก่อน”
อย่างไม่คาดคิด หลังจากที่นางพูดเช่นนั้น แท่นหินข้างใต้พวกนางก็ลอยไปทางประตูหินทำให้ทั้งสามคนต้องอ้าปากค้างไปด้วยความประหลาดใจ เมื่อแท่นหินไปถึงที่ประตูทั้งสามคนต่างมองหน้ากัน ศิษย์พี่เหยียนคนนั้นพูดขึ้นมา “ลองนึกว่าหากอยากจะกลับไปตรงนั้นดูสิ”
ทั้งสามคนตกลงอย่างพร้อมเพรียงกัน หลังจากนั้นแท่นหินก็ลอยกลับไปยังจุดเดิม
ทุกคนในห้องโถงนั้นมีสีหน้าดีใจ ทว่าในเสี้ยววินาทีถัดมาใบหน้าก็ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มอันแสนขมขื่น ซางหรูหว่านยังคงมีรอยยิ้มเจื่อนอยู่บนใบหน้าและพูดว่า “ถึงแม้พวกเราจะรู้ว่าจะควบคุมมันอย่างไร แต่ก็ไม่รู้ว่าควรไปที่ไหนอยู่ดี”
บางอย่างทำให้ทุกคนประหลาดใจ หลังจากที่ซางหรูหว่านพูด “พวกเราควรไปที่ไหน” เสียงนั้นก้องกังวานอยู่ในห้องโถง ลำแสงสีขาวส่องอยู่ด้านหน้าทุกคน และพวกเขาต่างมองเห็นตัวอักขระสี่ตัวอักษรขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นตรงกลางโถง โม่เทียนเกอบังเอิญอยู่ตรงข้ามกับซางหรูหว่านดังนั้นนางจึงเห็นสี่คำนี้กลับหลัง วันนี้ชีวิตนิรันดร์
วันนี้ชีวิตนิรันดร์
โม่เทียนเกอมีเวลาเพียงแค่มองผ่านคำเหล่านี้ด้วยความหยั่งรู้ของจิตศักดิ์สิทธิ์ของนางก่อนนางจะรู้สึกว่าแท่นหินของนางนั้นเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง แท่นหินอื่นๆ ต่างก็เคลื่อนไหวเหมือนนางเช่นกัน ต่างหมุนรอบด้วยความเร็วสูงโดยมีตรงกลางของห้องโถงเป็นศูนย์กลางของการหมุนวน กระแสลมพายุที่พวกเขาผ่านเข้ามาตอนที่เข้าสู่หุบเขากลับพวยพุ่งขึ้นมาใส่จากเหวลึกใต้แท่นหินอย่างไม่คาดคิด
โม่เทียนเกอต้องการปล่อยพลังงานป้องกันร่างตัวเอง แต่ทันใดนั้นนางก็เห็นรังสีสีเขียวโผล่ออกมาตรงขอบของแท่นหิน หลังจากนั้นไม่นาน นางก็รู้สึกว่าพื้นที่นางยืนอยู่หายไป ส่งผลให้นางเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวออกมาตามสัญชาตญาณ เมื่อนางเรียกคืนสติกลับมาได้แล้ว ก็พบว่าห้องโถงนั้นหายไป แท่นแห่งธาตุทั้งห้าหายไป แม้กระทั่งผู้คนที่ยืนอยู่ข้างนางก่อนหน้านี้ก็หายไปเช่นเดียวกัน