ตอนที่ 158-2 วันนี้ชีวิตนิรันดร์

ลำนำสตรียอดเซียน

นางได้กลับออกมาที่หุบเขาเขียวขจีใต้แสงอาทิตย์อีกครั้ง ใต้เท้านางคือผ้าเช็ดหน้าไหมขาว รูปปั้นหินในหุบเขายังคงเป็นรูปปั้นหินเช่นเดิม ทว่าทางเข้าถ้ำกลับหายไป ในทางกลับกัน ตอนนี้กลับมีแท่นหินมากมายเรียงรายเสมือนเป็นบันไดบนกำแพงซึ่งดูลาดชัน ยิ่งไปกว่านั้น แท่นแห่งธาตุทั้งห้าหลายแท่นต่างลอยอยู่เหนือหุบเขานั้น และแต่ละแท่นแห่งธาตุทั้งห้าก็ประกอบไปด้วยวงแหวนห้าสี ต้นไม้ในหุบเขาก็ไม่ได้ดูเล็กและเตี้ยอย่างที่เคยเป็น ตอนนี้พวกมันทั้งสูงและใหญ่โตมโหฬาร ต้นไม้แต่ละต้นนั้นเชื่อมต่อกันด้วยสะพานไม้ที่ทำจากการถักทอของเถาวัลย์

 

 

เทียบกับก่อนหน้านี้ ไม่เพียงแต่หุบเขาจะมีพลังงานทางจิตวิญญาณที่เพิ่มมากขึ้น แต่ยังมีพลังงานของมนุษย์มากขึ้นด้วยเช่นกัน นี่ทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกว่าไม่แน่ในอีกเสี้ยววินาที หญิงที่เกล้าผมสูงปักปิ่นรูปหงส์และสวมเสื้อตัวสั้นเปิดช่วงไหล่ที่สวยงามพร้อมกระโปรงที่พลิ้วไหวน่าจะปรากฏกายขึ้นเหนือแท่นหินใดแท่นหินหนึ่งจากบันไดบนกำแพงที่ดูลาดชันนั่น

 

 

เพียงแค่ความคิดชั่ววูบนี้ผ่านเข้ามา หญิงที่แต่งกายเช่นเดียวกับที่โม่เทียนเกอนึกก็ปรากฏออกมาเหนือแท่นหินตรงกลางบันไดกำแพงภูเขา หญิงผู้นั้นก้าวขึ้นบนแส้หางม้าและลอยมาหานางด้วยความเร็วสูง โม่เทียนเกอรอ เตรียมตัวที่จะต่อสู้ ทว่าหญิงนางนั้นกลับพูดว่า “สหายนักพรต ท่านเห็นศิษย์น้องสองคนที่มากับข้าบ้างหรือไม่”

 

 

โม่เทียนเกอพิจารณาหญิงนางนั้นอย่างระมัดระวัง ถึงแม้ว่าเสื้อผ้าของนางจะแตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง แต่หญิงผู้นี้คือคนเดียวกันกับหญิงแซ่เหยียนในโถงเมื่อครู่นี้อย่างแน่นอน มันเป็นเพราะเสื้อผ้าเหล่านี้ นางจึงดูสง่างามมีเสน่ห์มากขึ้นกว่าเดิมนัก

 

 

โม่เทียนเกอถามด้วยความประหลาดใจ “สหายนักพรตเหยียน ทำไมท่านถึงแต่งตัวเช่นนี้เล่า”

 

 

หญิงแซ่เหยียนผู้นั้นดูประหลาดใจเล็กน้อย “ท่าน ท่านก็เหมือนกันกับข้ามิใช่หรือ”

 

 

ทันทีที่โม่เทียนเกอกำลังจะปฏิเสธ นางก็รู้สึกถึงความเย็นเล็กน้อยบนบ่านาง นางก้มลงมองสำรวจว่านางผู้ซึ่งเมื่อครู่นี้ยังคงสวมใส่ชุดคลุมยาวแขนกว้าง ตอนนี้กลับกำลังใส่เสื้อสั้นตัวเล็ก กระโปรงยาวเฉกเช่นหญิงแซ่เหยียน อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ชุดของหญิงผู้นั้นเป็นสีทองสุกสกาวเช่นเดียวกับแท่นหินก่อนหน้านี้ ชุดของโม่เทียนเกอนั้นเป็นสีเขียวสดใส

 

 

ในขณะที่นึกย้อนกลับไปว่าชุดของนางนั้นเปลี่ยนไปหลังจากที่หญิงแซ่เหยียนโผล่ออกมา โม่เทียนเกอถาม “สหายนักพรตเหยียน เสื้อผ้าของท่านเปลี่ยนเป็นเช่นนี้หลังจากที่ท่านเข้ามาที่นี่อย่างนั้นหรือ”

 

 

หญิงแซ่เหยียนนึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบ “ตอนที่ข้ามาถึงที่นี่และพบว่าศิษย์น้องกับข้าแยกกันไปคนละที่ ก็ดูเหมือนว่าเสื้อผ้าของข้าไม่ได้เปลี่ยนไป ดูเหมือนว่ามันเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้ตอนที่ข้าเดินมาบนแท่นหิน”

 

 

โม่เทียนเกอถามต่อ “หากเป็นเช่นนั้น ตอนที่สหายนักพรตเหยียนเห็นข้า ข้าใส่ชุดนี้อยู่หรือไม่”

 

 

หญิงคนนั้นขมวดคิ้ว นางตอบ “อืม… ข้าก็ไม่มั่นใจ”

 

 

ท่าทางของโม่เทียนเกอเปลี่ยนไป ความหยั่งรู้ของจิตศักดิ์สิทธิ์สามารถสร้างให้เกิดผลที่ยิ่งใหญ่อย่างยิ่งที่นี่

 

 

นางครุ่นคิดครู่หนึ่งแต่นางก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นได้อย่างชัดเจนว่าหลังจากที่นางโผล่มาที่นี่และเห็นรูปปั้นหิน ความหยั่งรู้ของจิตศักดิ์สิทธิ์ภายในจิตใจของนางตื่นขึ้นและภาพเบื้องหน้าของนางจึงกลายเป็นเหมือนสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจของนาง

 

 

ม่านพลังมายา นี่เป็นม่านพลังมายา! นางและเว่ยจยาซือเคยมีประสบการณ์กับม่านพลังมายาในช่วงการจลาจลสัตว์ปีศาจ แต่เมื่อเทียบกับม่านพลังนี้ ม่านพลังนั้นดูหยาบไร้ซึ่งความละเอียดโดยสิ้นเชิง โม่เทียนเกอนึกย้อนไปถึงตอนที่นางเจอเข้ากับม่านพลังมายาครั้งนั้นนางสามารถทำลายมันได้ทันทีที่นางติดเข้าไปด้านใน แต่อย่างไรก็ตาม กับม่านพลังที่นางกำลังเผชิญอยู่นี้ นางรู้แน่นอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นสิ่งจอมปลอม แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในม่านพลังนี้กลับดูไร้ที่ติทีเดียว

 

 

เมื่อเห็นท่าทางของโม่เทียนเกอที่เปลี่ยนไป หญิงแซ่เหยียนก็ขมวดคิ้ว “ท่านสหายนักพรต มีสิ่งใดที่ผิดปกติหรือ”

 

 

โม่เทียนเกอสูดหายใจลึก ในขณะที่นางสำรวจไปรอบๆ นางพูด “สหายนักพรต ท่านไม่รู้หรือว่าสิ่งที่พวกเราคิดนั้นกลายเป็นจริง”

 

 

เมื่อความคิดแวบเข้าไปในจิตใจของนาง จากพื้นหญ้า สัตว์วิเศษที่คล้ายกับเสี่ยวหั่วก็ปรากฏขึ้นและพุ่งตรงเข้ามาหานาง โม่เทียนเกอยื่นมือออกไปลูบหัวเจ้า “เสี่ยวหั่ว” ตัวนี้ มันให้ความรู้สึกสัมผัสที่นุ่มดั่งเช่นเป็นตัวจริง

 

 

ท่าทางของหญิงแซ่เหยียนนั้นเปลี่ยนแปลงไปในทันทีที่ได้ยินโม่เทียนเกอพูด นางครุ่นคิดอยู่ระยะหนึ่งหลังจากนั้นจึงประกบมือทำท่ามุทรา คมดาบวายุปรากฏออกมาและพุ่งไปทาง “เสี่ยวหั่ว” อย่างไม่คาดคิด “เสี่ยวหั่ว” ตัวนี้กระโดดหลบพร้อมพ่นไฟหยางแท้อันร้อนแรงออกมา

 

 

“อ้า!” หญิงแซ่เหยียนผู้นั้นกระโดดหลบออกข้างทาง นางตะโกนไปที่โม่เทียนเกอ “สหายนักพรต นี่ไม่จริงอย่างนั้นหรือ”

 

 

โม่เทียนเกอขยับมือ กระสวยอัปสราก็เปลี่ยนเป็นรังสีสีทองซึ่งจับเจ้า “เสี่ยวหั่ว” เอาไว้ตรงกลาง หลังจากนั้นนางจึงใช้ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณเพื่อกด “เสี่ยวหั่ว” ลงอย่างไร้ความปรานี เจ้าสัตว์วิเศษระดับสองร้องคร่ำครวญและล้มลงกับพื้น

 

 

ในขณะที่นางจ้องมองซากของเจ้า “เสี่ยวหั่ว” โม่เทียนเกอพูดอย่างช้าๆ “นี่เป็นของปลอม”

 

 

หญิงแซ่เหยียนมองมาทางนางอย่างประหลาดใจ นางทดสอบด้วยตัวเองแล้ว นี่เป็นสัตว์วิเศษระดับสองแน่นอน อย่างไรก็ตาม เมื่อโม่เทียนเกอขยับ มันก็ถูกฆ่าโดยไม่โต้ตอบแม้แต่น้อย

 

 

“มันจะเป็นของปลอมได้อย่างไร”

 

 

ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เสี่ยวหั่วตัวจริง โม่เทียนเกอก็ยังคงขมวดคิ้วและหันกลับเพื่อเลี่ยงการมองไปที่ซากที่แหลกเหลวของสัตว์วิเศษนั้น หลังจากนั้นนางจึงอธิบายให้กับหญิงนางนั้นฟัง “ข้าไม่ได้นำสัตว์วิเศษมาด้วยในการเดินทางครั้งนี้ ข้าเพียงแค่ลองดู แล้วก็เป็นเช่นนั้น เมื่อข้านึกถึงสัตว์วิเศษ มันก็นำรูปร่างลักษณะสัตว์วิเศษของข้าออกมา ยิ่งไปกว่านั้น แม้กระทั่งระดับการฝึกตนของพวกมันก็เหมือนกันด้วย”

 

 

ข้อบกพร่องของภาพมายานี้คือหลังจากที่เสี่ยวหั่วเข้าสู่ระดับสอง ไฟหยางแท้อันร้อนแรงของมันได้เปลี่ยนเป็นไฟสุริยัน อย่างไรก็ตาม เสี่ยวหั่วตัวปลอมนี้มีรูปร่างลักษณะของสัตว์วิเศษไฟนรกระดับสองจริง เมื่อรู้ถึงความจริงข้อนี้ รอยย่นก็ปรากฏบนคิ้วของโม่เทียนเกออีกครั้ง นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าของม่านพลังมายานี้สร้างม่านพลังขึ้นมาโดยอิงจากความคิดของพวกเขาเอง แต่นี่ก็แสดงให้เห็นถึงปัญหาที่สำคัญยิ่งกว่า เจ้าของม่านพลังมายานี้มีความรู้ที่เข้าขั้นลึกซึ้ง ไม่ว่าความคิดของคนที่เข้ามาในม่านพลังนี้จะเป็นอะไรก็ตาม เขาก็สามารถสร้างมันออกมาได้ทั้งหมด!

 

 

ข้อเท็จจริงนี้ยิ่งน่ากลัวกว่าพลังของม่านพลังมายาเองเสียอีก การมีอยู่ของม่านพลังมายานี้แสดงให้เห็นว่าเจ้าของม่านพลังนั้นมีความเชี่ยวชาญในม่านพลังมาก ทุกม่านพลังสามารถทำลายได้ แต่ด้วยความรู้ของเขา เขาสามารถทำให้ม่านพลังนี้ไร้ที่ติ! อีกอย่าง ในอีกมุมมองหนึ่ง ใครจะสามารถมีความรู้ที่ลึกซึ้งเช่นนี้ได้ เขาสามารถสร้างสิ่งเลียนแบบจากความคิดของผู้คนได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีเพียงแค่บางอย่างซึ่งผ่านการเปลี่ยนแปลงที่แปลกๆ และเขาไม่สามารถเลียนแบบได้ นี่มันแย่มากทีเดียว!

 

 

ยิ่งโม่เทียนเกอคิดลึกเข้าไปมากเท่าไหร่ โม่เทียนเกอก็ยิ่งรู้สึกว่าเจ้าของม่านพลังนั้นเกินความคาดหมายของนาง สุดท้ายแล้วหน้าผากของนางนั้นก็ชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ

 

 

ส่วนหญิงแซ่เหยียน ถึงแม้ว่านางจะได้ยินคำอธิบายของโม่เทียนเกอ นางก็ไม่เข้าใจว่าทำไมโม่เทียนเกอจึงมีท่าทางเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงเต็มไปด้วยความสงสัย อย่างไรก็ตามวิธีที่โม่เทียนเกอฆ่าสัตว์วิเศษระดับสองได้อย่างง่ายๆ นั้น ทำให้นางเห็นว่าความแข็งแกร่งของโม่เทียนเกอนั้นค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนขั้นกลางของระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานทั่วไป ทำให้นางรู้สึกเกรงกลัวต่อโม่เทียนเกออย่างช่วยไม่ได้

 

 

“น้องเล็กคือเหยียนรั่วซูแห่งสภาปี้เซวียน ข้าขอทราบชื่อของพี่ใหญ่ได้หรือไม่ แล้วท่านพี่ใหญ่สังกัดกลุ่มใดหรือ” ก่อนหน้านี้นางเรียกโม่เทียนเกอว่า “ท่าน” หรือ “สหายนักพรต” แต่ตอนนี้นางเรียกตัวเองว่า “น้องเล็ก” และเรียกโม่เทียนเกอว่า “พี่ใหญ่” เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่านางพยายามที่จะวางตัวให้ใกล้ชิดมากขึ้น

 

 

โม่เทียนเกอตอบอย่างเฉยเมย “ข้าเยี่ยเสี่ยวเทียน กลุ่มของข้าไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก คิดว่าท่านสหายนักพรตคงจะไม่รู้จัก”

 

 

เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เฉยเมยและท่าทางที่ไม่ต้องการตอบว่ามาจากกลุ่มไหนของโม่เทียนเกอ เหยียนรั่วซูรู้สึกโกรธเล็กน้อย แต่เมื่อพิจารณาว่าโม่เทียนเกอสุขุมเยือกเย็นอย่างไรเมื่อเผชิญกับปัญหาในขณะนี้ นางก็ลดความโกรธลง

 

 

“ท่านพี่ใหญ่เยี่ย เกิดอะไรขึ้นที่นี่”

 

 

“นี่น่าจะเป็นม่านพลังมายา” โม่เทียนเกอก้มลงมองตัวเองหลังจากนั้นจึงหลับตาและนึกถึงบางอย่าง เมื่อนางลืมตาขึ้นอีกครั้ง เป็นไปตามที่นางคาด เสื้อผ้าของนางเปลี่ยนกลับเป็นชุดของนางก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว

 

 

“ม่านพลังมายา” เหยียนรั่วซูหันมองไปรอบๆ เมื่อนางคิดว่าพันธุ์พืชและสัตว์ต่างๆ นั้นไม่ใช่ของจริง นางก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเราควรทำอย่างไรดี”

 

 

“ตอนนี้ยังไม่มีอะไรที่พวกเราจะทำได้” โม่เทียนเกอหยิบผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและกระสวยอัปสราของนางออกมา ตอนนี้นางเตรียมตัวที่จะพบกับศัตรูแล้ว นางหันกลับไปมองที่หญิงคนนั้นและพูด “ไปเถอะ พวกเราควรตามหาคนอื่นก่อน หลังจากที่เจอพวกเขาพวกเราค่อยคิดวว่าควรทำอย่างไต่อไป”

 

 

“ตกลง…” เหยียนรั่วซูก็ไม่สามารถนึกถึงหนทางอื่นได้ ดังนั้นนางจึงพยักหน้าตามอย่างช่วยไม่ได้

 

 

หลังจากที่เดินมาครู่หนึ่ง เหยียนรั่วซูถาม “พี่ใหญ่เยี่ย ท่านเดินทางมาที่โลกมนุษย์เพื่อจัดการธุระบางอย่างเช่นกันอย่างนั้นหรือ”

 

 

โม่เทียนเกอกำลังเดินและตั้งสมาธิในการสำรวจสถานการณ์ไปด้วย ดังนั้นเมื่อนางได้ยินคำถามของเหยียนรั่วซู นางจึงทำเพียงแค่เสียงฮึดฮัดแทนการตอบ

 

 

เหยียนรั่วซูพูดต่อ “เช่นนั้นนี่ก็ช่างบังเอิญนัก! พวกข้าสามคนได้รับคำสั่งจากท่านอาจารย์ให้มาที่โลกมนุษย์เพื่อจัดการเรื่องบางอย่าง พวกเราบังเอิญพบเข้ากับสถานที่แห่งนี้ซึ่งมีการรั่วไหลของพลังงานทางจิตวิญญาณ ดังนั้นพวกเราจึงลองมาดู พี่ใหญ่เยี่ย ท่านมาจัดการธุระประเภทใดหรือ ถ้าเป็นไปได้ ทำไมพวกเราไม่ร่วมเดินทางไปด้วยกันเล่า”

 

 

หญิงผู้นั้นพูดเก่งทีเดียว โม่เทียนเกอขมวดคิ้วพร้อมพูดว่า “ท่านอาจารย์ของข้าสั่งให้ออกจากภูเขาและท่องเที่ยวไปทั่ว ดังนั้นข้าเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจุดหมายต่อไปของข้าจะเป็นที่ไหนเช่นกัน”

 

 

“อา! ถ้าเช่นนั้นจะไม่ดีกว่าหรือที่พี่ใหญ่เยี่ยจะเดินทางไปกับพวกเรา พวกเราเป็นหญิงทั้งหมด มีหลายเรื่องที่พวกเราสามารถคุยกันได้ พี่ใหญ่เยี่ย…”

 

 

ในขณะที่หญิงนางนั้นพูดพล่ามไปเรื่อย โม่เทียนเกอก็แอบทำหน้าบึ้ง นางรู้ว่าสภาปี้เซวียนเป็นกลุ่มการฝึกตนแบบไหน ตามรายงาน กลุ่มการฝึกตนนั้นรับแต่เพียงผู้หญิง ก่อตั้งขึ้นในสถานที่ลับและไม่ค่อยได้ติดต่อกับโลกภายนอก เป็นกลุ่มการฝึกตนที่ลึกลับพอสมควร พลังของพวกเขานั้นไม่ได้มหาศาลแต่ก็ไม่ได้น้อย พลังของพวกเขานั้นเหมือนกับสำนักอวิ๋นอู้และสำนักจื่อซย่าไม่มากก็น้อย

 

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เหยียนรั่วซูปฏิบัติต่อโม่เทียนเกออย่างนิ่งเฉย แต่ตอนนี้นางกลับวางตัวเป็นกันเองอย่างที่สุด นั่นเป็นเพราะนางอยู่ที่นี่คนเดียวและนางเห็นว่าระดับการฝึกตนของโม่เทียนเกอนั้นสูงกว่านาง นางจึงพยายามทำตัวเข้าใกล้โม่เทียนเกอ

 

 

ความจริงแล้วเหยียนรั่วซูไม่จำเป็นที่จะต้องทำเช่นนี้ โม่เทียนเกอไม่ได้มีนิสัยที่จะละทิ้งสหายร่วมทางของนาง ตอนนี้มีเพียงแค่พวกนางสองคน หากมีอันตรายขึ้นมา นางก็จะช่วยเหลือเหยียนรั่วซูอยู่แล้ว

 

 

“สหายนักพรตเหยียน ท่านกับสหายของท่านมีวิธีที่จะสามารถติดต่อกันได้หรือไม่” โม่เทียนเกอตัดบทเหยียนรั่วซู

 

 

เหยียนรั่วซูหยุดครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้า “พวกเรามีเครื่องรางเรียกขานแบบกลุ่มอยู่”

 

 

ที่เรียกว่าเครื่องรางเรียกขานแบบกลุ่มนั้นเป็นวิธีที่ศิษย์ของกลุ่มการฝึกตนเดียวกันสามารถส่งข้อความหากันเองได้ เครื่องรางเรียกขานนี้ต่างจากเครื่องรางเรียกขานแบบเดี่ยวซึ่งจะต้องใช้วิธีเฉพาะ ในกรณีที่มีการเรียก ศิษย์ทุกคนที่อยู่ในกลุ่มซึ่งอยู่ในขอบข่ายจะสามารถรับข้อความได้ สำหรับโม่เทียนเกอเองนั้นก็มีเครื่องรางเรียกขานแบบกลุ่มที่ครอบครองอยู่หลายอัน ศิษย์ทุกคนที่ออกจากภูเขาได้รับมันบ้าง อย่างไรก็ตาม การสร้างนั้นไม่ง่าย ฉะนั้นหากไม่ใช่เรื่องที่เร่งด่วนก็จะดีกว่าที่ไม่ใช้มัน

 

 

เมื่อโม่เทียนเกอได้ยินคำตอบของเหยียนรั่วซู นางจึงพูด “ถ้าอย่างนั้น สหายนักพรตเหยียนลองส่งข้อความในเครื่องรางเรียกขานแบบกลุ่มดู การมองหาพวกเขาจะเป็นเรื่องยากถ้าพวกเราตามหาแบบมืดบอดเช่นนี้”