เหยียนรั่วซูส่งเครื่องรางเรียกขานแบบกลุ่มออกไป อย่างไรก็ตาม เครื่องรางเรียกขานนั้นเพียงลอยขึ้นและบินวนรอบๆ อยู่ครู่เดียวก่อนมันจะตกลงในมือของเหยียนรั่วซูอีกครั้ง
“นี่…” เหยียนรั่วซูรู้สึกงุนงงเล็กน้อยว่านางควรทำอย่างไรดี
โม่เทียนเกอนิ่วหน้าและจึงพูดว่า “ช่างมันเถอะ ดูเหมือนว่าภายในม่านพลังมายานี้แม้แต่เครื่องรางเรียกขานก็ไร้ประโยชน์” ในเมื่อนี่คือม่านพลังมายา เป็นปกติที่การกระทำของพวกนางต้องมีขีดจำกัด ครั้งนี้นางควรจะทำอย่างไรดี หากทั้งหุบเขานี้เป็นม่านพลังมายา แล้วทางออกอยู่ที่ไหนกัน
หุบเขานี้ล้อมรอบไปด้วยหน้าผา จึงมีแค่เพียงท้องฟ้า… โม่เทียนเกอเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้า แต่ก็ส่ายหน้าทันทีในเวลาต่อมา ถึงแม้ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานจะสามารถบินได้ แต่ท้องฟ้าก็น่าจะยังอยู่ในขอบเขตของม่านพลังมายานี้อยู่ดี
ทั้งสองคนเดินร่อนเร่ทั่วหุบเขา แต่หลังจากไม่สามารถหาคนอื่นๆ เจอได้ พวกนางจึงกลับไปที่รูปปั้นหินและนั่งอยู่บนแท่นบูชา
เมื่อเห็นว่าโม่เทียนเกอยังคงสงบนิ่งแม้จะติดอยู่ในนี้ เหยียนรั่วซูจึงค่อยๆ พึ่งพาโม่เทียนเกอโดยไม่รู้ตัว เพื่อจะคลายความวิตกกังวลของนางลง นางจึงลากโม่เทียนเกอเข้าบทสนทนา
ปรากฏว่าพวกนางผู้ฝึกตนหญิงทั้งสามคนจากสภาปี้เซวียนก่อนหน้านี้ก็ได้รีบเร่งมาที่นี่พร้อมๆ กับโม่เทียนเกอ แต่โม่เทียนเกอเร่งความเร็วของนางในตอนหลัง ดังนั้นพวกนางจึงตามหลังมาล่าช้ากว่า
บางทีอาจจะเป็นหนึ่งชั่วโมงหลังจากที่โม่เทียนเกอ นักพรตฟางเจิ้งและคนอื่นๆ เข้าไปในหุบเขา กลุ่มของเหยียนรั่วซูและผู้ฝึกตนชายอีกสองคนก็ได้เจอกันบนหน้าผาแห่งนั้นเช่นกัน ผู้ฝึกตนชายสองคนแซ่ลู่และแซ่หวังก็เป็นผู้ฝึกตนจากกลุ่มการฝึกตนเดียวกัน พวกเขาได้รู้จากผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังงานวิญญาณบนหน้าผานั้นว่ามีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานสี่คนได้เข้าไปในหน้าผาด้วยกันเรียบร้อยแล้วและมีลมพายุ อากาศพิษ และอื่นๆ อีกมากมายในหุบเขา ดังนั้นทั้งห้าคนจึงรวมกลุ่มและเข้าไปในหุบเขาด้วยกัน
ไม่เหมือนกับกลุ่มของโม่เทียนเกอ ทั้งห้าคนที่นำทางโดยผู้ฝึกตนชายสองคนได้วางม่านพลังเพื่อต้านทานลมพายุ แต่ทว่าม่านพลังซึ่งถูกวางตามตำแหน่งเข็มทิศจะดีกว่าผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของโม่เทียนเกอได้อย่างไร พวกเขาลงไปได้แค่ประมาณร้อยจั้งก็ต้านทานลมพายุได้ยากลำบากแล้ว พอถึงจุดนั้น พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่จู่ๆ ลมพายุก็อ่อนแรงลงกะทันหัน ทำให้พวกเขาสามารถร่อนลงที่หุบเขาได้อย่างราบรื่น เมื่อมาถึงหุบเขา ก็พบว่าหุบเขานั้นเงียบสงบและสวยงามอย่างไม่น่าเชื่อราวกับแดนสวรรค์ แตกต่างจากลมพายุและอากาศพิษแสนอันตรายข้างบนนั้นอย่างสิ้นเชิง พวกเขาเพียงแค่มองรอบๆ หุบเขาอยู่พักหนึ่งก่อนจะเจอรูปปั้นหินนี้
ถึงตอนนี้โม่เทียนเกอก็พอจะรู้คร่าวๆ แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากนางถูกลมพายุพัดพา ก็หมดสติไปชั่วครู่ หลังจากนั้นนางเจอเข้ากับรูปปั้นหินแล้วจึงทำลายม่านพลัง ผลก็คือลมพายุอ่อนกำลังลงและส่งผลให้พวกเขาทั้งห้าคนสามารถเข้ามาถึงหุบเขาได้อย่างราบรื่น
หลังจากตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น โม่เทียนเกอยิ่งรู้สึกไม่มั่นใจมากขึ้น ม่านพลังนั้นอายุหลายพันปีแล้ว มันสูญเสียพลังดั้งเดิมของมันไปนานแล้วเพราะงั้นนางจึงสามารถทำลายมันได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่เคยคาดคิดว่ามันจะมีผลกับลมพายุในหุบเขาด้วย ถ้าเป็นเช่นนั้น นั่นไม่ได้หมายความว่าพลังดั้งเดิมของม่านพลังนี้ยิ่งน่าเกรงขามมากกว่าที่นางจินตนาการไว้ก่อนหน้านี้อีกหรือ
เส้นเลือดวิญญาณลับเส้นเล็ก ม่านพลังบนแท่นบูชา แท่นแห่งธาตุทั้งห้าลึกลับ และม่านพลังมายาที่พวกนางไม่สามารถตื่นจากมันได้ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าทุกสิ่งเป็นของปลอมแปลง แสดงให้เห็นว่าเจ้าของของสถานที่แห่งนี้เป็นคนที่น่ากลัวมาก! ยิ่งไปกว่านั้น หุบเขานี้ก็สวยงามราวกับสวรรค์อย่างเห็นได้ชัด ทว่าอากาศด้านบนที่สูงขึ้นไปถูกปกคลุมไปด้วยสารพิษและลมพายุ ประหนึ่งว่าจงใจทำให้เป็นเช่นนั้นเพื่อที่คนจะได้ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของที่นี่ เมื่อรวมเรื่องพวกนี้ทั้งหมดเข้าด้วยกัน สถานที่แห่งนี้ที่จริงแล้วฟังดูเหมือนสถานที่ซึ่งผู้เยี่ยมยุทธ์อาศัยอยู่อย่างสันโดษ
อย่างไรก็ตาม แล้วรูปปั้นหินกับแท่นบูชาควรจะตีความได้ว่าอย่างไร ทั้งสองสิ่งนั้นอยู่ด้วยกันในจุดเดียวเหมือนว่าพวกมันเป็นส่วนหนึ่งของพิธีบูชาเทพเจ้าของโลกมนุษย์ แต่กลับมีร่องรอยของผู้ฝึกตนอยู่ทั่วทุกแห่งในสถานที่นี้ เป็นไปได้ไหมว่าเคยมีมนุษย์ธรรมดาอยู่ในหุบเขานี้ และพวกเขาก็นับถือผู้ฝึกตนที่อาศัยอยู่ที่นี่ในฐานะเทพเจ้าและบูชาพวกเขา
ขณะที่โม่เทียนเกอกำลังครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้หลายๆ อย่าง เหยียนรั่วซูยังคงพูดพล่ามต่อไปไม่หยุด โม่เทียนเกอรู้สึกรำคาญดังนั้นนางจึงยืนขึ้นทันทีและเรียกเสียงดัง “สหายนักพรตเหยียน”
เหยียนรั่วซูตกใจ
“เราควรแยกกันตามหาคนอื่น ถ้าเราเจอเข้ากับคนอื่นๆ เราจะมาพบกันที่นี่อีกครั้ง”
“นี่…” เหยียนรั่วซูรู้สึกยุ่งยากใจเล็กน้อย หากนางต้องเดินไปเอง ก็ค่อนข้างน่ากลัวอยู่เหมือนกัน
ครั้นเห็นความกลัวฉายอยู่ทั่วหน้าเหยียนรั่วซูเช่นเดียวกับความอายเกินกว่าจะพูดอะไรของนาง โม่เทียนเกอจึงใจอ่อนลง ที่จริงโม่เทียนเกอเห็นว่าเหยียนรั่วซูที่อ่อนแอเกินเหตุนั้นขวางหูขวางตา แต่เหยียนรั่วซูก็ไม่ได้เป็นอะไรนอกจากเป็นผู้หญิงขี้กลัวที่ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร
โม่เทียนเกอลดน้ำเสียงอ่อนลงและพูดว่า “ถ้าสหายนักพรตคิดว่ามันลำบาก เจ้าจะอยู่ที่นี่รอข้าก็ได้ ข้าจะกลับมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
สิ่งที่โม่เทียนเกอพูดทำให้เหยียนรั่วซูพยักหน้าด้วยความขอบคุณ “ตกลง พี่ใหญ่เยี่ย ท่านต้องระวังตัวนะ”
โม่เทียนเกอยิ้มน้อยๆ ให้นาง ควบคุมผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและเหาะขึ้นไป
ตอนที่นางอยู่กับเหยียนรั่วซู พวกนางเพียงตามหาคนอื่นแค่ลวกๆ ตอนนี้พอไม่มีเหยียนรั่วซูมาพูดพล่ามอยู่ข้างนาง โม่เทียนเกอจึงมองหาคนอื่นๆ อย่างระมัดระวังจากแท่นหนึ่งไปอีกแท่นหนึ่ง
ในหุบเขารูปอักษรติง (丁) แห่งนี้ รูปปั้นหินตั้งอยู่ภายในจะงอยงุ้มตรงปลายของหุบเขาอักษรติง จากข้างบนหุบเขา นางเห็นว่ายังมีทางในหุบเขาที่ยาวเป็นแนวตั้งและแนวนอนอยู่ข้างหน้า
ต้นไม้ที่นี่มีจำนวนมากเกิน สูงเกิน และเขียวขจีเกินไป จึงยากสำหรับนางในการเหาะเหิน โม่เทียนเกอลงจากผ้าเช็ดหน้าไหมขาวทันทีและเดินอย่างสุ่มๆ ไปตามสะพานเถาวัลย์ เมื่อไหร่ก็ตามที่นางเจอแท่นแห่งธาตุทั้งห้า นางจะขึ้นไปบนนั้นและปล่อยให้มันพานางไปที่บริเวณต่อไป บางทีคนอื่นๆ ก็อาจทำแบบเดียวกันกับนาง เพราะแค่ทำแบบนี้นางก็สามารถเจอพวกเขาได้
ขณะที่นางเดินไปตามสะพานเถาวัลย์ท่ามกลางต้นไม้พร้อมกับฟังเสียงหวี่ๆ ของแมลง เสียงจิบๆ ของนกที่อยู่ข้างลำธารในภูเขา และเสียงของสัตว์วิเศษที่กำลังวิ่งเล่น จู่ๆ ความคิดประหลาดก็เกิดขึ้นในจิตใจของโม่เทียนเกอ นางคิดว่านางคงไม่ถือสาอะไรหากนางจะใช้ชีวิตสันโดษไปตลอดชีวิตในสถานที่ที่เหมือนกับแดนสวรรค์เช่นนี้
แต่ถึงอย่างนั้นความคิดนี้ก็เพียงแวบเข้ามาในหัวแค่ชั่ววูบก่อนที่นางจะรีบปัดทิ้งไป นางมีโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนอยู่แล้ว นั่นก็เป็นแดนสวรรค์เหมือนกันไม่ใช่หรือ เมื่อมีโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนก็ไม่มีอะไรที่นี่ที่ต้องอิจฉา ถ้านางปล่อยให้ความคิดนี้ครอบงำ นางอาจไม่สามารถออกจากม่านพลังมายานี้ไปได้ตลอดชีวิตขึ้นมาจริงๆ ก็ได้!
หลังจากเดินอยู่สักพักหนึ่ง จิตสัมผัสของนางก็สัมผัสได้ถึงการผันผวนของพลังงานทางจิตวิญญาณจางๆ ขึ้นมาทันใด โม่เทียนเกอรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา โดยไม่ได้คิดไตร่ตรองอะไรอีกต่อไป นางรีบเร่งไปยังจุดที่พลังงานทางจิตวิญญาณผันผวนกระจายออกมา เคลื่อนที่สลับกันไประหว่างสะพานเถาวัลย์และแท่นแห่งธาตุทั้งห้า
ความผันผวนของพลังงานทางจิตวิญญาณเริ่มชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ นางสัมผัสได้แล้วว่าแหล่งที่มาคือผู้ฝึกตนสามคนที่กำลังต่อสู้กัน ในหมู่สามคนนั้น คนหนึ่งมีพลังงานทางจิตวิญญาณที่นางดูจะคุ้นเคยด้วย
นางก้าวขึ้นไปบนแท่นแห่งธาตุทั้งห้าทันทีหลังจากที่มันเลี้ยวตรงมุมหนึ่ง โม่เทียนเกอก็ได้เห็นแล้วว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
คนสามคนที่อยู่ที่นั่นคือผู้ฝึกตนชายแซ่ลู่กับแซ่หวังและนักพรตฟางเจิ้ง นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาสามคน แต่พวกเขากำลังสู้กันอย่างรุนแรงราวกับไม่มีสตินึกคิด นอกจากนั้นพวกเขายังมีอะไรแปลกๆ ถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนชายแซ่ลู่และแซ่หวังสองคนจะร่วมมือกันในการสู้กับนักพรตฟางเจิ้ง ทว่าพวกเขาก็ขัดกันเองบางครั้งเช่นกัน นี่มันคนสามฝ่ายกำลังพยายามฆ่ากันเองชัดๆ!
หากนี่เป็นแค่การพบเจอกันธรรมดาบนถนน โม่เทียนเกอคงไม่สนใจพวกเขา ต่อให้ทั้งสามคนตายไปด้วยกันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวกับนาง แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาเจอกับม่านพลังมายาในหุบเขานี้ด้วยกัน ยิ่งไปกว่านั้น ย้อนไปก่อนหน้านี้พวกเขาต่างยืนอยู่บนคนละแท่นจากแท่นหินทั้งห้าสี ใครจะไปรู้ว่าการตายของคนหนึ่งจะก่อให้เกิดปัญหากับคนอื่นๆ อีกหรือไม่
เมื่อความคิดนี้แล่นเข้ามาในจิตใจ โม่เทียนเกอจึงเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวมาและเหาะไปด้วยความเร็วแสงเข้าไปหาพวกเขาและตะโกน “หยุดนะ!”
ทั้งสามคนหันมามองนางพร้อมกัน ทว่าทันใดนั้นพวกเขาทั้งหมดเปลี่ยนทิศทาง เครื่องมือเวทและคาถาต่างพุ่งเข้าโจมตีนางทีละชิ้น!
นักพรตฟางเจิ้งตะโกน “สหายนักพรตเยี่ย เจ้าไม่ควรเข้ามาขวาง! ข้าเป็นคนที่พบมันก่อนเป็นคนแรก!”
โม่เทียนเกอตะลึงแต่ก่อนที่นางจะทันคิดว่าเขาหมายความถึงอะไร เครื่องมือเวทของทั้งสามคนได้เข้าโจมตีนางแล้ว นางยกมือขึ้นทำให้เกิดกำแพงอิฐตกลงมาข้างหน้านางและสกัดกั้นการโจมตีของพวกเขาไว้ได้จนหมด ในขณะเดียวกันนางก็ได้ขว้างกระสวยอัปสราออกไปทางพวกเขาและปล่อยแรงกดดันพลังงานทางจิตวิญญาณที่รุนแรงโดยการใช้ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ ทั้งสามคนรู้สึกจิตใจตนเองหมองมัวขึ้นและการเคลื่อนไหวก็ช้าลง ในเสี้ยววินาทีถัดมา ทั้งหมดก็ถูกล้อมไว้ด้วยกระสวยอัปสราซึ่งเปลี่ยนเป็นลำแสงสีทองจำนวนมาก
แต่คนพวกนี้ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน จากทั้งเก้าคนที่ติดกับอยู่ในหุบเขานี้ ห้าคนที่อยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานคือคู่รักเหยาและศิษย์ผู้หญิงจากสภาปี้เซวียน อีกสี่คนที่เหลือล้วนอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน
โม่เทียนเกอไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อยถึงแม้จะต้องสู้กับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นกลางถึงสามคนพร้อมๆ กัน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้นางจะไม่กลัว แต่นางก็ยังสู้อย่างยากลำบากในศึกนี้
โดยการใช้แรงกดดันพลังงานทางจิตวิญญาณที่เกิดมาจากระดับสองของศาสตร์หลอมจิตวิญญาณเพื่อให้เป็นฝ่ายที่ได้เปรียบเหนือกว่าจากนั้นจึงทำให้กระสวยอัปสราแตกตัวเพิ่มจำนวนออกเป็นสามเท่า โม่เทียนเกอสามารถกักขังคนทั้งสามคนไว้ได้ในเวลาเดียวกัน ในวินาทีถัดมา สุดท้ายทั้งสามคนก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง แต่ละคนเริ่มจะต่อต้าน
นักพรตฟางเจิ้งใช้แส้หางม้า ถึงแม้จะไม่ใช่เครื่องมือเวทระดับสูง แต่เขาก็มีข้อได้เปรียบตรงประสบการณ์ที่มากเหลือล้น ส่วนผู้ฝึกตนแซ่ลู่และแซ่หวัง คนหนึ่งเอากระบี่ออกมา อีกคนหนึ่งเป็นผู้ฝึกตนสายเครื่องรางอย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยการที่ทั้งสามคนโจมตีนางพร้อมๆ กัน ไม่ว่าอาวุธเวทของโม่เทียนเกอจะทรงพลังสักเพียงไร นางก็ยังอยู่ในสถานการณ์คับขันอยู่ดีจากการโดนรุม
ขณะนั้นเอง เวลาที่นางใช้แลกเปลี่ยนความรู้ไปกับเยี่ยจิ่งเหวินในที่สุดก็ได้เผยผลดีของมันออกมา
เยี่ยจิ่งเหวินเป็นผู้ฝึกตนสายกระบี่ วิชาของเขาในการต่อสู้ด้วยพลังเวทนั้นเหนือชั้นเกินกว่าผู้ฝึกตนธรรมดาในดินแดนเดียวกันกับเขา เขามีกระบวนท่าที่ทรงพลังอย่างมากซึ่งรู้จักกันในนามกระบี่ลำแสงทำลายล้างพันกำลัง ทำให้เขาปล่อยลำแสงแห่งพลังกระบี่ออกมาได้หลายร้อยเพื่อจู่โจมคู่ต่อสู้ของเขา การต่อกรกับกระบวนท่านี้ก็เหมือนกับการต่อสู้กับผู้ฝึกตนหลายร้อยคนในเวลาเดียวกัน
บัดนี้เมื่อนางเห็นว่าทั้งสามคนยังเล่นงานนางพร้อมๆ กัน โม่เทียนเกอเตรียมตัวด้วยศาสตร์หลอมจิตวิญญาณของนางไว้เรียบร้อยแล้ว นางปล่อยแรงกดดันพลังงานทางจิตวิญญาณมหึมาอยู่สักพัก ถอนกระสวยอัปสราคืนมา จากนั้นก็ควบคุมให้ตรงเข้าหาผู้ฝึกตนสายเครื่องรางแซ่หวังทันที ในขณะเดียวกันนางก็ได้เปิดใช้ตะเกียงเสน่ห์และใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวปัดป้องการโจมตีของพวกเขาไปด้วย
นางใช้กลยุทธ์และกระบวนท่ามากมายในเวลาเดียวกันราวกับว่าไม่มีการหยุดพักในแต่ละท่วงท่าเลยแม้แต่นิดเดียว นี่เป็นผลจากการฝึกประลองของนางกับเยี่ยจิ่งเหวิน ยิ่งการเคลื่อนไหวของนางเร็วขึ้นและวิธีการที่นางใช้มีมากขึ้น โอกาสทำสำเร็จของนางก็จะยิ่งสูงขึ้นด้วย
ขณะที่ตะเกียงเสน่ห์ปล่อยแสงสว่างออกมา นางใช้กระสวยอัปสราเพื่อวางม่านพลังและศาสตร์หลอมจิตวิญญาณเพื่อกดดันพวกเขา ชั่วขณะหนึ่งทั้งสามคนถูกบีบให้หยุดชั่วคราวเพราะถูกนางสะกดเอาไว้
โม่เทียนเกอตะโกน “ตื่นได้แล้ว! นี่คือม่านพลังมายา!”
คำพูดของโม่เทียนเกอพร้อมกับการที่จิตสัมผัสของพวกเขาถูกศาสตร์หลอมจิตวิญญาณของนางสะกดกลั้นเอาไว้ทำให้ทั้งสามคนตกตะลึง จิตใจพวกเขาในที่สุดก็เริ่มกระจ่างแจ้งขึ้น
โม่เทียนเกอฉวยโอกาสนี้และตะโกนต่อไป “อะไรก็ตามที่เจ้าคิดถึงจะมาปรากฏขึ้นที่นี่! เจ้าต้องไม่ปล่อยให้ตัวเองติดกับ!”
ในที่สุดทั้งสามคนก็หยุดจนได้ ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย นักพรตฟางเจิ้งพูดว่า “นี่เป็นของปลอมหรือ”
โม่เทียนเกอถอนหายใจโล่งอก “ถูกต้องแล้ว พวกเจ้าเพิ่งคิดถึงอะไร ลองคิดถึงอย่างอื่นดูสิ”
พวกเขาหันมองรอบๆ เพื่อมองอะไรบางอย่างที่อยู่ด้านหลังพวกเขาอย่างสงสัย ครั้งนี้ในที่สุดโม่เทียนเกอก็สังเกตเห็นดอกไม้สีขาวราวหิมะที่เต็มไปด้วยพลังงานวิญญาณของเซียนอยู่บนกำแพงหิน ดูเหมือนกับว่านางฟ้าได้ลงมายังโลกใบนี้
นางเข้าใจขึ้นมาทันที นี่คือดอกบัวหิมะหยกขาวสายพันธุ์หายากที่ส่งต่อมาจากยุคอดีตอันไกลโพ้น สามารถนำไปปรุงยาได้เป็นยาวิเศษชนิดหนึ่งที่ชื่อว่ายาสุคนธ์สวรรค์ ยานี้สามารถช่วยคนให้บรรลุผ่านดินแดนได้และได้ผลแม้แต่กับผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมทั้งสามคนถึงสู้กันเพื่อดอกไม้ดอกนั้น
อย่างไรก็ตาม นางมีดอกชนิดนี้อยู่มากมายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางและทั้งหมดก็เก่าแก่มากกว่าดอกนี้เสียอีก ดังนั้นนางจึงไม่เห็นความจำเป็นของมัน
ที่จริงแล้วทั้งสามคนได้สังเกตดูนางมาตลอด วินาทีที่พวกเขาเห็นนางสนใจในของสิ่งนั้น พวกเขาจะฆ่านางทันที ทว่าเมื่อโม่เทียนเกอเห็นดอกบัวหิมะหยกขาวนี้ นางก็เพียงแค่ดูประหลาดใจชั่วครู่และกลับไปมีสีหน้าสงบนิ่งของนางตามเดิม ตอนนี้ในที่สุดพวกเขาก็ยอมฟังนางและพยายามคิดถึงสิ่งอื่น
จู่ๆ ดอกบัวหิมะหยกขาวก็เปลี่ยนไปเป็นควันสีเขียวเข้มสลายไปกลางอากาศ สิ่งที่ปรากฏอยู่ตอนนี้คือพืชวิญญาณที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหนาสีม่วง ค่อยๆ แกว่งไกวสายสายลม เต็มไปด้วยพลังงานทางจิตวิญญาณ
หญ้าสะเก็ดม่วง! ทั้งสามคนมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างแรง พวกเขาต่างมองหน้ากันแต่ยังคงนิ่งเงียบ
พอรู้ว่าตอนนี้พวกเขาเชื่อในสิ่งที่นางพูด โม่เทียนเกอจึงถอนใจอย่างโล่งอก ถอนอาวุธเวทและเครื่องมือเวทของนางและเดินไปหาพวกเขา “พวกเจ้าก็เห็นแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะคิดอะไรในใจมันก็จะมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเจ้าที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นพืชวิญญาณหรือดอกไม้แปลกประหลาดล้วนเป็นของปลอมทั้งหมด”
ใบหน้านักพรตฟางเจิ้งแดงก่ำชั่วขณะหนึ่งและซีดขาวในเวลาต่อมา สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจยาว “ดูเหมือนว่าตาแก่คนนี้ยังใจร้อนเกินไป ที่จริงแล้วข้าต้องขอบคุณเจ้าของสถานที่แห่งนี้ หากมิใช่เพราะม่านพลังมายานี้ ข้าคงไม่ได้รู้ตัวว่าข้าเกือบจะมีมารในจิตใจเสียแล้ว”
จากที่นักพรตฟางเจิ้งพูด คนที่จินตนาการถึงดอกบัวหิมะหยกขาวที่นี่ก็คือตัวเขาเอง แต่มันก็สมเหตุสมผล เขาอายุไม่น้อยแล้วและก็ไม่มีกลุ่มคอยหนุนหลัง เขาเป็นคนที่วิตกกังวลที่สุดในหมู่พวกเขา ยาวิเศษที่ปรุงได้จากดอกบัวหิมะหยกขาวสามารถช่วยผู้ฝึกตนให้ทำการข้ามผ่านดินแดนได้ ดังนั้นมันจึงเป็นของที่เขาต้องการในตอนนี้อย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้น ตอนที่เขามาถึงที่นี่ เขาก็หวังไว้อยู่แล้วว่าเขาจะสามารถหายาพิเศษประเภทนี้ได้
เมื่อได้ยินสิ่งที่โม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งพูด ผู้ฝึกตนชายแซ่ลู่และแซ่หวังก็ดูค่อนข้างไม่สบายใจ ไม่เพียงแต่ทั้งสองคนจะเชื่อว่าดอกไม้นั้นเป็นของจริง แต่พวกเขายังถึงขนาดทะเลาะกันเองเพื่อแย่งมันอีก ต่อให้ทั้งสองคนไม่พูดถึงเรื่องนี้ แต่ความขุ่นเคืองใจที่มีต่อกันก็ได้เกิดขึ้นมาภายในจิตใจพวกเขาแล้ว
นักพรตฟางเจิ้งประสานมือมาทางโม่เทียนเกอและพูดอย่างจริงใจ “สหายนักพรตเยี่ย ขอบคุณเจ้ามากสำหรับเรื่องนี้”
โม่เทียนเกอพยักหน้ารับคำขอบคุณของเขา จากนั้นนางถามว่า “สหายนักพรตฟางเจิ้ง สหายนักพรตลู่ สหายนักพรตหวัง พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
คนที่ตอบก็ยังคงเป็นนักพรตฟางเจิ้ง “หลังจากข้าหายตัวไปจากข้างบนแท่นแห่งธาตุทั้งห้า ข้าก็พบว่าตัวเองอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ข้าเดินช้าๆ มาทางทิศนี้ เมื่อข้าผ่านสถานที่นี้ก็เห็นว่ามีดอกบัวหิมะหยกขาวอยู่ที่นี่ ขณะที่ข้ากำลังจะเก็บดอกบัว แต่สหายนักพรตสองคนนี้ก็รีบวิ่งเข้ามาเสียก่อน…”
เขาเหลือบมองไปทางทั้งสองคน ถึงแม้ว่าเขาจะยังคงสุภาพอยู่ แต่ก็มีความรังเกียจเล็กน้อยอยู่ในสายตาของเขา เห็นได้ชัดว่าเมื่อพวกเขาเห็นดอกไม้ พวกเขาก็ต้องการเก็บมันเข้ากระเป๋าตัวเองเหมือนกันและถึงขนาดทะเลาะกับสหายศิษย์ของตัวเองเพื่อแย่งดอกไม้กัน