บทที่ 392
การเลื่อนขั้น
มู่หรงยิ้มอ่อน “เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องพวกเราหรอก ถ้าเราอยากให้เจ้าตาย มันก็ง่ายนิดเดียว งั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องมองพวกเราแบบนั้นหรอก”
เฉินเฟิงมองไปที่พวกเธอด้วยสายตาเย็นชา พลังอสูรค่อยๆกระจายตัวออกจากร่าง
มู่หรงเสวี่ยปล่อยพลังแห่งจิตวิญญาณออกไปอย่างเบามือแต่ก็สามารถที่จะหยุดเวทมนตร์ของเฉินเฟิงได้ในทันที
ใบหน้าของเฉินเฟิงกระตุกแล้วเขาก็รีบกู้พลังเวทมนตร์ของตัวเองขึ้นมาอีกทันที “อย่างที่เจ้าเห็นหลักๆแล้วเวทมนตร์ของข้ามันชัดเจนและรุนแรง อย่างแรกเลยข้าต้องหาให้เจอก่อนว่าเวทมนตร์แบบไหนที่เหมาะกับข้า ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าพลังแห่งจิตวิญญาณคืออะไรแต่มันก็น่าจะเป็นอะไรที่เหมือนๆกัน ระดับการฝึกตนเวทมนตร์ของข้าไม่ได้มีอะไรพิเศษ ข้ารวบรวมแสงเวทมนตร์ตามสมาคมเวทมนตร์แล้วเอามาฝึกกับตัวเอง” เฉินเฟิงตอบเสียงเรียบ
มู่หรงเสวี่ยก้มหัวและคิดอยู่สักพัก หลังจากนั้นเธอก็ยื่นกริชให้เฉินเฟิงและนั่งลงไขว่ห้าง
พลังเวทมนตร์ค่อยๆกระจายตัวออกและไม่นานพลังเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งก็กระจายทั่วทั้งห้องในทันที สีหน้าของเฉินเฟิงเปลี่ยนไปอย่างมาก เวทมนตร์ในระดับนี้เขาเทียบไม่ติดเลยสักนิด
เสี่ยวฉิงและคนอื่นๆต่างก็รู้สึกไม่ดีเท่าไรซึ่งสร้างบาร์เรียของแต่ละคนขึ้นมาเพื่อกันตัวเองออกจากเวทมนตร์ อย่างไรก็ตามเพราะเวทมนตร์ของมู่หรงแข็งแกร่งมาจึงกระจายตัวไปทั่วห้องได้ในทันที
เฟิงจือหลิงอยากที่จะกักเวทมนตร์ให้อยู่แค่ในห้องแต่ก็สายเกินไปแล้ว สีหน้าของคนมากมายเริ่มที่จะไม่สู้ดีเท่าไร
ที่ด้านนอกมีบางคนเริ่มที่จะสังเกตเห็นร่องรอยของบรรยากาศดำมืดที่ครอบคลุมทั่วโรงแรมไว้ มีหลายคนที่ถึงกับต้องขยี้ตาตัวเองเพื่อดูว่าตัวเองตาฝาดไปหรือเปล่า
สีหน้าของเฟิงจือหลิงเริ่มที่จะเคร่งเครียดขึ้น เขาเห็น มู่หรงที่ยังนั่งหลับตาอยู่และปล่อยพลังอสูรออกมาเรื่อยๆทั้งๆที่ยังไม่ค่อยจะชำนาญในด้านนี้เท่าไรเลยด้วย
“เสี่ยวเสวี่ย!” เฟิงจือหลิงกระซิบ
“เสี่ยวเสวี่ย ตื่นสิ”
มู่หรงค่อยๆลืมตาขึ้นแล้วก็เห็นพลังอสูรที่กระจายไปทั่วทั้งห้องอยู่เบื้องหน้าเธอพร้อมด้วยสายตาเป็นห่วงของเฟิงจือหลิงและคนอื่นๆ ที่ทางเดินก็มีเสียงฝีเท้าดังมาอย่างต่อเนื่อง
เธอรีบจับมือทุกคนในทันทีรวมทั้งเฉินเฟิงด้วยแล้วก็หายเข้าไปในมิติลับทันที ไม่นานหลังจากนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออกเข้ามา
“อสูร อสูร ออกมานะ!”
หลังจากที่พลังอสูรจางหายไปก็ไม่เห็นใครเลยสักคน ผู้คนต่างก็มองหน้ากันเอง มีบางคนที่เดินไปเปิดหน้าต่างแล้วมองออกไปที่ถนน
“หนีไปแล้ว บ้าจริง!”
“บ้าเอ่ย นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย”
“การแข่งขันรอบแรกของชิงหยุนยังไม่จบ งั้นพวกเราก็ต้องป้องกันเรื่องที่อสูรจะมาหลอกหลอนพวกเราด้วยนะ”
“ไปกันเถอะ ข้ากลัวว่ามันจะไม่ง่ายขนาดนั้นสิ มันช่างทรงพลังเหลือเกิน”
“ไปบอกนายกเทศมนตรีก่อนเถอะแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะรายงานเรื่องนี้กับทางการดีหรือเปล่า ข้าคิดว่านี่คงไม่ใช่เรื่องระดับที่พวกเราจะจัดการเองได้แล้ว”
“…”
“ดีนะที่เข้ามาทัน” มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมทั้งพ่นลมหายใจออกมา ถ้ามีใครเห็นพวกเขาในห้องนั้น พวกเขาจะต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นอสูรแน่ๆ
“เจ้า…” เฉินเฟิงตกใจที่ได้เห็นภาพสถานที่ที่อยู่เบื้องหน้า ส่วนคนอื่นๆต่างก็ชินกับเรื่องนี้แล้ว
“ที่นี่เป็นมิติลับของข้า แค่เข้ามาเฉยๆ” มู่หรงกล่าว
ถึงแม้เธอไม่ได้ตั้งใจที่จะให้เขารู้เรื่องนี้ แต่ในสถานการณ์ตอนนั้นเธอก็ไม่มีเวลาที่จะได้คิดอะไรมาก แต่ถ้าเขาทำคิดจะทำอะไรไม่ดี เธอก็คงจะไม่ยอมใจอ่อนง่ายๆแน่ อีกอย่างเธอสามารถที่จะควบคุมทุกอย่างในมิติลับได้ รวมทั้งคนด้วย
“พวกเจ้าอยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวข้ามา”
เฉินเฟิงขยับเท้าและเริ่มที่จะระวังตัวขึ้นมานิดหน่อย
ที่นี่เต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่า ต้นหญ้าที่เดินเหยียบย่ำกันอย่างไม่ไยดีอันที่จริงแล้วเป็นหญ้าบลูเบลล์ที่ใช้สำหรับการเล่นแร่แปรธาตุในระดับกลาง ตอนที่เขาเห็นผลไม้ที่มีอยู่ทั่วทั้งภูเขา เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกของตัวเองยังไงเลยทีเดียว เขาถึงขนาดสงสัยว่าตัวเองกำลังฝันอยู่หรือเปล่าจนต้องลองหยิกที่มือตัวเอง
โอ๊ย เจ็บ!
แต่สถานที่แบบนี้จะมีจริงได้ยังไง ถ้าเรื่องนี้กระจายออกไปจะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆและผู้คนก็จะต้องออกตามล่าคนพวกนี้ไปสุดหล้าฟ้าเขียวแน่ๆ แล้วเฉินเฟิงก็ต้องส่ายหัวเพื่อที่จะลบความคิดนี้ออกไป ถ้าเขาพูดออกไปมันคงไม่ดีกับตัวเขาเองแน่ๆ
เขาควรที่จะติดตามคนพวกนี้ไปตลอดคงจะดีกว่า ยังไงซะเขาก็เป็นอสูรแถมยังไม่เป็นที่ยอมรับของโลกอีกด้วย
มู่หรงเสวี่ยเป็นคนเดียวที่มองเขาราวกับเป็นคนปกติ ดวงตาของเฉินเฟิงแวบประกายไม่ใช่เพราะที่นี่เต็มไปด้วยของล้ำค่าแต่เป็นเพราะคนที่แตกต่างพวกนี้
หลังจากนั้นเขาก็ถอนหายใจอย่างหนักหน่วงออกมา เขาตัดสินใจแล้ว
มู่หรงเสวี่ยเดินเข้าไปที่ถ้ำด้านหลังน้ำตก ก้อนน้ำแข็งครอบคลุมร่างของเหล่าคนที่นอนอยู่เพื่อรักษาอาการสุดท้ายไว้เนื่องจากที่ใบหน้าของพวกเขายังมีพลังอสูรอยู่ ประกายความคิดแวบขึ้นมาในความคิดเธอมากมาย หลินหนาน, หวู่เสี่ยวเหมย, จ้าวฉีและจูหมิง ดูเหมือนเธอจะนึกอะไรขึ้นมาได้นิดหน่อย เธอจะต้องพาพวกเขากลับมาให้ได้
มู่หรงแสดงสายตาที่มุ่งมั่นแล้วจึงเดินออกมา ที่ด้านนอกของน้ำตก เฟิงจือหลิงกำลังยืนรออยู่อย่างเงียบๆ ทันทีที่ มู่หรงเสวี่ยเดินออกมา เธอก็เห็นเขา!
เธอกระโดดอย่างมีความสุข “จือหลิง ดูเหมือนข้าจะนึกอะไรได้บ้างแล้วนะ”
ร่างของเฟิงจือหลิงนิ่ง
“ข้าจำได้ ข้าจำพวกเขาได้บ้างแล้ว” ถึงแม้จะแค่บางส่วน ไม่ใช่ทั้งหมดแต่แค่เรื่องเล็กน้อยแต่ในที่สุดมันก็ทำให้เธอรู้สึกหลงทางได้น้อยลง
อย่างไรก็ตามเธอก็ยังจำร่างที่โผล่ขึ้นมาในใจอยู่บ่อยๆไม่ได้ ตอนแรกเธอคิดว่าเขาคือฟางฉีฮัวแต่ด้านหลังที่เห็นได้อย่างชัดเจนเห็นได้ชัดว่าร่างใหญ่กว่าฟางฉีฮัว
“เป็นอะไรไปเหรอ? ทำไมถึงหน้าซีดแบบนี้ล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยเห็นเขานิ่งเงียบไปนานและเมื่อมองไปที่เฟิงจือหลิงก็เห็นว่าใบหน้าเขาซีดเผือดไปหมดแล้ว เธอแตะไปที่หน้าผากเขาอย่างเป็นห่วง
“ข้า, ข้าไม่เป็นไร เจ้าจำอะไรได้งั้นเหรอ?” เฟิงจือหลิงพูด
“แค่นิดหน่อยนะ แต่ข้าจำพวกเจ้าได้แล้ว เราผ่านอะไรด้วยกันมามากมาย ข้าขอโทษนะที่ลืมเจ้า” มู่หรงกล่าวขอโทษ
“ทำไมเจ้าหน้าตาดูเศร้าๆล่ะ? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยถามออกมาอีกครั้ง
“เปล่าหรอก ข้า, ข้ามีอะไรจะบอกเจ้า” เฟิงจือหลิงมองไปที่มู่หรง สีหน้าของเขาดูเคร่งเครียดขึ้น
“บางเรื่องที่สำคัญมาก” เฟิงจือหลิงเปิดปากพูดออกมา
“พูดมาสิ มีเรื่องอะไรเหรอ? เกิดเรื่องอะไรหรือเปล่าหรือว่าเวทมนตร์ของข้าทำให้เจ้าไม่สบายหรือเปล่า?”
“ใช่ เรื่องเวทมนตร์ ข้าอยากจะถามเจ้าว่าเจ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
“ฮ่ะ?! นี่เจ้าต้องจริงจังอะไรขนาดนี้กับเรื่องเล็กน้อยด้วยเหรอ? ข้าก็คิดว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรซะอีก!” มู่หรงเสวี่ยยิ้ม
“อย่าทำหน้าจริงจังขนาดนั้นสิ ยิ้มหน้า ข้าไม่เป็นไร ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับข้าเลย ข้าจะเป็นอะไรได้ยังไงล่ะ? เจ้าคิดมากไปแล้ว เป็นห่วงข้าเกินไปแล้วนะ ข้าไม่ได้บอบบางขนาดนั้นนะ”
“ในใจของข้าเจ้าบอบบางเสมอ ข้าอยากที่จะปกป้องเจ้าไปตลอดกาลเลย” เฟิงจือหลิงจับมือเธอขึ้นมาอย่างอ่อนโยนราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า
รอก่อน ครั้งหน้าเขาจะบอกเธอเอง เขาอยากที่จะมีความสุขกับช่วงเวลานี้ก่อน
หลังจากเวลาผ่านไปนาน พวกเธอก็กลับมาที่ห้องอีกครั้งและได้พบว่าห้องถูกล็อกไว้ หลังจากที่มองหน้ากันไปมา มู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆก็ตัดสินใจที่จะออกทางหน้าต่างแทน ที่ด้านล่างหน้าต่างเป็นแค่ซอยเล็กๆ และนี่ก็เป็นตอนกลางคืนจึงไม่มีใครเห็น
พวกเธอเปลี่ยนโรงแรมที่จะพักใหม่เพราะที่พักเดิมอยู่ต่อไม่ได้แล้ว
วันต่อมา มู่หรงเสวี่ยเป็นคนแรกที่ต้องเริ่มการแข่งขัน คู่ต่อสู้ค่อนข้างที่จะตัวอ้วนใหญ่แถมยังมีใบหน้าที่ดูดุดันอีกด้วย
“แม่หนู รีบกลับบ้านไปนมนอนดีกว่านะ ข้าเกรงว่าแค่หมัดเดียวก็คงจะล้มเจ้าได้แล้ว”
มู่หรงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเย็นชาและไม่พูดอะไร กรรมการผู้ชายถึงกับต้องปาดเหงื่อ สาวสวยคนนี้ไม่ใช่ธรรมดาๆ คู่แข่งของเธอไม่รอดแน่ๆ
แต่เมื่อวานเพราะเธอยืนอยู่ข้างหลังเฟิงจือหลิงจึงไม่ได้ขยับลงมืออะไรจึงไม่มีใครได้เห็นฝีมือของเธอ ทุกคนจึงคิดว่าเธอได้รับการปกป้องจากคนอื่น
“ถ้าเจ้าอยากที่จะตาย งั้นข้าก็จะช่วยสงเคราะห์เอง” ชายหนุ่มเห็นว่ามู่หรงไม่ได้ขยับหนี สายตาจึงแวบประกายเย็นชาและพูดออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ฮึ!” มู่หรงเสวี่ยพ่นลมออกมาอย่างเย็นชาพร้อมด้วยแสยะยิ้ม
ชายหนุ่มกำหมัดแน่นแล้วจึงพุ่งพลังแห่งจิตวิญญาณตรงมาที่มู่หรง มู่หรงไม่รอให้เขามาถึงตัว เธอค่อยๆยกมือขึ้นมาแล้วพลังอันสูงส่งก็พุ่งออกไปทันที
ก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้ตอบโต้อะไร เขาก็ลอยกระเด็นขึ้นฟ้าไปไกลมากแล้ว
นี่มันอะไรกันเนี่ย?!
สีหน้าท่าทางของเหล่าผู้ชมไม่ใช่ความสงสัยแต่เป็นตื่นตะลึงที่ได้เห็นมดน้อยบดขยี้ช้างใหญ่
ยกเว้นเหล่ากรรมการเพราะต่างก็รู้ข้อมูลของผู้เข้าแข่งขันและรู้ระดับพลังของมู่หรงเสวี่ยดี พวกเขาจึงไม่แปลกใจอะไร
นี่เป็นครั้งแรกที่ที่เกิดเสียงดังเซ็งแซ่ไปทั่วสนามแล้วทุกอย่างก็เป็นไปอย่างคาดไม่ถึง มู่หรงต่างก็เอาชนะคู่แข่งได้ทุกคน ทันทีที่คู่แข่งเห็นมู่หรง พวกเขาต่างก็รีบลงจากเวทีด้วยความลนลาน
นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ในเมืองหลงหยวน สุดท้ายมู่หรงเสวี่ยก็ทำเพียงแค่เลื่อนเก้าอี้และผู้เล่นทุกคนที่อยู่บนเวทีก็ถูกเธอโบกพลิ้วไปง่ายๆจนไม่เหลือใครให้เห็นอีก
เหล่ากรรมการต่างก็ลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า มู่หรงเสวี่ยมีคุณสมบัติที่จะได้เลื่อนขั้นและไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าร่วมการแข่งขันในรอบแรก
ต่อมาก็เป็นเฟิงจือหลิงและคนอื่นๆด้วยที่ทำให้เหล่าคนดูต้องตกตะลึงด้วยเหมือนกัน และสุดท้ายก็ได้สิทธิเดียวกับมู่หรงคือผ่านเข้ารอบไปเลย
แน่นอนว่ามีคนมากมายที่รู้สึกพอใจกับการตัดสินครั้งนี้เพราะไม่มีทางเลยที่จะมีใครเอาชนะพวกเขาได้
มู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆตรงเข้าไปที่เฟิ่งเฉิงได้เลยซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใกล้หลงหยวนที่สุดเพื่อที่จะเข้าร่วมการแข่งขันในรอบต่อไปเนื่องจากพวกเธอได้บัตรเลื่อนระดับมาแล้ว
ในการแข่งขันจะมีทั้งหมดสามจุด
หนึ่งคือการประลองเบื้องต้นในเมือง สองคือการแข่งขันในเมืองหลวง และสุดท้ายคือการแข่งขันที่รวมสุดท้ายของทั่วทั้งเฟิ่งหยุนมาไว้ด้วยกัน
มู่หรงและคนอื่นๆจ้างรถม้าแล้วจึงเริ่มออกเดินทาง เฉินเฟิงเองก็ตามมาด้วย
เพราะเขารู้ความลับของเธอแล้วดังนั้นมู่หรงจึงคิดว่าควรจะให้เขาตามมาด้วยและทุกคนก็เห็นด้วย แน่นอนว่า มู่หรงและเฉินเฟิงต่างก็เปลี่ยนผมให้กลับมาเป็นสีดำ
เฉินเฟิงรู้สึกสับสนไปหมด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่ามีเวทมนตร์ที่สามารถเปลี่ยนสีผมของเขาได้ซึ่งมันสร้างปัญหาให้เขามาตลอด 20 ปี
หลินหยางกลับเข้าไปในมิติลับเพื่อฝึกตน เพราะเมื่อเทียบกับมู่หรงและคนอื่นๆแล้วเขาอยู่ระดับต่ำที่สุด