บทที่ 393
นอนหลับ
รถม้าหยุดระหว่างทางเพราะยังมีเวลาอีกมากดังนั้นเมื่อเจอร้านอาหารพวกเธอก็จะหยุดพักเพื่อหาอะไรกินหน่อย และถ้าอยู่ในป่าแล้วไม่มีร้านอาหาร พวกเธอก็จะพักค้างคืนในป่าไปเลยและเฉินเฟิงจะฆ่าสัตว์อสูรเพื่อเอาเนื้อมากินเป็นอาหารแต่ มู่หรงเสวี่ยมีตัวเลือกมากกว่านั้นเพราะเธอมีมิติลับ
เฉินเฟิงจะรับผิดชอบเรื่องการล่าอาหารเพียงคนเดียว เขาหาเลี้ยงตัวเองด้วยการขายแกนคริสตัลและหนังของตัวสัตว์อสูรดังนั้นจึงชำนาญเป็นพิเศษ
มีคนมากมายต่างก็มุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน นี่น่าจะเป็นภูเขาที่เลื่องชื่อแน่ๆ
“ทำไมที่นี่คนเยอะจัง?” หลังจากที่ผ่านกลุ่มคนขนาดใหญ่มาหลายครั้ง เสี่ยวฉิงก็ถามออกมา
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกง่วงจึงใช้ขาของเฟิงจือหลิงแทนหมอน เขาไม่สนใจเรื่องอื่น สายตาของเขาจ้องตรงไปที่ร่างที่กำลังหลับของมู่หรงเสวี่ยด้วยความรักใคร่
เฉินเฟิงเองก็เฉยเมยอยู่ตลอด ใบหน้าไม่แยแสอะไรต่อโลกจนแม้แต่เสี่ยวฉิงเองบางครั้งก็ยังต้องมอง
“ทำไมเจ้าไม่ตอบล่ะ?”
มู่หรงเสวี่ยแทบจะไม่ลืมตา
เสี่ยวฉิงรู้สึกเบื่อมากจึงลุกขึ้นและเดินไปหามู่หรงเสวี่ย “ท่านหญิง อย่าหลับสิค่ะ ลุกขึ้นมาคุยกับข้าก่อน”
สายตาเย็นชาของเฟิงจือหลิงมองไปที่เสี่ยวฉิงและแทบอยากที่จะโยนนางออกไปแต่เมื่อเขานึกถึงท่าทางของเสี่ยวเสวี่ยที่มีต่อนาง เขาก็เก็บมือลงไป
“อย่าเสียงดังสิ ข้าอยากที่จะนอน” มู่หรงโบกมือ หันหลังและนอนต่อ
สีหน้าของเฟิงจือหลิงอ่อนโยนลงมาก ในหัวใจเขา เสี่ยวเสวี่ยเป็นคนที่อ่อนหวาน
เสี่ยวฉิงดึงเธออีกครั้ง “ลุกขึ้นเถอะ อย่าพึ่งนอน ท่านนอนตลอดเลยนะ” ท่านหญิงไม่ทำอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากกินแล้วก็นอน
“ไม่ ข้าจะนอน อย่ามากวนข้า” มู่หรงขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไร
“ท่านหญิง รีบลุกขึ้นเร็ว ท่านนอนมากเกินไปมันไม่ดีนะคะ” เสี่ยวฉิงดึงเธอขึ้นมา ถ้าไม่ปลุกให้ตื่นก็อย่ามาเรียกเธอว่าเสี่ยวฉิง
เธอไม่เคยเห็นท่านหญิงนอนนานขนาดนี้เลย ยิ่งคิดมากขึ้นเท่าไรเธอก็ยิ่งเป็นห่วงมากขึ้นเท่านั้น
“ท่านหญิง ท่านไม่สบายหรือเปล่าไม่งั้นคงไม่นอนมากมายขนาดนี้หรอก” เสี่ยวฉิงนึกถึงเรื่องพลังอสูรที่เกิดขึ้นครั้งก่อน เรื่องนี้จะเกี่ยวด้วยหรือเปล่านะ? อีกอย่างในมิติลับของท่านหญิงก็มีคนที่หลับไปเพราะพลังเวทมนตร์ด้วยเหมือนกัน เธอรู้สึกว่าต้องมีอะไรผิดปกติแล้ว
“ท่านหญิง อย่าหลับนะคะ” เสี่ยวฉิงเริ่มจะรู้สึกกังวลขึ้นมานิดหน่อยแล้ว
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเสี่ยวฉิง เฟิงจือหลิงเองก็เริ่มที่จะรู้สึกกังวลขึ้นมานิดหน่อยแล้วเหมือนกัน เขารีบพยุงมู่หรงเสวี่ยขึ้นมาและให้เธอพิงที่ไหล่ของเขา หลังจากที่พยายามเขย่าตัวเธออยู่สักพักแต่มู่หรงก็ยังไม่ตื่นจากหลับใหล
ที่เริ่มที่จะแปลกแล้วเพราะถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ เขย่าแบบนี้ก็น่าที่จะตื่นได้แล้วแต่ตอนนี้เสี่ยวเสวี่ยยังหลับอยู่อีก
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าคงเป็นเพราะเสี่ยวเสวี่ยเหนื่อยมากเกินไปจึงไม่คิดว่าเป็นปัญหาอะไร
พวกเขาอยู่ด้วยกันตลอดและไม่เคยเห็นอะไรที่ผิดปกติเลย “เสี่ยวเสวี่ยตื่นสิ! ตื่นสิ” เฟิงจือหลิงเขย่าแรงขึ้นไปอีก
มู่หรงลืมตาอย่างไม่เต็มใจเท่าไร “มีอะไรเหรอ? ข้าง่วงมากเลย ขอข้านอนหน่อยนะ” เธอรู้สึกเหมือนตัวเองนอนอยู่ตลอด แล้วจะนอนไม่พอได้ยังไงกัน? จิตใจของเธออยู่ในภาวะเซื่องซึมตลอด
“อย่าหลับนะ เจ้านอนมานานมากแล้วนะ” เฟิงจือหลิงพูดอย่างเป็นกังวล
เสี่ยวฉิงเองก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ท่านหญิงจะยังรู้สึกง่วงอยู่ได้ยังไงกัน
มู่หรงลืมตาอย่างไม่เต็มใจเท่าไรอีกครั้ง “แค่รู้สึกง่วงเฉยๆ อย่าเสียงดังสิ ขอข้านอนต่ออีกหน่อยนะ” หลังจากนั้นเธอก็หลับตาลงอีกครั้ง
ในตอนนี้เฉินเฟิงพูดออกมา “อย่าไปเถียงกับนางเลย คาดว่าน่าจะเป็นนางกำลังเลื่อนระดับ” ก่อนหน้านี้เฉินเฟิงเองก็เคยหลับไปช่วงหนึ่งเหมือนกันจนตัวเองเกือบถูกเผาจนตาย แต่อาจจะเป็นตอนที่เขาหลับเวทมนตร์นั่นปกป้องตัวของเขาอยู่ เขาจึงรอดมาได้ เพียงแต่ว่าประสบการณ์นั้นยังเป็นฝันร้ายของเขาอยู่จนถึงทุกวันนี้
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ มู่หรงเสวี่ยโชคดีกว่าเขามาก ในตอนนี้เขารู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมเท่าไรที่จะเอาเรื่องนี้ไปคุยกับใคร แต่ มู่หรงอย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนดีๆมากมายที่คอยเป็นห่วงนาง ตัวเขาเองสามารถที่จะเป็นเพื่อนกับคนพวกนี้ได้หรือเปล่านะ?
ระหว่างพวกเขาเหมือนไร้ซึ่งความเห็นแก่ตัว เขาเองก็อยากที่จะมีเพื่อนแบบนี้บ้างเหมือนกัน ในอดีตเขามักจะคอยบอกตัวเองว่าเขาไม่ต้องการเพื่อน เพื่อนคือคนที่คอยแต่จะทรยศกันเอง แต่หลังจากที่ได้เจอมู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆ เขาก็ไม่สามารถที่จะใช้ข้ออ้างแบบเดียวกับตัวเองได้อีก
เขาเองก็อยากที่จะเป็นหนึ่งในกลุ่มของพวกเธอด้วย ดังนั้นในช่วงเวลานี้ เขาก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างโดยหวังว่าตัวเองจะสามารถแทรกตัวเข้าไปเป็นหนึ่งในพวกเธอได้บ้าง
ตอนที่พวกเธอบอกว่าอยากที่จะช่วย เขาเกือบที่จะร้องไห้ออกมาแล้ว หลังจากหลายปีที่ผ่านมา พวกเธอเป็นคนกลุ่มแรกที่ถามว่าเขาต้องการความช่วยเหลือหรือเปล่า
“จริงเหรอ?” เฟิงจือหลิงและเสี่ยวฉิงต่างก็มองมาที่ เฉินเฟิงพร้อมกันเพื่ออยากที่จะได้ฟังคำตอบที่ทำให้สบายใจได้บ้าง
เฉินเฟิงพยักหน้าอย่างไม่คุ้นเคย “ก่อนหน้านี้ข้าเองก็เคยหลับไประยะหนึ่งเหมือนกัน หลังจากที่ตื่นขึ้นมาพลังเวทมนตร์ก็เพิ่มมากขึ้นและข้าก็สามารถที่จะควบคุมเวทมนตร์ได้อย่างอิสระมากขึ้นด้วย”
“แล้วพลังเวทมนตร์ของนางก็แข็งแกร่งกว่าข้ามากด้วย ข้าคิดว่าการนอนหลับอาจเป็นขั้นตอนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของพวกเผ่าอสูรทุกคน”
“แล้วต้องหลับไปนานแค่ไหน?” เฟิงจือหลิงถามอย่างกังวล
เสี่ยวฉิงเองก็จ้องไปที่เฉินเฟิงเขม็ง
“ข้าก็ไม่รู้ ข้าหลับไปเดือนหนึ่งแต่ไม่รู้ว่าทุกคนจะเป็นเหมือนกันหรือเปล่า” อันที่จริงเฉินเฟิงคิดว่ามู่หรงเสวี่ยน่าจะหลับนานกว่าเพราะดูจากพลังแห่งจิตวิญญาณในตอนนี้ของเธอ
“จะมีอันตรายอะไรหรือเปล่า?” เฟิงจือหลิงยังถามต่อ
เฉินเฟิงส่ายหัว “ไม่น่าจะมีนะ!”
ตราบใดที่ไม่มีอันตรายก็ไม่น่าจะเป็นอะไร เขาคงจะทนไม่ได้ถ้าเธอต้องอยู่ในอันตราย
ในตอนนี้มู่หรงหลับไปแล้ว แต่เสี่ยวฉิงก็ยังอดห่วงไม่ได้จนต้องคอยมองท่านหญิงของเธอตลอด
เฟิงจือหลิงมีความคิดว่าถ้าเขาลองเขย่าดู มู่หรงจะตื่นหรือเปล่า “เสี่ยวเสวี่ย ตื่นสิ”
จังหวะที่กำลังผล็อยหลับ มู่หรงก็ได้ยินเสียงเรียกของเฟิงจือหลิงพร้อมทั้งรู้สึกถึงแรงเขย่า
“ท่านเฟิง ถ้าท่านหญิงอยากที่จะนอนก็ปล่อยนางเถอะค่ะ อย่าไปปลุกนางเลย” เมื่อเห็นว่าท่านหญิงไม่สามารถที่จะลืมตาขึ้นมาได้ เสี่ยวฉิงก็รู้สึกว่าตัวเองทนได้ที่จะปล่อยให้นางหลับไปตลอดกาลตราบใดที่ไม่มีอันตรายอะไร
“ไม่ได้ ต้องปลุกนางให้ตื่น อีกเดือนเดียวเสี่ยวเสวี่ยก็ต้องร่วมการแข่งขันแล้ว แบบนี้น่าจะให้นางไปนอนให้มิติลับจะดีกว่า” เฟิงจือหลิงพยายามปลุกมู่หรงไปด้วยในระหว่างที่ตอบคำถามเสี่ยวฉิง
ฟังดูก็มีเหตุผล เสี่ยวฉิงจึงเข้าไปช่วยปลุกมู่หรงด้วยอีกแรง ตอนที่มู่หรงเสวี่ยพยายามที่จะลืมตาขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจ เฟิงจือหลิงก็พูดเพียงสั้นๆและรีบพาเธอเข้าไปในมิติลับ เสี่ยวฉิงและเฉินเฟิงเองก็เข้ามาด้วย
เสี่ยวฉิงอยากที่จะเข้ามาเพื่อดูแลท่านหญิงของนาง ส่วนเฉินเฟิงถูกเฟิงจือหลิงไล่ให้เข้ามาด้วยเพราะระดับการฝึกตนของเขายังต่ำอยู่
หลังจากช่วงที่ผ่านมาเขาก็ได้รู้ว่าเฉินเฟิงไม่ได้สนใจอะไรในตัวมู่หรงเสวี่ยและเสี่ยวเสวี่ยเองก็เพียงแค่ใจดีกับเฉินเฟิงเท่านั้น อีกอย่างสิ่งที่เฉินเฟิงทำในช่วงที่ผ่านมา พวกเขาทุกคนต่างก็ได้เห็นเองก็ตาแล้ว
มู่หรงทำให้กำไลเผยรูปร่างออกมาแล้วพวกเธอก็หายไปจากรถม้าทันทีเหลือเพียงกำไลที่อยู่บนโต๊ะ
เฟิงจือหลิงรีบหยิบกำไลขึ้นมาสวมที่ข้อมือ ถึงแม้เขาจะไม่รู้สึกถึงพลังแต่สิ่งที่เขารู้ก็คือเสี่ยวเสวี่ยอยู่ข้างใน
หลังจากที่เข้ามาในมิติลับมู่หรงเสวี่ยก็แทบจะผล็อยหลับไปในทันที เสี่ยวฉิงพยุงท่านหญิงของเธอขึ้นมาและพาไปที่บ้านไม้ไผ่ที่ตั้งอยู่อีกด้าน เธอวางมู่หรงเสวี่ยลงที่เตียงแล้วเธอก็ยืนอยู่ข้างๆ
เสี่ยวไป๋เห็นเสี่ยวฉิงพยุงมู่หรงเสวี่ยมาจึงเดินเข้าไปถามอย่างเป็นห่วง “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
“ท่านหญิงแค่อยากจะนอนเท่านั้นเอง” เสี่ยวฉิงค่อยๆช่วยห่มผ้าให้ท่านหญิงแล้วจึงตอบออกมา
“เฉินเฟิงบอกว่านี่เป็นขั้นตอนในการเติบโตของเวทมนตร์ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแค่รอให้นางฟื้น” เสี่ยวฉิงพูดเสียงเรียบ
เสี่ยวไป๋ขมวดคิ้ว เวทมนตร์งั้นเหรอ?! เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าพวกอสูรต้องนอนหลับด้วย สุดท้ายเขาก็อดห่วงไม่ได้จนต้องเข้ามาตรวจแต่ก็ไม่พบปัญหาอะไร เพียงสังเกตเห็นว่าเวทมนตร์ในร่างกายของเธอดูเหมือนจะขยายออกไปอย่างมาก
“ถ้าเป็นแบบนี้เจ้าก็เฝ้านางเถอะ ข้าจะไปดูตำราหน่อยว่ามีคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่ายังไงบ้าง” เสี่ยวไป๋พูด
ที่ศาลาเก้าชั้นมีตำราอยู่มากมายซึ่งก็อาจจะมีหรือไม่มีบันทึกเรื่องนี้อยู่ก็ได้ ที่นั่นมีแค่เขาและมู่หรงเสวี่ยเท่านั้นที่เข้าไปได้ คนธรรมดาอย่างเสี่ยวฉิงเข้าไปไม่ได้
เสี่ยวฉิงพยักหน้า “ได้ เจ้าก็รีบไปเถอะ” เธอจะไม่ยอมคลายสายตาจากท่านหญิงแม้สักวินาทีเลย
เฉินเฟิงที่ยืนรออยู่ด้านนอกเมื่อเห็นเสี่ยวไป๋เดินออกไปแล้วจึงเข้ามาถามว่า “มีอะไรให้ข้าช่วยไหม?”
เสี่ยวฉิงมองไปที่เขา หลังจากที่ได้รู้จักกันมาสักพักเธอก็ได้รู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่กวนประสาทอะไร ถึงแม้จะหน้านิ่งไปหน่อยแต่เมื่อมองจากสิ่งที่เขาต้องเจอมาก็ค่อนข้างที่จะน่าสงสารอยู่เหมือนกัน อีกอย่างเขาก็เป็นพวกเดียวกับท่านหญิงด้วย
“ไม่เป็นไร เจ้ารีบกลับไปฝึกตนเถอะ อยู่ในมิติลับเจ้าจะมีเวลาเหลือเฟืองั้นน่าจะลองฝึกพลังแห่งจิตวิญญาณดูนะ เวทมนตร์อสูรของเจ้าจะได้ไม่เป็นที่สนใจของคนอื่น ที่นี่เจ้าสามารถฝึกวิชาลับของพลังแห่งจิตวิญญาณได้นะ” เสี่ยวฉิงหยิบตำราลับขั้นพื้นฐานที่ท่านหญิงเคยให้เธอไว้ออกมาแล้วยื่นให้เขา เธอไม่จำเป็นต้องใช้มันแล้ว
อีกอย่างตอนที่เขาไปถึงเฟิ่งเฉิงเขาก็ยังต้องเข้าร่วมการแข่งขันที่ชิงหยุนด้วย ด้วยพลังที่เขาใช้สู้ที่หลงหยวนเขาไม่มีทางเอาชนะได้แน่ และเท่าที่เธอรู้คู่ต่อสู้คนต่อไปของเขาต้องเป็นระดับมาสเตอร์แน่ๆด้วย
เฉินเฟิงรับตำราลับมาถือไว้ในมือด้วยความรู้สึกในหัวใจที่ท่วมท้นจนแทบจะทะลักออกมา “ได้!” เฉินเฟิงไม่รู้ว่าจะต้องพูดขอบคุณยังไงจึงทำได้เพียงพยักหน้าเบาๆแล้วจึงรีบเดินออกมา
จากนี้ไปเขาจะปกป้องพวกเขาทุกคนจากภัยอันตรายทั้งปวงเอง ต่อให้เขาต้องเอาชีวิตเข้าแลก เขาก็จะไม่ลังเลเลย
เสี่ยวฉิงรู้นิสัยของเขาดีจึงไม่ได้ถือความกับท่าทางนิ่งเฉยของเขา ตอนนี้สิ่งที่เธอเป็นห่วงมีเพียงท่านหญิงของเธอเท่านั้น
เฟิงจือหลิงเดินทางต่อไปตามลำพัง อันที่จริงเขาเองก็อยากที่จะอยู่กับเสี่ยวเสวี่ยแต่เขารู้ดีว่าเสี่ยวเสวี่ยอยากให้เขาทำอะไรมากกว่า
เขาทำได้เพียงหวังว่าเสี่ยวฉิงจะช่วยเขาดูแลเสี่ยวเสวี่ย ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น
ในตอนนี้ที่กลางถนนมีกลุ่มคนที่จู่ๆก็หยุดกลางทาง เฟิงจือหลิงสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นและสั่งให้ม้าหยุดทันที
“ข้าต้องขอโทษด้วยแต่เจ้าช่วยข้าได้หรือเปล่า?”