บทที่ 395

เจอโจร

หลังจากหลายวันแห่งความเงียบ โม่เสี่ยวหลิงก็เริ่มที่จะนั่งเฉยๆไม่ได้แล้ว เธอได้แต่มองหน้าเฟิงจือหลิงและก็ยิ่งคิดว่าเขาดูหล่อเหลาเหลือเกิน โลกนี้จะมีคนที่หน้าตาดีขนาดนี้ได้ยังไงกัน

“นายท่าน ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลยว่าท่านชื่ออะไร?” โม่เสี่ยวหลิงถามออกมาเสียงเบา

เฟิงจือหลิงลูบไปที่กำไล สายตาที่กังวลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เสี่ยวเสวี่ย รีบออกมาเร็วๆเข้าสิ

“นายท่าน ไม่ได้ยินที่ข้าถามเหรอ?” โม่เสี่ยวหลิงยังถามต่อ

จ้าวไห่แกล้งทำเป็นตายเอาดื้อๆ ตอนแรกเขาเป็นห่วงว่านายท่านคนนี้จะคิดยังไง แต่ตอนนี้คนที่เขาเป็นห่วงคือท่านหญิงแทนแล้ว

เพราะคุ้นเคยกับความเฉยเมยของเฟิง จื่อหลิงแล้ว โม่เสี่ยวหลิงจึงไม่รู้สึกอึดอัดอะไรเลย ตรงกันข้ามเธอกลับรู้สึกว่าผู้ชายแบบเฟิงจือหลิงนั่นเหมาะสมแล้ว เขาไม่เจ้าชู้กับผู้หญิงไปทั่ว

ตอนนี้สถานการณ์ในรถม้าดูออกจากแปลกๆ ชายคนหนึ่งแกล้งทำเป็นตาย อีกคนก็เอาแต่มองไปที่กำไลราวกับว่าเป็นคนที่รัก ส่วนผู้หญิงก็เอาแต่พูดอยู่คนเดียว

ทันใดนั้นม้าที่อยู่ด้านหน้าก็ร้องออกมาจนทำให้ภายในรถสั่นไปหมด

“โอ๊ย” โม่เสี่ยวหลิงหล่นไปอยู่ที่แขนของเฟิงจือหลิงทันที

เฟิงจือหลิงผลักเธอออกโดยเร็ว โชคดีที่จ้าวไห่รับเธอไว้ได้ทันไม่งั้นเธอคงจะล้มไปหัวกระแทกแล้ว

เฟิงจือหลิงเดินออกไปข้างนอกและเห็นว่าทั้งถนนถูกคนนับสิบขวางทางอยู่ “ทิ้งเงินกับผู้หญิงไว้!” ชายพร้อมรอยแผลเป็นพูดขึ้นมา

จ้าวไห่และโม่เสี่ยวหลิงเองก็ออกมาเช่นกัน สีหน้าของเขาซีดเผือดทันทีที่เห็นสัญลักษณ์ใหญ่ ท่าทางของจ้าวไห่ไม่สู้ดีเท่าไร อีกฝ่ายอยู่ในระดับสีเขียว

“คืนนี้จะได้มีผู้หญิงสวยๆไว้สนุกด้วยแล้ว” ชายพร้อมรอยแผลเป็นพูดขึ้นมาอย่างลามก

“สามหาว รู้หรือเปล่าว่าข้าเป็นใคร?” โม่เสี่ยวหลิงตัวสั่นด้วยความโกรธ

“ฮ่าฮ่าฮ่า ช่างเป็นผู้หญิงที่ไร้เดียงสาจริงๆ ที่นี่อยู่ห่างจากเมืองหลวงมากและข้าก็เป็นราชาของที่นี่ด้วย ต่อให้ข้าฆ่าพวกเจ้าซะ แต่แล้วใครจะรู้ล่ะ?” เหล่าโจรระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

“หัวหน้า ถ้าคืนนี้ท่านพอใจแล้ว อย่าลืมส่งต่อมาให้พวกข้าบ้างนะ”

“แบ่งกันคนละเล็กละน้อย”

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ข้าไม่ได้สนุกกับผู้หญิงมานานมากแล้ว พวกผู้หญิงที่หมู่บ้านที่ตีนภูเขาก็น่าเบื่อหมดแล้วด้วย”

“ดูเหมือนจะเป็นพวกคนรวยนะ”

พวกโจรเริ่มที่จะคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันอย่างเปิดเผยราวกับว่าเฟิงจือหลิงและคนอื่นๆไม่ได้ยิน

เฟิงจือหลิงยังดูเหมือนเดิม ยังคงลูบเบาๆไปที่กำไลที่ข้อมือตัวเอง ในตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีและบังเอิญได้มาเจอคนพวกนี้ที่อยากจะเข้ามาหาเรื่องอีก

“จ้าวไห่ จัดการคนพวกนี้ให้หมด” โม่เสี่ยวหลิงพูดอย่างโกรธเกรี้ยวกับจ้าวไห่ที่ยืนอยู่ข้างๆ

สีหน้าของจ้าวไห่เปลี่ยนไปแต่เขาเองก็รู้ว่าวันนี้จะต้องจบไม่สวยแน่ๆ เพราะระดับการฝึกตนของเขาแล้วเขาก็อาจจะต้องตายที่นี่ด้วยซ้ำไป เพียงแต่ว่าสิ่งที่จะเกิดกับท่านหญิงจะเป็นอะไรที่เลวร้ายที่สุด

จ้าวไห่มองไปที่เฟิงจือหลิงที่อยู่ข้างๆ สีหน้าเขาเย็นชาจนมองไม่เห็นอารมณ์ได้เลย มันเป็นไปได้หรือนี่?!

จะเป็นเรื่องที่ไร้เดียงสาไปหรือเปล่าถ้าจะฝากความหวังไว้ที่เขา

“มัวทำอะไรอยู่อีกล่ะ?! เร็วเข้าสิ” โม่เสี่ยวหลิงมองไปที่จ้าวไห่ที่ยังไม่ลงมือจึงพูดออกมาด้วยความโมโห

ในความคิดของเธอจ้าวไห่พูดได้ว่าเป็นมาสเตอร์ที่ทรงพลังอย่างมากแต่สิ่งที่เธอไม่รู้คือจ้าวไห่ทรงพลังแค่เพียงในหมู่บ้านเล็กๆเท่านั้น แต่เมื่อออกมานอกหมู่บ้านโลกก็กว้างขึ้นและยังมีมาสเตอร์คนอื่นๆอีกนับไม่ถ้วน

“ฮ่าฮ่าฮ่า สาวน้อย อย่าเปลืองแรงเลยจะดีกว่า กลับไปกับข้าแล้วค่อยมอบความสุขให้ข้าเถอะ ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดีเลย” ชายพร้อมรอยแผลเป็นกล่าว

“ระดับการฝึกตนของคนที่อยู่รอบตัวเจ้ายังไม่สูงพอหรอกนะ เจ้าส่งตัวเองมาจะดีกว่า ฮ่าฮ่าฮ่า ความตายมันเลวร้ายกว่ามากนะ!” ชายอีกคนพร้อมด้วยใบหน้าที่คมเข้มพูดออกมา

สีหน้าของโม่เสี่ยวหลิงเปลี่ยนไป ระดับการฝึกตนของเธอต่ำที่สุดดังนั้นเธอจึงไม่เห็นระดับการฝึกตนของพวกโจร

“ท่านหญิง ถ้ามีช่องว่างให้ท่านหนี ท่านต้องหนีเลยนะ!” จ้าวไห่พูดออกมาด้วยสีหน้าที่หนักอึ้ง เขาจะใช้ชีวิตตัวเองเข้าแลกเพื่อเปิดทางให้ท่านหญิง

“เจ้า เจ้าพูดอะไร?” โม่เสี่ยวหลิงถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ท่านหญิง ตอนนี้ไม่มีเวลามาพูดอะไรแล้ว อีกฝ่ายไม่ใช่ธรรมดา ข้าจะโจมตีก่อนแล้วท่านก็รีบหนีไปทันทีเลยนะ” จ้าวไห้พูดด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด

“จ้าวไห่ ข้าทำไม่ได้!” เธอจะหนีไปคนเดียวได้ยังไงกัน อีกอย่างจ้าวไห่ก็มีความหมายนะ…ไม่ได้

เฟิงจือหลิงดึงดาบออกจากเอวแล้วยืนนิ่ง แล้วเขาก็พูดออกมาเบา ๆ ว่า “งั้นก็ไปด้วยกันให้หมดเลย!”

“โอ้ ไอ้หนู กล้าหาญเหลือเกินนะ คิดว่าจะเอาดาบเน่าๆมาทำให้คนกลัวได้หรือไง?”

“พี่ใหญ่ เอาเลย สั่งสอนให้พวกมันได้เห็นหน่อยแต่อย่าทำร้ายสาวงามนะเดี๋ยวจะอดสนุกกันหมด”

กลุ่มโจรรุมล้อมเข้ามาทันทีหวังที่จะฟันเฟิงจือหลิงและจ้าวไห้ให้เป็นชิ้นๆ

สีหน้าของจ้าวไห่สงบขึ้น เขาพร้อมแล้ว อย่างไรก็ตามวินาทีต่อมาทำให้เขาต้องถึงกับเบิกตากว้าง แม้แต่ปากก็หุบไม่ลง

พลังแห่งจิตวิญญาณของเฟิงจือหลิงปะทุออกมา “ดาบฝน!”

เมื่อเสียงเย็นชาของเฟิงจือหลิงดังออกมา ดาบของเขาก็เปลี่ยนกลายเป็นดาบนับล้านเล่มขึ้นมาทันทีพร้อมทั้งพุ่งเข้าใส่ชายหน้าแผลเป็นและพวกโดยไร้ความปรานี เพียงแค่จังหวะเดียว!

ช่างน่ากลัวเหลือเกิน เพียงแค่จังหวะเดียวเฟิงจือหลิงก็จัดการชายหน้าแผลเป็นและพวกได้จนหมดสิ้น

ในตอนนี้เหล่าโจรที่ไร้ลมหายใจแต่สีหน้ายังแสดงออกถึงความหวาดกลัวก่อนที่จะตายได้อย่างชัดเจน ดวงตาเบิกกว้างเป็นเครื่องบ่งบอกว่าพวกเขาไม่ได้ตายอย่างสงบ

ที่ดาบสีเงินเปล่งประกายไม่มีคราบเลือดเลยแม้แต่หยดเดียวและยกคงส่องประกายแสงอย่างเย็นชา เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วและกลับเข้าไปในรถม้า

จ้าวไห่หุบปากลงและดึงท่านหญิงให้ขึ้นมาในรถ พวกเขานั่งอยู่ในรถราวกับคนโง่

เฟิงจือหลิงปล่อยพลังแห่งจิตวิญญาณออกมาและม้าก็เร่งตัวออกไปทันทีและเริ่มการเดินทางต่อไป

ในหัวของจ้าวไห่ว่างเปล่าไปหมด กลายเป็นว่านายท่านคนนี้อยู่ในระดับสีม่วง เป็นมาสเตอร์ระดับตำนาน นี่ราวกับว่าเขากำลังฝันไป

ส่วนโม่เสี่ยวหลิงก็ยิ่งบ้าคลั่งมากขึ้นไปอีก ในตอนนี้ความองอาจของเฟิงจือหลิงได้เข้าไปยึดครองหัวใจทั้งหมดของเธอไว้แล้ว ช่างเป็นอะไรที่สุดยอดเหลือเกิน

“นายท่าน” ใบหน้าของโม่เสวี่ยหลิงเปล่งประกายแดงระเรื่อ

เฟิงจือหลิงหันมามองเธอด้วยสายตาเย็นชา “อ้าปากอีกครั้งข้าจะไล่เจ้าลงไป!”

โม่เสี่ยวหลิงรีบปิดปากลงทันที เธอเห็นสายตาที่เย็นชาของเฟิงจือหลิงได้อย่างชัดเจน ท่าทางของเขาดูเหมือนไม่ได้พูดเล่น ถ้าเธออ้าปากอีกครั้งเขาจะจับเธอโยนลงไปจริงๆ

จ้าวไห่รู้สึกไม่สบายใจ เขาเอาแต่นึกว่าตัวเองได้พูดอะไรที่อาจจะทำให้เขาไม่พอใจออกไปบ้างหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้นต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ!

ในตอนนี้ท่านหญิงของเขาไม่ได้ระวังสีหน้าของตัวเองเลย ช่างเป็นผู้ชายที่หล่อเหลา ฝีมือระดับมาสเตอร์ เปี่ยมไปด้วยคุณค่า ผู้หญิงมากมายคงจะพุ่งเข้าใส่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ท่านหญิงของเขาจะหลงเสน่ห์ไปด้วยอีกคน

ถ้าตระกูลโม่สามารถที่จะได้มาสเตอร์ระดับสีม่วงมาครอบครองได้ มันก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาขึ้นไปอยู่ในระดับที่สูงขึ้นได้แล้ว แต่เมื่อมองสีหน้าที่เย็นชาของเฟิงจือหลิงแล้ว เขาก็เกรงว่ามันคงจะไม่ง่ายขนาดนั้น

อันที่จริงท่านหญิงเองก็เป็นผู้หญิงที่สวยมากแต่อีกฝ่ายกลับไม่ชายตามองเลย

เฟิงจือหลิงลูบกำไลมาตลอดทาง ทำไมเสี่ยวเสวี่ยยังไม่ฟื้นอีกนะ?!

ในตอนนี้มู่หรงที่อยู่ในมิติลับก็ยังคงไม่ฟื้นแต่บ้านไม้ไผ่หลังเล็กกลับถูกพลังอสูรโจมตีไปแล้ว ขนาดเสี่ยวฉิงที่ยังนั่งอยู่ข้างเตียงก็ต้องถูกเสี่ยวไป๋ลากออกมาเลย พวกเขาช่วยกันสร้างบาร์เรียขึ้นมาเพื่อครอบบ้านไม้ไผ่ไว้ ไม่อย่างงั้นต้นผลไม้และสมุนไพรที่อยู่ด้านนอกก็คงจะถูกรุกรานไปด้วยและเขาคิดว่าอาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ปกติขึ้นได้

แม้แต่หลินหยางและเฉินเฟิงก็ยังต้องออกมาจากห้องที่ปิดผนึก ทุกคนต่างก็มารอกันอยู่นอกบ้านไม้ไผ่หลังเล็กนี้

“เฉินเฟิง ก่อนหน้านี้เจ้าก็เป็นแบบนี้หรือเปล่า?” เสี่ยวฉิงถาม

เฉินเฟิงขมวดคิ้วและมีสีหน้าที่จริงจัง เขาส่ายหัวเบาๆ “ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้เป็นแบบนี้ ต่อให้เป็นก็แค่เพียงเล็กน้อย ไม่ได้เป็นสถานการณ์ที่ใหญ่ขนาดนี้”

ถ้าเป็นแบบนี้เขาก็เกรงว่าตัวเองก็คงจะถูกชาวบ้านไล่ล่าไปแล้วและบางทีเขาก็อาจจะไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ตอนนี้ด้วย

“อะไรนะ? มีอะไรผิดปกติกับท่านหญิงหรือเปล่า? นี่มันก็นานมากแล้วนะ เกือบจะพันปีแล้วด้วยแต่ท่านหญิงก็ยังไม่ฟื้นซะที ข้าต้องเข้าไปข้างในเพื่อดูหน่อยแล้ว” เสี่ยวฉิงกำลังที่จะพุ่งเข้าไปแต่ก็ถูกเสี่ยวไป่ดึงไว้ได้ทัน

“นางไม่ตายหรอก เจ้าแหละที่จะตาย” เสี่ยวไป๋กล่าว

“แต่พลังอสูรน่ากลัวมากเลยนะ!” เสี่ยวฉิงกล่าว

“ไม่ต้องห่วงหรอก พลังอสูรดีต่อเสี่ยวเสวี่ย อีกอย่างชีวิตของข้าผูกอยู่กับเสี่ยวเสวี่ย ข้าจะรู้สึกได้ว่านางปลอดภัยดีหรือเปล่า” เสี่ยวไป๋กล่าว

ถ้าไม่ใช่เพราะรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเสี่ยวไป่กับ มู่หรงเสวี่ย ทุกคนก็คงจะไม่ทนยืนอยู่แบบนี้หรอก โดยเฉพาะเสี่ยวฉิงที่มานอนอยู่หน้าบาร์เรียทุกวันเพื่อพยายามที่จะมองผ่านหมอกดำเข้าไปข้างใน

“อย่ามัวแต่เฝ้าอยู่ที่นี่เลย ไปทำเรื่องที่อยากทำเถอะ โดยเฉพาะเจ้าสองคนเดี๋ยวจะต้องเพิ่มระดับแล้วแต่ยังห่างอีกไกลเลย รีบกลับเข้าไปฝึกได้แล้ว!” เสี่ยวไป๋พูดกับหลินหยางและ เฉินเฟิง

เสี่ยวฉิงไม่ยอมไปไหน ยังนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง

เสี่ยวไป๋ดูจากตำราโบราณมากมายและได้เรียนรู้ตัวอย่างมากมายจากตำราอสูรแต่ไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการฝึกตนของอสูรเลย ยังไงซะมันก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของ มู่หรงเสวี่ยหรือไม่งั้นก็ตรงไปที่โลกอสูรเลย

แต่คนของโลกอสูรเป็นพวกที่โหดเหี้ยมและชอบการต่อสู้อย่างมากซึ่งต่างจากแดนสวรรค์ อีกอย่างเฟิงจือหลิงและคนอื่นๆต่างก็กำลังบินไปที่โลกสวรรค์ ถ้ามู่หรงเสวี่ยเข้าไปที่โลกอสูรคนเดียว พวกนั้นก็คงจะไม่ยอมแน่ๆ

เสี่ยวไป่ถอนหายใจ มีอีกเรื่องที่ทำให้เขากังวลมากที่สุด

นั่นก็คือองค์จักรพรรดิ ในตอนนั้นเห็นได้อย่างชัดเจนว่าองค์จักรพรรดิฟื้นขึ้นมาแล้ว ผ่านมานานขนาดนี้ทำไมถึงยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆอีก มู่หรงเสวี่ยสำคัญกับหัวใจขององค์จักรพรรดิมากแค่ไหนใครๆก็รู้ดี

แต่สงครามของการทำลายล้างสวรรค์และโลกจากความโกรธขององค์จักรพรรดิก็ยังทำให้หัวใจของเสี่ยวไป๋สั่นสะท้านได้อยู่

ทำไมล่ะ? น่าแปลกจริงๆ

มู่หรงคนใหม่กับคนเดิมแตกต่างกันมากจนบางครั้งแม้แต่เสี่ยวไป๋ก็เกือบที่จะรู้สึกว่าไม่ใช่คนเดียวกัน แต่วิญญาณเป็นเรื่องที่หลอกลวงกันไม่ได้

ที่ด้านนอก ตลอดทางเฟิงจือหลิงพูดปฏิเสธมามากกว่าห้าครั้งแล้วจนโม่เสี่ยวหลิวที่พูดมาตลอดก็ยังต้องเงียบ

มาถึงจุดนี้จ้าวไห่รู้สึกนับถือกับความบ้าคลั่งของท่านหญิงจริงๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าเขานางไม่ตื่นเต้นได้ยังไงกัน การที่ได้อยู่ข้างๆมาสเตอร์ระดับสีม่วงเป็นเรื่องที่เป็นเกียรติอย่างที่สุดเลยสำหรับเขา!