บทที่ 391 มนุษย์ปีศาจ

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 391

มนุษย์ปีศาจ

เดิมทีมู่หรงจะให้เขานั่งลงที่ข้างๆเธอแต่ถูกเฟิงจือหลิงดึงแขนเอาไว้ พร้อมด้วยสายตาที่มองไปยังเฉินเฟิงอย่างเย็นชา

มู่หรงเซไปชั่วขณะ “มีอะไรเหรอ?” เฟิงจือหลิงไม่ใช่คนที่ชอบทำเรื่องอะไรแบบนี้ในที่สาธารณะ

เฟิงจือหลิงพูดออกมาเสียงเรียบ “เก้าอี้ข้างนี้ไม่ค่อยดีเท่าไร มานั่งนี่เถอะ”

“ข้าดูดีแล้วนะ” มู่หรงพูด

“ผิดแล้ว รีบมานั่งนี่เร็วเข้า”

นั่งนี่ นั่นโน้นกันอยู่นั่นแหละ หลินหยางรู้สึกรำคาญสองคนนี้ที่ทำตัวงี่เง่ากันอยู่ได้ทั่ววัน

เฉินเฟิงไม่ได้นั่งลงแต่ยืนอยู่เงียบๆ

เฟิงจือหลิงเอียงเข้าไปใกล้หูมู่หรงเสวี่ยและถามออกมาอย่างอ่อนโยน “เจ้ามากับเขาได้ยังไง?”

มู่หรงเสวี่ยมักจะเป็นคนที่เย็นชาอยู่เสมอและแทบจะไม่คุยกับคนแปลกหน้า งั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะคุยกันเป็นครั้งแรกแล้วพามาด้วยแบบนี้เลย เขายอมรับว่าระแวงเกินไปแต่เมื่อมองไปที่ชายคนนี้ก็ไม่เห็นอะไรดีเลยสักอย่าง

“นั่งลงก่อนเถอะจะมัวยืนอยู่ทำไม กินข้าวเสร็จแล้วเราค่อยคุยกัน” มู่หรงพูดกับเฉินเฟิงด้วยรอยยิ้มเพราะตอนนี้เธอรู้สึกหิวมากแล้วหลังจากที่เดินเที่ยวมานาน

เฉินเฟิงไม่อยากที่จะนั่งลงยังไงซะคนพวกนี้ก็ไม่ใช่เพื่อนของเขา อีกอย่างเป้าหมายของเขาก็มีแค่เรื่องกริชเท่านั้น

“นั่งลงเถอะ ไม่ต้องเขินหรอก พวกเขาเข้ากับคนง่าย” มู่หรงพูด

เฉินเฟิงค่อยๆนั่งลง เดาว่าคงจะเป็นเธอคนเดียวที่คิดว่าทุกคนเข้ากับคนอื่นง่าย

สายตาของชายหนุ่มที่อยู่ข้างเธอมองมาที่เขาอย่างดุดันราวกับอยากที่จะฆ่าเขาให้ตาย เขาไม่เห็นเลยว่าแบบนี้จะเข้ากับคนง่ายตรงไหน

เสี่ยวฉิงเองก็ไม่ได้มองเขาดีเท่าไร ยังไงซะเธอก็ได้ยินที่คนพวกนั้นที่ร้านขายอาวุธคุยกันอยู่เมื่อกี้ ชายคนนี้อันตรายอย่างมาก เขาเป็นปีศาจ เธอบอกได้เลยว่าเขาไม่ใช่คนดีแน่ๆแล้วแบบนี้เธอจะปล่อยให้เขามาเข้าใกล้ท่านหญิงของเธอได้ยังไง

ดังนั้นตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว เสี่ยวฉิงจึงจ้องเฉินเฟิงไม่วางตา แถมยังทำสีหน้าที่ไม่สู้จะดีเท่าไรใส่เขาอีกด้วย

มู่หรงเห็นว่าอยู่ดีๆทุกคนก็เงียบไป “ทำไมอยู่ดีๆเงียบกันไปแบบนี้ล่ะ?”

“นี่อร่อยนะ ลองกินดูสิ!” เฟิงจือหลิงตักอาหารให้ มู่หรงเสวี่ย เขาไม่อยากที่จะให้เธอรู้สิ่งที่เขาคิด ไม่ว่าเขาจะไม่ชอบชายคนนี้มากแค่ไหนแต่ตราบใดที่มู่หรงเสวี่ยเป็นคนพามา เขาก็จะไม่ทำให้เธอต้องอับอาย อีกอย่างมู่หรงไม่ใช่คนที่จะทำอะไรโดยไม่มีเหตุผล

“อร่อยดีนะ พวกเจ้าก็กินด้วยสิ มัวทำอะไรกันอยู่ล่ะ?” หลังจากที่ตักกินเข้าไปเต็มปาก มู่หรงเสวี่ยก็เห็นว่ามีเพียงแค่เธอเท่านั้นที่กำลังกิน

หลินหยางค้อนไปที่เธออีกครั้ง “พอเห็นเจ้ากินแล้วใครมันจะยังกินลงอีกล่ะ!”

“ไอ้บ้าหลินหยาง อยากมีเรื่องใช่ไหม?” มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เขาอย่างดุดัน

เสี่ยวฉิงเองก็ไม่ยอมกิน เธอมัวแต่จ้องไปที่เฉินเฟิง

“ เสี่ยวฉิง ทำอะไรอยู่ล่ะ? เจ้าชอบเขาหรอ?” มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เสี่ยวฉิงอย่างสงสัย

“ท่านหญิง! ข้าจะไปชอบ…” เสี่ยวฉิงมองอย่างไม่พอใจไปที่เฉินเฟิง

จนถึงตอนนี้เฉินเฟิงก็ยังนั่งนิ่งเงียบอยู่

“แล้วเจ้าจ้องอะไร ข้าก็คิดว่าเจ้าหลงในความหล่อของเขา” มู่หรงเสวี่ยถาม

“ท่านเข้าใจผิดแล้ว ไม่รู้ท่านไปเอาความคิดนี้มาจากไหน?! ข้าไม่อยากกินแล้ว” เสี่ยวฉิงทุบตะเกียบลงที่โต๊ะอย่างไม่พอใจ

อ่า แม่หนูนี่เป็นอะไรของนางนะ? ทำไมต้องโกรธขนาดนี้ด้วย

มู่หรงใช้ตะเกียบคีบเกี๊ยวเข้าปากแล้วจึงถามออกมาอย่างสงสัย “เจ้าเป็นวัยทองหรือไง?”

“ข้าเพิ่งจะ 18 เองนะ!” เธอพูดออกมาโดยไม่หายใจ วัยทองบ้าบออะไรกันแต่ก็ดูเหมือนว่าท่านหญิงจะไม่ได้สนใจสิ่งที่เธอพูดเลย

“ข้าก็ 18 แล้วก็แต่งงานได้แล้วด้วย” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม

“ช่างมันเถอะ ไม่ต้องกินแล้ว เจ้าจะกลับไปที่โรงแรมก่อนหรือว่ายังไง? ข้ามีเรื่องที่ต้องคุยกับเฉินเฟิงก่อน” มู่หรงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดที่มุมปากตัวเองและพูดออกมาเสียงเรียบ

“จะได้ยังไงล่ะคะ? ข้าจะไปกับท่านด้วย” เสี่ยวฉิงพูด

ถึงแม้เธอจะไม่รู้ว่าท่านหญิงจะทำอะไรแต่เธอรู้ว่า เฉินเฟิงเป็นคนที่อันตรายอย่างมากแล้วเธอจะปล่อยให้ท่านหญิงอยู่ตามลำพังกับคนแบบนี้ได้ยังไง

“ถ้าเจ้าอยากจะไปด้วยก็ตามใจ แต่อย่ากลัวจนร้องไห้ซะล่ะ” มู่หรงกล่าว

เฟิงจือหลิงเงยหน้าขึ้นมามองคนทั้งสองโดยไม่พูดอะไรแต่จู่ๆก็จับมือมู่หรงไว้

“งั้นก็ไปด้วยกันหมดเลยแล้วกัน ที่นี่ไม่สะดวกที่จะคุยเท่าไร กลับไปคุยที่โรงแรมแล้วกัน” มู่หรงกล่าว

หลังจากที่จ่ายเงินเสร็จ พวกเธอก็รีบเดินกลับไปยังโรงแรมที่พักและตรงเข้าห้องพักทันที

เฟิงจือหลิงรู้เรื่องนี้และยังรู้อีกด้วยว่ามู่หรงเป็นปีศาจ แต่เสี่ยวฉิงและหลินหยางไม่รู้เรื่องนี้ และตอนนี้เขาก็ได้รู้ด้วยว่า เฉินเฟิงก็เป็นปีศาจเหมือนกัน

หลังจากที่ปิดประตู

มู่หรงก็มองไปที่เฉินเฟิงอย่างละเอียด “เจ้าเป็นปีศาจ!”

“เจ้าก็ด้วยไม่ใช่เหรอ?” เฉินเฟิงพูดออกมาเสียงเรียบพร้อมด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ใดๆ

“ถ้าเจ้าต้องการกริชนี้ งั้นเจ้าก็บอกวิธีการฝึกตนของปีศาจให้ข้ารู้ได้สิ” มู่หรงเสวี่ยแกว่งกริชไปมาในมือ

เฉินเฟิงมองมู่หรงเสวี่ยด้วยสายตาแปลกๆ ในความคิดของเขามู่หรงเสวี่ยน่าจะเก่งกว่าเขามาก “ข้าไม่มีวิชาลับอะไรหรอก”

เขาไม่รู้วิชาการฝึกตนอะไรเลย หลายปีที่ผ่านมาเขาพึ่งความเข้าใจแบบงูๆปลาๆของตัวเองมาตลอดจนถึงตอนนี้

“ไม่เหรอ งั้นเจ้าฝึกตนยังไง? ข้าไม่ได้อยากได้วิชาลับอะไรหรอก แค่บอกข้ามาว่าเจ้าฝึกยังไง”

หลินหยางมองไปที่กริชที่อยู่ในมือของมู่หรงเสวี่ย แล้วจึงพูดออกมาว่า “กริชนี้ไม่ธรรมดาเลย ทำไมเจ้าไม่เอาไปแลกกับอะไรที่เจ้าจะเอามาใช้ได้ล่ะ?”

มู่หรงมองไปที่เขา “ข้าเป็นปีศาจนะ!”

“ฮ่ะ?! เจ้าว่าอะไรนะ?” หลินหยางประหลาดใจ

เสี่ยวฉิงยิ่งแล้วใหญ่ นางเดินมาด้านหน้าของมู่หรงเสวี่ยและจับเธอเขย่าไปมา “ท่านหญิง นี่ท่านติดมาจากเขางั้นเหรอ? ข้าจะฆ่าเขาเอง”

เธอยังจำเรื่องที่คนพวกนั้นคุยกันวันนี้ได้อย่างแม่นยำ พวกเขาพูดกันว่าถ้าได้เจอเฉินเฟิง ก็อาจจะที่จะติดโรคจากเขามาได้

หลังจากที่พูดจบ เสี่ยวฉิงก็มองไปที่เฉินเฟิงอย่างดุดันและทั่วทั้งร่างของเธอก็ลุกโชนไปด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณ

“บ้าหรือไง ข้าจะติดมาจากเขาได้ยังไง? เจ้าเล็งเป้าไปที่เขามาตั้งแต่แรกทั้งๆที่เขายังไม่ได้ทำอะไรเจ้าเลยใช่ไหม?” มู่หรงพูดออกมาอย่างจนปัญญา

“งั้นทำไมท่านถึงต้องอยากรู้วิชาการฝึกตนของปีศาจด้วยล่ะ?” สิ่งที่เสี่ยวฉิงถามออกมาคือสิ่งที่หลินหยางเองก็อยากที่จะถามด้วยเหมือนกัน

ถึงแม้กริชจะดูเก่าแต่กลับมีอักษรรูนสลักอยู่และเขาไม่สามารถที่จะใช้พลังแห่งจิตวิญญาณกับกริชนี้ได้ ทำให้เขารู้เลยว่ากริชนี่ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ

“ข้าเพิ่งจะบอกไปไม่ใช่เหรอว่าข้าเป็นปีศาจน่ะ? นี่ไม่ได้ฟังกันเลยหรือไง?” มู่หรงเสวี่ยมองค้อน

“อ่า แต่ทำไมท่านถึงดูปกติจังเลยล่ะ?” เสี่ยวฉิงถามอย่างสงสัย เธอมองไม่ออกเลยว่าท่านหญิงจะมีความเป็นปีศาจตรงไหน

มู่หรงเสวี่ยโบกมือและผมของเธอก็กลายเป็นสีม่วงขึ้นมาทันที

เสี่ยวฉิงเบิกตากว้าง มีเพียงเฟิงจือหลิงเท่านั้นที่ยืนจับมือเธออยู่เงียบๆ เขาไม่เคยรู้เลยว่าเสี่ยวเสวี่ยจะต้องลำบากขนาดนี้ ถึงขนาดที่ต้องไปตามชายคนนี้มาเพื่อที่จะถามเรื่องการฝึกเวทมนตร์ มู่หรงไม่เคยพูดอะไรเลยยิ่งทำให้หัวใจของเขาหนักอึ้งขึ้นไปอีก

เขาพูดเสมอว่าจะปกป้องเธอแต่กลับทำได้ไม่ดีอย่างที่พูด

เขาเอาแต่นึกถึงชายคนที่ครั้งหนึ่งเธอเคยบอกว่าเป็นคนรัก เขายังจำท่าทางรอยยิ้มที่แสดงออกถึงความรักที่เธอมีต่อคนรักได้อย่างชัดเจน

ช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่มีสักวันเลยที่เขาจะวางใจได้ เขาเป็นเฝ้าแต่เป็นห่วงเรื่องที่เสี่ยวเสวี่ยจะฟื้นความทรงจำได้

เขาพยายามที่จะบอกความจริงกับเธออยู่หลายครั้ง อันที่จริงเขาเองก็รู้ว่าความรักแบบนี้ไม่ยั่งยืน ถ้าเธอฟื้นความทรงจำได้ เขาก็คงจะเสียเธอไปตลอดกาล เขาเกลียดที่ตัวเองเป็นคนที่เห็นแก่ตัวแบบนี้

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เฟิงจือหลิงก็กำลังติดอยู่ในภวังค์

“ท่านหญิง ผมของท่าน” เสี่ยวฉิงแตะไปที่ผมของเธอ

มันเป็นของจริง

โชคดีจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มู่หรงเสวี่ยทำให้ หลินหยางตกตะลึงได้เป็นครั้งแรก เพราะครั้งนี้ค่อนข้างที่จะเป็นเรื่องใหญ่

เขาเดินเข้ามาดูใกล้ๆ “ไม่ได้ย้อมใช่ไหม?” เขาสงสัยว่านี่อาจจะเป็นยาย้อมผมที่คนทั่วไปใช่กันเพื่อเปลี่ยนสีผมเป็นสีอะไรก็ได้

“นี่เป็นผมสีม่วงของแท้ที่เจ้าต้องอิจฉาเลยล่ะ สวยขนาดนี้” มู่หรงพูดอย่างเหนือกว่า

ฟู่ หลินหยางปล่อยผมเธออย่างไม่พอใจพร้อมทั้งมองค้อนไปด้วยหนึ่งที “ใครอิจฉากัน ประสาท!”

หลังจากที่เงียบมานานนี่เป็นครั้งแรกที่ดวงตาของ เฉินเฟิงแวบประกายประหลาดใจ จนถึงตอนนี้เขามีความรู้สึกอิจฉาเธอมากที่มีเพื่อนที่จริงใจอยู่ข้างกายมากมาย

เขายังจำสีหน้าตื่นตระหนกของเหล่าคนที่ได้เห็นสีผมของเขาจนถึงกับปฏิเสธเขาได้อย่างแม่นยำ แต่หลังจากที่ผ่านมาหลายปีเขาก็ไม่สนใจอีกแล้ว เขาสามารถที่จะอยู่คนเดียวได้อย่างดี

“ท่านหญิง ข้าก็อยากมีด้วยเหมือนกัน” เสี่ยวฉิงกล่าว ท่านหญิงคือคนที่เธอชอบและตอนนี้เธอก็อยากที่จะมีผมสีม่วงเหมือนกับท่านหญิง ทำไมเธอถึงต้องผมสีดำ

มู่หรงมองไปที่เสี่ยวฉิงอย่างไร้คำพูด เด็กสาวคนนี้ช่างฝันสูงจริงๆ และเธอคือเป้าหมายที่นางไล่ตาม เธอแตะไปที่หัวของนาง “อย่าแม้แต่จะคิด”

มู่หรงหันกลับมามองที่เฉินเฟิง “ผมของเจ้าล่ะ?”

เฉินเฟิงค่อยๆถอดผ้าสีดำที่คลุมไว้จนมิดชิด เผยให้เห็นผมสีฟ้าและใบหน้าที่ละเอียดอ่อน

นี่ห่างจากที่มู่หรงเสวี่ยคิดไว้มาก เธอคิดว่าเขาจะมีใบหน้าที่เคร่งขรึม ไม่คิดเลยว่าจะสวยขนาดนี้

“เจ้าสวยมากเลยนะ” หน้าตาแบบนี้ถ้ามองแค่แวบเดียวก็คงจะคิดว่าเป็นผู้หญิงแน่ๆซึ่งไม่ค่อยเข้ากับร่างสูงเท่าไรเลย

เฉินเฟิงยังไม่แสดงท่าทีอะไร ตอนที่เขายังเด็กผมของเขาก็ยังเป็นสีดำ มีหลายคนที่ชอบเล่นกับเขาแต่หลังจากคืนนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

เพื่อนๆที่เคยเล่นกับเขาอย่างสนิทสนมกลับกลายเป็นขว้างปาของใส่เขา แถมยังเรียกให้ท่านลอร์ดมาฆ่าเขาอีกด้วย

“แต่สีผมของเจ้าไม่เหมือนกับข้า” มู่หรงถามออกมาอย่างรู้สึกแปลกๆ นี่จะมีความหมายอะไรพิเศษหรือเปล่า?!

“เจ้าใช้กริชนี้ทำอะไร?” มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เขาและถามออกมา

เฉินเฟิงมองไปที่เธอด้วยสายตาแปลกๆ มู่หรงเสวี่ยหัวเราะออกมา โอเคๆ เธอรู้แล้วว่าเขาจะไม่บอกอะไร เธอก็แค่สงสัยเฉยๆ

เธอลองพยายามกับเฟิงจือหลิงแล้วแต่กริชกลับไม่ตอบสนองอะไรเลย

“เจ้าบอกข้าได้ไหม? เจ้าฝึกตัวเองยังไง?” มู่หรงเสวี่ยถามออกมา

เฉินเฟิงขมวดคิ้ว มู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆต่างก็ระดับสูงกว่าเขาเยอะ ในฐานะนักรบอสูร เขาไม่มีข้อได้เปรียบเหนือนักรบอสูรตัวไหนเลย