บทที่ 390
เฉินเฟิง
“ต่อให้เจ้าอยากได้แต่มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้หรอกนะ” มู่หรงพูดต่อ
ชายชุดดำมองไปที่เธอด้วยสายตาเย็นชาพร้อมด้วยความมุ่งร้ายที่แวบขึ้นมา
มู่หรงไม่ได้รอให้เขาตอบอะไร แต่หันกลับไปหาเสี่ยวฉิงและพูดออกมา “เสี่ยวฉิง ไปจ่ายเงินที”
ตอนที่เธอออกมา มู่หรงเสวี่ยไปที่ธนาคารเพื่อจะแลกทองให้เป็นการ์ดคริสตัลทั่วไป
การ์ดคริสตัลสามารถที่จะเก็บเงินที่ใช้กันทั่วไปได้ การ์ดคริสตัลของที่นี่ก็เหมือนกับเครดิตการ์ดของสังคมสมัยใหม่แต่เครื่องอ่านการ์ดจะแตกต่างออกไป
มู่หรงทำการ์ดคริสตัลและใส่เงินไว้ให้ทุกคน พนักงานของร้านพาเสี่ยวฉิงเดินไปที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน เขาทำงานเป็นพนักงานของร้านซึ่งจะมีค่าคอมมิชชั่นด้วยและนี่เขาขายได้ราคาสูงกว่าราคาปกติตั้งหลายสิบเท่า เดิมทีเขาอยากที่จะพูดว่าเหรียญเงินแต่กลับได้เป็นเหรียญทองมาแทน
เสี่ยวฉิงยื่นการ์ดให้โดยไม่เปลี่ยนสีหน้าเลย ในตอนแรกเธอยังรู้สึกสั่นๆอยู่นิดหน่อยแต่ก็ต้องตะลึงกับความร่ำรวยของ มู่หรงเสวี่ย และตอนนี้เธอก็เข้าใจได้อย่างชัดเจนแล้วว่าท่านหญิงของเธอไม่ได้ขาดแคลนเรื่องเงินทองเลย
ริมฝีปากของมู่หรงเสวี่ยยังเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มจางๆ รอให้ชายชุดดำพูดอะไรขึ้นมาอีก เธอเลือกกริชกระจกอีกหลายอัน กริชค่อนข้างคมและเบาซึ่งราคาไม่ได้แพงอะไรแต่ใช้งานได้จริง
พนักงานในร้านคนเมื่อกี้เห็นมู่หรงเสวี่ยกำลังเลือกอะไรอีกหลายอย่างจนเขาอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา รายได้ของเขาวันนี้เยอะกว่าที่ได้ทั้งเดือนซะอีก
หลังจากที่จ่ายเงินเต็มจำนวนเสร็จ มู่หรงไม่ได้หันกลับไปมองชายชุดดำอีกแต่เดินออกจากร้านไปพร้อมอาวุธเลย
ชายชุดดำเองก็เดินออกมาด้วย พนักงานในร้านเองก็มองไปที่ชายชุดดำพร้อมทั้งถอนหายใจออกมาเพื่อแสดงถึงความ โล่งอกที่ในที่สุดเขาก็ออกจากร้านไป เพราะถ้าเขาไม่ออกไป เขาเองก็คงจะต้องจับตามองอยู่ตลอดทั้งวันแน่ๆ
“ท่านหญิง ชายคนนั้นตามเรามาค่ะ” เสี่ยวฉิงพูดเสียงเบา
“ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก ปล่อยให้เขาตามไป” มันอยู่ในมือของเธอแล้ว งั้นถ้าคิดจะปล้นก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เธอเพียงแค่สนใจที่อีกฝ่ายเป็นปีศาจจริงหรือเปล่า
เวลาที่ผ่านมานานเธอสนใจเพียงแค่การฝึกพลังแห่งจิตวิญญาณและไม่ได้สนใจส่วนของเรื่องเวทมนตร์เลย แต่จากที่เสี่ยวไป๋บอก เวทมนตร์เองก็ต้องการการฝึกฝนด้วยเหมือนกัน มันคงจะไม่ดีเท่าไรเพราะถ้าควบคุมพลังเวทมนตร์ของตัวเองไม่ได้ ก็จะเสียการควบคุมทั้งหมดไปด้วย
แต่เผ่าปีศาจไม่เคยปรากฏกายมาก่อนและแม้แต่เสี่ยวไป๋เองก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องของพวกปีศาจมากเท่าไร การจะพบปีศาจไม่ใช่เรื่องง่าย บางทีเธออาจจะได้เรื่องอะไรบ้าง
“ท่านหญิง เขาตามพวกเรามานะคะ แล้วแบบนี้จะไม่สนใจได้ยังไงล่ะ?” เสี่ยวฉิงขึ้นเสียงสูงด้วยความโกรธ
“เจ้ากังวลอะไรง่ายขนาดนี้เดี๋ยวก็หน้าแก่กันพอดีหรอก” มู่หรงเสวี่ยยิ้ม
ท่าทางเฉยเมยของท่านหญิงของเธอ ทำให้เสี่ยวฉิงรู้สึกจนปัญญาจริงๆ
“ท่านหญิงแล้วถ้าเขามีเจตนาไม่ดีล่ะคะ” เสี่ยวฉิงถาม
“ทำไม เจ้ากลัวว่าคนอื่นจะดูถูกเจ้าหรือไง?” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้มในระหว่างที่มองดูข้าวของตาแผงลอยไปด้วย
“ท่านหญิง ยังจะล้อเล่นอยู่ได้อีกเหรอ? นี่ข้าจริงจังนะคะ” เสี่ยวฉิงมองไปที่มู่หรงเสวี่ยอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไร
“ข้าไม่ได้ล้อเล่น ข้าพูดจริงๆ” มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า
เสี่ยวฉิงทำปากขยุกขยิกแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาว่ามู่หรงนี่เป็นคนที่งี่เง่าจริงๆ
มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจนาง เธอกำลังสนุกอยู่กับตัวเอง เธอชอบการเดินดูข้าวของไม่ว่าจะดูมาแล้วกี่รอบก็ตาม
ครั้งหนึ่งมู่หรงเคยฝันที่จะใช้ชีวิตในอนาคตร่วมกับคนที่เธอรัก เธอได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้เพื่อครอบครัวเป็นอย่างดี
แต่ความฝันนี้ก็ต้องพังทลายเพราะฟางฉีฮัว เรื่องนี้ยังเป็นบาดแผลอยู่ในใจของเธอ
เฉินเฟิงหรือชายในชุดดำที่กำลังเดินตามมู่หรงเสวี่ยมาเอาแต่คิดถึงเรื่องตัวตนของเธอ เธอมีเวทมนตร์ หรือเธอจะเป็นเหมือนกับเขางั้นเหรอ?
เฉินเฟิงมีความรู้สึกแปลกๆอยู่ในหัวใจ “เหมือนกัน”
โลกนี้มันช่างแปลกเหลือเกิน หลายปีที่ผ่านมาเขาต้องอยู่ตัวคนเดียวถ้าไม่ใช่เพราะรักชีวิตตัวเอง เขาก็คงจะตายไปแล้ว แต่กริชนั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องการ
หลังจากที่คิดถึงเรื่องนี้แล้ว เฉินเฟิงก็เดินตรงไปข้างหน้า “กริชนั่น เจ้าต้องการยังไง?”
มู่หรงวางตุ๊กตาตัวเล็กที่อยู่ในมือลงแล้วเลิกคิ้วและหันมามองที่เฉินเฟิง
“ตามมา ตรงนี้ไม่เหมาะที่จะคุย” มู่หรงเสวี่ยกล่าวพร้อมทั้งออกเดินนำไป
เสี่ยวฉิงเองก็ตามไปด้วยแล้วถามขึ้นมาด้วยเสียงเบา “ท่านหญิง ท่านจะทำอะไรเนี่ย ข้าไม่เห็นเข้าใจเลย?”
“ถ้าเจ้าไม่เข้าใจงั้นก็อยู่เฉยๆแล้วไม่ต้องพูดอะไร” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ท่านหญิง ถ้าไม่ให้ข้าพูดแล้วจะให้ข้าทำอะไรล่ะ?”
“ฮ่าฮ่า ข้าล้อเล่นน่า โกรธหรือไง?! อย่าใจร้ายหน่อยเลยน่า” มู่หรงแตะไปที่หัวของนางและพูดออกมา
“ท่านต่างหากที่ใจร้าย ข้าถามอะไรท่านตั้งมากมายแต่ท่านกลับไม่บอกอะไรข้าเลย ท่านไม่ชอบข้าแล้วเหรอท่านหญิง?” นางกล่าว ดวงตาเริ่มจะแดงระเรื่อ
“อย่านะ ข้าไม่อยากเห็นเจ้าร้องไห้ ข้ากลัวแล้วนะ อีกเดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้ทุกอย่าง ข้าจะปิดบังอะไรเจ้าได้งั้นเหรอ?” มู่หรงพูดอย่างจนปัญญา
เฉินเฟิงเดินตามมาด้านข้างโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
ท่านหญิงงั้นเหรอ?! นางคงจะเป็นท่านหญิงจากตระกูลร่ำรวยแต่ขอบเขตการฝึกตนของนางกลับแข็งแกร่งมาก เขาไม่รู้ว่าทำไมเรื่องแบบนี้ถึงมาเกิดขึ้นในเมืองเล็กๆแบบนี้
ปกติแล้วคนที่อยู่ในระดับสีเขียวก็จะได้เข้ารอบไปโดยอัตโนมัติ แต่ไม่ว่าจะยังไงเขาก็จะต้องได้เข้ารอบด้วย
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้เล็ง 10 อันดับแรกของผู้ฝึกตน รางวัลมีทั้งหมด 50 รางวัลและเขาเองก็อยู่ในระดับสีเขียวด้วยเหมือนกัน ถ้าเขาอยู่ในระดับสีเขียว เขาก็สามารถได้เข้าเรียนและฝึกตนที่สำนักชิงหยุน ที่นั่นมีอาจารย์ระดับสูงมากมายและตำราการฝึกตนด้วย
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาต้องฝึกตนด้วยตัวเอง ก็ก้าวหน้าบ้างแต่ก็ยังค่อนข้างที่จะช้า
ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากที่จะเข้าเรียนที่สำนักด้วย ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลงหยวนต่างก็ปฏิเสธเขาและเขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียนในโรงเรียนประถมด้วย
ก่อนหน้านี้หลายครั้งที่เขาถูกคัดออกตั้งแต่รอบแรกโดยเจตนา ดังนั้นเขาเลยไม่เคยที่จะผ่านรอบแรกของการแข่งขันไปได้เลย
แต่ครั้งนี้ต้องขอบคุณผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้
“ข้าชื่อเฉินเฟิง” เขาพูดเสียงเรียบ
มู่หรงยิ้ม “ข้าชื่อมู่หรง ส่วนนางชื่อเสี่ยวฉิงเป็นคนที่น่ารักมาก”
“ท่านหญิง ทำไมถึงต้องบอกชื่อเขาด้วยล่ะ” เสี่ยวฉิงพูดอย่างไม่พอใจ
“ก็ไว้เรียกชื่อกันไง จะไม่บอกให้รู้ได้ยังไงล่ะ?”
“เขาเป็นคนแปลกหน้านะท่านหญิง!” นางพยายามที่จะเข้าใจกับเรื่องนี้
มู่หรงยิ้ม เธอมีพลังมากพอที่จะจัดการอีกฝ่ายได้จึงไม่มีอะไรที่จะต้องกังวล เธอไม่เคยทำอะไรที่ตัวเองไม่แน่ใจ
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ข้าจะปกป้องเจ้าเอง” เธอพูดกับเสี่ยวฉิงพร้อมรอยยิ้ม
“ท่านหญิง ท่านเข้าใจผิดอีกแล้ว ข้าสิที่ควรจะเป็นคนปกป้องท่าน ตอนนี้ระดับการฝึกตนของข้าไม่ใช่เล่นๆแล้วนะ เข้าใจไหม?” ก่อนหน้านี้เธอก็อยากที่จะปกป้องท่านหญิงมาตลอดและตอนนี้เธอก็สามารถที่จะปกป้องท่านหญิงได้แล้ว
“โอเค โอเค งั้นก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกังวลมากนัก”
ไม่นานหลังจากที่พวกเธอออกมา พวกเธอก็เดินตรงไปที่ร้านอาหารที่เฟิงจือหลิงและหลินหยางเข้าไป พวกเขากำลังนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้
มู่หรงโบกมือและเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้ม
“ยินดีต้อนรับครับ” ในตอนนี้พนักงานเข้ามาต้อนรับทันทีที่เห็นพวกเธอเดินเข้ามาและกำลังจะเดินนำพวกเธอไปที่โต๊ะด้วยรอยยิ้ม
ช่วงนี้ตามร้านอาหารผู้คนจะพลุกพล่านมากเพราะงานการแข่งขันจึงทำให้เหล่าร้านค้าต่างก็พลอยขายดีไปตามๆกัน เจ้าของร้านอารมณ์ดีอย่างมาก รวมทั้งเหล่าพนักงานในร้านด้วย
เพราะมีรายได้เข้ามาอย่างมากมายทำให้เหล่าพนักงานบริการด้วยรอยยิ้มอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่ต้อง เรานัดเพื่อนไว้แล้ว” เสี่ยวฉิงกล่าว
มู่หรงเดินไปที่ฝั่งของเฟิงจือหลิงพร้อมจับมือเขาอย่างออดอ้อน “คิดถึงข้าหรือเปล่า?”
สีหน้าของเฟิงจือหลิงแดงระเรื่อ เขาไม่ค่อยชินกับคำหวานแบบนี้
“ถ้าเจ้าบอกว่าไม่ ข้าก็จะไม่สนใจเจ้าแล้วนะ” มู่หรงแสดงสีหน้าพร้อมทั้งพูดออกมาอย่างมีมารยา
ไม่เพียงแค่หน้าของเฟิงจือหลิงเท่านั้นที่แดงระเรื่อแต่ความเขินนี้กลับแดงไปจนถึงหูเลย
สายตาของมู่หรงเปล่งประกาย เธอชอบเฟิงจือหลิง เพียงแค่มองแวบเดียวก็ทำให้หัวใจเธอรู้สึกมีความสุขอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แล้ว
“คิดถึงสิ…” น้ำเสียงของเฟิงจือหลิงที่พูดออกมาเบาอย่างกับเสียงยุง
“ข้าไม่ได้ยินที่เจ้าพูดเลย” มู่หรงเสวี่ยพูดต่อพร้อมรอยยิ้ม
เฟิงจือหลิงฟุบหน้าลงกับโต๊ะ
เสี่ยวฉิงเอามือปิดหน้าและรู้สึกเสียใจที่ต้องมาได้ยินอะไรแบบนี้อีก อ่า ท่านหญิงกล้าพูดอะไรแบบนี้ได้ยังไงกัน? น่าอายจริงๆเลย
หลินหยางมองไปที่มู่หรงเสวี่ยด้วยสายตาดูถูก “ไม่อายบ้างหรือไง?”
มู่หรงจ้องไปที่เขาด้วยสายตาเย็นชา “ทำไมต้องอายด้วย? เจ้าก็กินไปเถอะ หรือว่าอิจฉา ฮ่ะ!”
“เจ้าเองก็ควรจะหาคนมาอยู่ด้วยได้แล้วนะ แล้วจะได้เห็นว่าจะหวานซึ้งขนาดไหน อย่ามามัวแต่อิจฉาเลยมันน่าเกลียด”
ฟู่!
“เจ้าว่าใครน่าเกลียด? แต่ก่อนมีสาวๆนับพันที่มาหลงรักข้า จำไม่ได้หรือไง?” หลินหยางมองไปที่เธอด้วยสายตาเย็นชา
“มันผ่านมานานแล้วไหม ตอนนี้เจ้าแก่จนเป็นลุงได้แล้วนะ” มู่หรงกล่าว
เฟิงจือหลิงไม่ได้อ้าปากพูดอะไร ใบหน้าของเขายังร้อนและแดงระเรื่อ
“เจ้าตาบอดแล้วล่ะ มีตาหามีแววไม่” หลินหยางพูดประชดประชัน
มู่หรงพ่นลมออกมาอย่างเย็นชาแล้วจึงหันหัวกลับมาและซบลงไปที่ไหล่ของเฟิงจือหลิง
“เขารังแกข้านะ เจ้าช่วยจัดการให้ข้าหน่อยสิ”
เฟิงจือหลิงเงียบไปชั่วขณะ ที่ไหล่รู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ คำพูดที่อ่อนหวานเหล่านี้ทำให้เขามีความสุขจนอยากให้เป็นแบบนี้ไปตลอดกาล
“ได้ยินที่ข้าพูดหรือเปล่า? เฟิงจือหลิง เขารังแกข้านะ เจ้าช่วยจัดการเขาให้ข้าทีสิ” ไม่ต้องสงสัยเลยว่าท่าทางของหญิงสาวที่แสดงออกมาจะเป็นยังไง นี่เป็นท่าทางที่เธอแสดงต่อหน้าคนรักเท่านั้น
“ข้าจะจัดการเขาให้เจ้าเอง!” เฟิงจือหลิงพูดออกมาพร้อมด้วยสายตาเย็นชาที่มองไปยังหลินหยาง
“พี่เฟิง จะเอาจริงเหรอ?” บ้าเอ่ย นังผู้หญิงคนนี้นี่!
“อย่าเลย ผู้หญิงก็เหมือนกับเสื้อผ้าที่เปลี่ยนได้บ่อยๆนะ”
“พี่น้องก็ไม่ต่างกัน!” เฟิงจือหลิงพูดอย่างไร้ความปรานี
“บ้าเอ่ย เจ้านี่น่ากลัวจริงๆ” หลินหยางถอนหายใจ คนที่ความรักครอบงำนี่น่ากลัวจริงๆ ตามืดบอดจนมองไม่เห็นคนอื่นเลย
มู่หรงเสวี่ยแลบลิ้นออกมา
“นั่นเขาใช่ไหม?” เฟิงจือหลิงสังเกตเห็นเฉินเฟิงที่กำลังยืนอยู่ข้างๆมู่หรงเสวี่ยและจึงถามออกมาอย่างสงสัย แน่นอนว่าเขาจำได้ว่าชายคนนี้คือคนที่สนามการแข่งขันแต่เขาสงสัยว่าทำไมเขาถึงมาอยู่กับเสี่ยวเสวี่ย
“โอ้ ข้าเกือบลืมไปเลย เฉินเฟิง มานั่งก่อนสิจะได้ทำความคุ้นเคยกัน”
“เขาคือเฉินเฟิง นี่เฟิงจือหลิงและหลินหยาง นั่งกินอะไรด้วยกันก่อนสิ” มู่หรงพูด