บทที่ 394
ผู้มาเยือน
“หลบไปให้พ้นทาง!” เฟิงจือหลิงพูดอย่างเย็นชากับชายที่เข้ามาหยุดรถม้าของเขา
สีหน้าของผู้มาเยือนนิ่งไปแล้วก็นึกถึงท่านหญิงที่ยังยืนอยู่ข้างถนนแล้วจึงพูดออกมาว่า “ท่านหญิงของข้าได้รับบาดเจ็บ กลางป่าเขาแบบนี้เราหารถม้าไม่ได้เลย ถ้าท่านยอมให้ท่านหญิงของเราร่วมทางไปด้วย เรายินดีที่จะมองรางวัลให้”
อันที่จริงเรื่องนี้เป็นเพราะท่านหญิงที่อยากจะออกมาหาประสบการณ์และไม่อยากที่จะให้รถม้าตามมา ไม่งั้นพวกเขาคงไม่ต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้หรอก
เวลาที่จะต้องลงทะเบียนการแข่งขันชิงหยุนก็ใกล้เข้ามาแล้ว ดังนั้นพวกเขาจะต้องไปให้ถึงเฟิ่งเฉิงโดยเร็วที่สุด ถ้าพวกเขาไปไม่ทัน คนรับใช้อย่างพวกเขาต้องจบไม่สวยแน่ๆ เขาเองก็อยากที่จะแบกท่านหญิงขึ้นหลังไปเองแต่ท่านหญิงไม่ยอมให้พวกเขาแบกไป พูดกันตามตรงก็คือนางไม่ชอบพวกเขาเท่าไร
แต่ถ้าไม่ชอบแล้วทำไมไม่เอารถม้าออกมาตั้งแต่แรก แน่นอนว่าท่านหญิงไม่กล้าที่จะทำให้ตระกูลไม่พอใจ
“หลบไปให้พ้น!” เฟิงจือหลิงพูดต่อ เขาไม่ใช่มู่หรงเสวี่ย เขาไม่มีความเห็นอกเห็นใจอะไรมากมายหรอก โดยเฉพาะตอนนี้ที่เขารู้สึกเบื่อกับทุกอย่างแล้วด้วย ในหัวใจมีเพียงความเป็นกังวลว่าเสี่ยวเสวี่ยจะเป็นยังไงบ้าง จึงไม่มีอารมณ์ที่จะมาคิดเรื่องอื่นแล้ว
ชายหนุ่มไม่คิดว่าจะได้เจอกับคนที่ไร้หัวใจแบบนี้แต่เมื่อมองด้วยสายตาก็รู้ได้ว่าน่าจะไม่ใช่คนธรรมดาจึงไม่กล้าที่จะมีเรื่องด้วยนัก
“นายท่าน ได้โปรดช่วยพวกเราด้วยเถิด พวกเราแค่อยากจะไปเข้าร่วมการแข่งขันเท่านั้นเอง พวกเรามีใบผ่านเข้าเมืองด้วย ถ้าท่านมาคนเดียวทำไมไม่ให้เราร่วมเดินทางไปด้วยแล้วเมื่อถึงเวลานั้นพวกเราจะช่วยให้ท่านผ่านเข้าเมืองไปด้วยเอง” ชายหนุ่มยื่นข้อเสนอที่ดูน่าสนใจออกมา
เมื่อเห็นว่าเฟิงจือหลิงยังเงียบ ชายหนุ่มจึงพูดต่อไปอีก
“ท่านอาจจะไม่รู้ว่าการตรวจคนเข้าเมืองของเฟิ่งเฉิงเข้มงวดมาก ถ้าท่านไม่ได้รับคำเชิญ ข้าก็เกรงว่าท่านคงจะต้องรอคิวที่ด้านนอกอีกกว่าครึ่งเดือนและก็ไม่รู้ว่าจะเข้าเมืองได้หรือเปล่าด้วย คงจะน่าเสียดายน่าดูถ้าท่านไปร่วมการแข่งขันไม่ทันใช่หรือเปล่าล่ะ?” ในตอนนี้ผู้คนส่วนใหญ่ที่เดินทางต่างก็เพื่อไปร่วมการแข่งขันกันทั้งนั้นและชายหนุ่มพนันได้เลยว่าเฟิงจือหลิงเองก็ต้องไปเข้าร่วมการแข่งขันนี้ด้วยเหมือนกัน
แน่นอนว่าตอนนี้คิ้วของเฟิงจือหลิงเริ่มที่จะขยับ ก่อนหน้านี้เขารับปากกับเสี่ยวเสวี่ยไว้แล้วว่าพวกเขาจะต้องติดหนึ่งในสิบอย่างแน่นอน แล้วถ้าเขาทำพลาด เสี่ยวเสวี่ยก็คงจะไม่พอใจเท่าไร
เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเพื่อมองพิจารณาชายหนุ่ม เขาน่าจะอายุประมาณ 25 สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงิน ดูธรรมดาอย่างมาก ระดับการฝึกตนของเขาก็น่าจะอยู่ที่ระดับสีส้มซึ่งไม่น่าจะมีพิษภัยอะไร
“ขึ้นมา!” เฟิงจือหลิงพูดเสียงเรียบ
ชายหนุ่มพูด “ได้เลย ขอบคุณมากนะนายท่าน รอเดี๋ยวนะข้าจะไปพาท่านหญิงมาก่อน”
ท่านหญิงงั้นเหรอ?! คำนี้ทำให้คิ้วของเฟิงจือหลิงขมวดแน่นขึ้นกว่าเดิม
“ผู้หญิงงั้นเหรอ?” น้ำเสียงเย็นชา
ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วขณะแล้วจึงหันกลับมา “ครับ ท่านหญิงของพวกเราได้รับบาดเจ็บ” เมื่อกี้เขาก็บอกไปแล้วนี่ ชายคนนี้ไม่ได้ฟังเขาเลยหรือไงกันเนี่ย!
เฟิงจือหลิงพยายามอดกลั้นแล้วสุดท้ายก็พยักหน้า
ชายหนุ่มถอนหายใจและเดินไปที่ต้นไม้ข้างทางเพื่อช่วยพยุงท่านหญิงที่กำลังนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ให้เดินมา
“ท่านหญิง นายท่านคนนั้นยอมให้เราเดินทางไปด้วยแล้ว ไปกันเถอะครับ” ชายหนุ่มคนนี้คือจ้าวไห่
หญิงสาวที่รู้จักกันในนามท่านหญิงเป็นหญิงสาวที่สวยมาก ด้วยรูปร่างที่งดงามและใบหน้าที่ขาวนวลจึงทำให้เธอดูน่ารักอย่างมาก
“ทำไมเจ้าไม่ซื้อมาเลยล่ะ? นี่จะให้ข้านั่งกับเขาหรือไง?” โม่เสี่ยวหลิงยืนขึ้นพร้อมทั้งพร่ำบ่นออกมา
ในสายตาของจ้าวไห่แวบประกายไม่พอใจขึ้นมา แค่เขาให้นั่งไปด้วยก็มีน้ำใจพอแล้ว นี่จะให้ไปซื้อรถม้าของคนอื่นเลยงั้นเหรอ?! เงินไม่ได้สำคัญไปซะหมดหรอกนะ ถ้าไปซื้อรถม้าของคนอื่นแล้วเขาจะเดินทางยังไงล่ะ?! แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะพูดกับท่านหญิง
โม่เสี่ยวหลิงถูกตามใจมาตั้งแต่เด็กจนโต ถึงแม้เธอจะมากความสามารถแต่ก็ไม่เคยได้ออกมามีประสบการณ์โลกภายนอกเลย เธอได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม
ครั้งนี้เป็นเพราะเหล่าลูกหลานของตระกูลที่ได้ออกไปฝึกในดินแดนอื่นและกลับมาเล่าถึงเรื่องประสบการณ์ เมื่อท่านหญิงได้ฟัง เธอก็อยากที่จะออกมาหาประสบการณ์ข้างนอกบ้างโดยไม่มีรถม้าหรืออะไรเลย
เขาเองก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ตามมาแต่ท่านผู้เฒ่าจะยอมได้ยังไง สุดท้ายเขาก็เลยได้ตามมาด้วย
โชคดีที่เขาตามมาทัน ไม่งั้นท่านหญิงที่ถูกตามใจก็คงจะถูกคนมากมายรังแกไปแล้ว
“เงินไม่พอครับ” จ้าวไห่ทำได้เพียงพูดออกแบบนี้ เขาหวังว่าท่านหญิงจะเข้าใจคำที่พูดออกไป
โม่เสี่ยวหลิงไม่ใช่คนโง่และแน่นอนว่าเธอเข้าใจ แต่เธอรู้สึกอึดอัดเมื่อคิดว่าตัวเองจะต้องนั่งรถม้าร่วมกับชายคนนั้น
เธอเคยได้ยินที่ท่านพ่อมักจะพูดว่าโลกภายนอกมีผู้ชายไม่ดีมากมายที่สนใจแค่เพียงความสวยของเธอ หลังจากคิดถึงเรื่องนี้แต่โม่เสี่ยวหลิงก็ไม่ได้พูดอะไร หลังจากที่เดินไปถึงรถม้าเสี่ยวไห่ก็เดินขึ้นไปก่อน
“นายท่าน ข้าต้องขอโทษด้วยที่ให้รอ” จ้าวไห่พูดออกมา
ม่านของรถม้าค่อยๆเปิดออกเผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามของเฟิงจือหลิง
“อ่า” ตอนที่โม่เสี่ยวหลิงได้เห็นใบหน้าที่ไม่คาดคิด เธอก็ถึงกับอุทานออกมาทันที
เฟิงจือหลิงไม่แม้จะชายตาไปมองเธอด้วยซ้ำและเพียงแค่พูดออกมาเสียงเรียบ “ขึ้นมาได้แล้ว!”
จ้าวไห่พอใจกับท่าทางของเฟิงจือหลิงในตอนนี้อย่างมาก ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่คนที่สนใจแต่เรื่องความงาม
ใบหน้าของโม่เสี่ยวหลิงแดงระเรื่อและท่าทางไม่สนใจ ใยดีของเธอก็กลายเป็นเขินอายทันที
“นายท่าน ข้าชื่อโม่เสี่ยวหลิง ท่านเรียกข้าว่าเสี่ยวหลิงก็ได้”
หลังจากที่พูดออกไปแล้วเธอก็มองเฟิงจือหลิงด้วยความหลงใหล
เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วและมองจ้าวไห่ด้วยสายตาเย็นชา
สีหน้าของจ้าวไห่ดูจะอายอยู่นิดหน่อยและถึงขนาดรู้สึกได้ถึงความอึดอัดจากสายตาของอีกฝ่ายที่มองมาอย่างโจ่งครึ่ม
“ถ้าไม่ขึ้นมาก็หลีกทางไปซะ” เขายังต้องเดินทางอีกไกล เฟิงจือหลิงพูดออกมาอย่างอดกลั้นอยู่นิดหน่อย
สีหน้าของโม่เสี่ยวหลิงเปลี่ยนเป็นซีดเผือด เธอไม่คิดเลยว่าในโลกนี้จะมีใครที่ไม่สนใจความสวยของเธอแต่เธอก็ยังคิดว่านายท่านคนนี้หล่อเหลาอยู่ดี
ตลอดเวลาที่ผ่านมารอบๆตัวเธอก็มักจะมีแต่ผู้ชายที่เธอไม่ชอบอยู่ล้อมรอบตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะมารยาทเธอก็คงไม่สนใจหรอก
เธอรู้สึกหลงรักชายหนุ่มคนนี้จึงไม่สนใจท่าทางเย็นชาของเขา โม่เสี่ยวหลิงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงไพเราะ “แน่นอน ขอบคุณนะเจ้าคะ”
แล้วโม่เสี่ยวหลิงก็ยื่นมือออกไปพร้อมที่จะให้เฟิงจือหลิงช่วยพยุงเธอขึ้นรถ
เฟิงจือหลิงหันหัวและค่อยๆหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านทำให้บรรยากาศดูจะเย็นยะเยือกขึ้นมา
จ้าวไห่รีบกระโดดขึ้นไปบนรถทันทีเตรียมพร้อมที่จะดึงท่านหญิงโม่ขึ้นไปแต่โม่เสี่ยวหลิงกลับดึงมือตัวเองกลับมาทันทีแล้วจึงกระโดดขึ้นไปเองด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณ
ตอนที่เธอขึ้นไปถึงเธอก็รู้สึกเจ็บที่ข้อเท้า “โอ๊ย เจ็บ” ดวงตาของเธอพร่ามัวไปด้วยน้ำตาซึ่งดูน่าสงสาร อย่างไรก็ตามเฟิงจือหลิงก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร
จ้าวไห่เดินเข้ามาแต่โม่เสี่ยวหลิงอยากจะให้เฟิงจือหลิงเป็นคนเข้ามาดูแทนจึงส่งสายตาออกไป
เฟิงจือหลิงไม่มองมาที่เธอแต่ปล่อยพลังออกไปแล้วม้าที่อยู่ด้านนอกก็วิ่งออกไปทันที
โม่เสี่ยวหลิงรู้สึกอึดอัดและกลิ้งอยู่ในรถม้าหลายครั้ง จนสุดท้ายเธอก็นั่งลงไปที่จ้าวไห่และก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทาง เฟิงจือหลิงอยู่หลายครั้ง
“ถ้ามองอีกครั้งข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมาซะ” เฟิงจือหลิงเงยหน้าขึ้นมาพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
สีหน้าของโม่เสี่ยวหลิงซีดเผือดและไม่กล้าที่จะมองไปที่เขาอีก แต่ในหัวใจของเธอกลับเริ่มที่จะเดาตัวตนของชายหนุ่มคนนี้
ตระกูลโม่ของเธอไม่ใช่ตระกูลเล็กๆจึงไม่มีใครกล้าที่จะพูดกับเธอแบบนี้ สถานะของเขาต้องไม่ธรรมดาแน่ๆแต่เธอก็นึกคนที่ตรงกับเฟิงจือหลิงไม่ออกเลย
จ้าวไห่ที่นั่งอยู่อีกด้านเหงื่อออกท่วมไปหมด นี่เป็นเรื่องที่น่าอับอายจริงๆ เขาไม่กล้าที่จะมองตาท่านหญิงตรงๆเลยด้วยซ้ำ
“นายท่าน บ้านท่านอยู่ที่ไหนเหรอเจ้าคะ? ท่านมาจากเฟิ่งเฉิงหรือเปล่า?”
“นายท่าน กินอะไรมาหรือยังเจ้าคะ? กินกับข้าไหมเจ้าคะ?” โม่เสี่ยวหลิงหยิบอาหารที่น่ากินออกมาและถามออกมา
สีหน้าของเฟิงจือหลิงไม่เปลี่ยนแปลง เขาหยิบขนมออกมาและกินเข้าไปแล้วจึงจับไปที่กำไลที่อยู่ที่ข้อมือ
นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ถ้าเป็นในมิติลับก็มากกว่าสิบปีแล้ว เสี่ยวเสวี่ยฟื้นหรือยังนะ? ตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้างแล้ว? จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?
เขากังวลเรื่องพวกนี้อยู่ตลอดเวลาจึงไม่มีอารมณ์ที่จะทำอะไรอย่างอื่นเลย เฉินเฟิงบอกว่าเขาเคยอยู่ในช่วงโคม่านานกว่าเดือนกว่าที่จะฟื้นขึ้นมาได้
แต่ในมิติลับก็ผ่านไปกว่าทศวรรษแล้ว ทำไมเสี่ยวเสวี่ยถึงยังไม่ออกมาอีก เป็นเพราะมีคนอื่นอยู่ด้วยหรือเปล่า?!
ทันใดนั้นเฟิงจือหลิงก็มองไปที่โม่เสี่ยวหลิง เธอเผยรอยยิ้มอย่างมีความสุข ในที่สุดนายท่านก็มองเธอแล้ว
จ้าวไห่รู้สึกกังวลขึ้นมานิดหน่อย มีแค่ท่านหญิงงี่เง่าของเขาเท่านั้นที่ยังยิ้มได้อยู่อีก และไม่เห็นสายตามุ่งร้ายที่อีกฝ่ายส่งมาอย่างชัดเจนได้อีก
แต่ไม่นานเฟิงจือหลิงก็ดึงสายตากลับไปที่กำไล หรือในมิติลับเก็บพลังแห่งจิตวิญญาณไว้ไม่ได้หรือเปล่า?
รีบออกมาเร็วๆสิ ทุกวินาทีที่ผ่านไปมันช่างทรมานเหลือเกิน
โม่เสี่ยวหลิงมองตามสายตาของเฟิงจือหลิงตามสายตาที่ดูโศกเศร้าของเขาไปจนเจอเข้ากับกำไลที่สวยงาม ทันทีที่เธอเห็นก็รู้สึกชอบกำไลนี้ขึ้นมาทันที
ช่างเป็นกำไลที่สวยเหลือเกิน สีสันที่สวยงามพร้อมด้วยลายนกฟินิกซ์ที่อยู่ด้านบนที่ดูราวกับมีชีวิต ช่างสวยเหลือเกิน
“นายท่าน นี่เป็นกำไลสำหรับผู้หญิงหรือเปล่า?” โม่เสี่ยวหลิงอดไม่ได้ที่จะถามออกไป นี่เป็นของที่แม่เขาทิ้งไว้ให้ลูกสะใภ้หรือเปล่า?!
โม่เสี่ยวหลิงอดไม่ได้ที่จะคิดแบบนี้ “นายท่าน ขอข้าดูหน่อยได้ไหม?” โม่เสี่ยวหลิงยังคงถามต่อ
จ้าวไห่อดไม่ได้ที่จะดึงไปที่แขนเสื้อของโม่เสี่ยวหลิง
โม่เสี่ยวหลิงสะบัดมืออย่างเหลืออด “ทำไม?”
ไม่เอาน่า นี่นางพยายามที่จะทำอะไร? ไม่เห็นหรือไงว่านายท่านที่อยู่อีกฝั่งรักกำไลนี้ขนาดไหน? กล้าไปขอดูได้ยังไง?!
เฟิงจือหลิงมองไปที่โม่เสี่ยวหลิงด้วยสายตาเย็นชา “ถ้าเจ้าไม่อยากที่จะตายก็เงียบเสียงน่าเกลียดของเจ้าไปซะ”
โม่เสี่ยวหลิงเบิกตากว้าง เธอไม่อยากที่จะเชื่อเลยว่าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจะกล้าพูดอะไรที่โหดร้ายแบบนี้ออกมา
เสียงของเธอออกจะไพเราะจะรำคาญอะไรกัน แต่สายตาที่เย็นชาของเฟิงจือหลิงก็ทำให้เธอรู้สึกสั่นขึ้นมา
ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงรู้สึกว่าชายหนุ่มเย็นชาอยู่ตลอด ราวกับว่าเขาจะทำให้เธอตัวแข็งตายได้เลย ช่างเป็นอะไรที่น่ากลัวจริงๆ
แต่สิ่งที่ทำให้เธอสนใจมากกว่าคือความเศร้าของ เฟิงจือหลิงซึ่งทำให้เธออยากจะเป็นผู้หญิงที่เข้าไปช่วยรักษาบาดแผลภายในใจให้กับเขาเอง น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่เคยชายตามองเธอเลย
หลายวันต่อมาโม่เสี่ยวหลิงเงียบไปมาก สุดท้ายเธอก็เข้าใจได้ว่ามีชายหนุ่มไม่อยากที่จะคุยกับเธอ เธอถึงขนาดเห็นความรังเกียจในสายตาของเฟิงจือหลิงด้วยซ้ำ
ในที่สุดจ้าวไห่ก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขากลัวว่าท่านหญิงจะสร้างเรื่องจนพวกเขาต้องถูกไล่ลงจากรถซะแล้ว
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสายตาที่ชายหนุ่มมองมาที่พวกเขาเต็มไปด้วยความอดกลั้น จนหลายวันมานี้จ้าวไห่ไม่กล้าที่จะส่งเสียงอะไรเลย
อย่างไรก็ตามก็มีเรื่องหนึ่งที่เขาเองก็รู้เช่นกันนั่นคือระดับการฝึกตนของชายหนุ่มสูงอย่างมากที่ต่อให้เข้ามาพร้อมกันสิบคนเขาก็สู้ได้อย่างสบายๆ