บทที่ 389

กริช

“เจ้าสมควรแล้วล่ะที่จะไม่มีใครรัก!”

“เจ้าพูดเรื่องอะไรที่ไม่มีใครรักข้า? เฟิงจือหลิงรักข้าจะตายไป” มู่หรงมองไปที่คนมากมายด้วยสายตาเหยียดหยัน

เฟิงจือหลิงหลงรักมู่หรงเสวี่ยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงอยากให้วันมันยาวนานมากกว่านี้เพราะเขารู้ว่ามันคงอีกไม่นานก่อนที่ความทรงจำของมู่หรงเสวี่ยจะกลับมา

ผลการแข่งขันออกมาโดยไม่ต้องพูดอะไรเลย มู่หรงและคนอื่นๆต่างก็เดินออกไปพร้อมกับชายชุดดำที่อยู่ข้างๆ

ตอนนี้เหลือผู้เข้าแข่งขันอีกประมาณ 100 คน หลังจากรอบคัดออกในรอบแรก คนที่เหลือจะต้องสู้ตัวต่อตัว มู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆถูกจัดให้แข่งขันตามผลคะแนนที่แตกต่างกัน

คนที่เหลือที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรต่างก็ไปเที่ยวชมเมืองกัน

“ผู้หญิงนี่ตัวปัญหาจริงๆเลย!”

“นี่เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร? เจ้ามีปัญหาอะไรงั้นเหรอ? หลบไปให้พ้นเลยนะ” ก่อนที่มู่หรงเสวี่ยจะทันได้พูดอะไร เสี่ยวฉิงก็ตอกกลับออกไปก่อนทันที

“พี่เฟิงไปกันเถอะ อย่าไปสนใจผู้หญิงพวกนี้เลย เวลาได้ช้อปปิ้งผู้หญิงพวกนี้ก็เหมือนกับเสียสติกันไปเลย นี่ก็คงจะไม่หยุดจนกว่าจะซื้อของกันเสร็จเลยแหละ เราไปหาอะไรดื่มกันเถอะ” หลินหยางดึงเฟิงจือหลิงและเดินเข้าไปในร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ

มู่หรงยิ้ม พร้อมทั้งมองและโบกมือเบาๆไปที่เฟิงจือหลิงเป็นการบอกให้พวกเขาไปเถอะ เธอรู้ดีว่าผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ชอบเรื่องการช้อปปิ้งเท่าไร

“ท่านหญิงไปกันเถอะ” เมื่อตัวน่ารำคาญไปแล้ว เธอก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข

“ข้าบอกเจ้าตั้งกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกข้าว่าท่านหญิง ให้เรียกว่าเสี่ยวเสวี่ยก็พอ” มู่หรงเสวี่ยนวดไปที่ขมับตัวเอง

เธอเองก็รู้สึกดีใจอยู่นิดหน่อยแต่ก็ย้ำกับนางอยู่หลายครั้งว่าอย่าเรียกเธอว่าท่านหญิง พร้อมทั้งบอกนางอยู่หลายครั้งว่าทุกคนเท่าเทียมกัน

“ท่านหญิงก็คือท่านหญิง และจะเป็นท่านหญิงไปตลอดด้วย” เสี่ยวฉิงกล่าว

“โอเคๆ! ข้าละกลัวเจ้าจริงๆ เอาอย่างที่เจ้าต้องการแล้วกัน”

พวกเธอเดินไปที่ร้านขายอาวุธซึ่งมีอาวุธชั้นยอดอยู่มากมาย ถึงแม้ในหอคอยเก้าชั้นจะมีอาวุธแห่งจิตวิญญาณอยู่มากมายแต่เพื่อไม่ให้เป็นการสร้างปัญหา เธอจึงเลือกซื้อชิ้นที่ไม่เด่นเตะตามากนักแทน

สองวันที่ผ่านมานี้เธอให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก ยังไม่มีใครใกล้ตัวที่ใช้อาวุธแห่งจิตวิญญาณเลย จนถึงตอนนี้เธอไม่เห็นคนที่ด้อยกว่าเลย

แค่ในมิติลับของเธออย่างเดียวก็เต็มไปด้วยอาวุธแห่งจิตวิญญาณระดับสุดยอดมากมายแล้วซึ่งเทียบเคียงได้กับอาวุธของเซียนเลยทีเดียว แต่ที่นี่กลับมีร้านแค่เพียง 10 ร้านเท่านั้นเอง

ยังไงซะอาวุธพวกนี้ก็ไม่ได้ถูกเลย ไม่ใช่อะไรที่ทุกคนจะซื้อได้

“ท่านหญิง นั่นผู้คนคนเมื่อวานหรือเปล่า?” เสี่ยวฉิงชี้ไปที่ชายชุดดำที่กำลังดูอาวุธอยู่

มู่หรงเสวี่ยมองไปตามทิศทางที่เสี่ยวฉิงชี้และอย่างที่คิดไว้เธอเห็นชายชุดดำที่ยืนอยู่ในสนามการแข่งขันไม่ห่างจากพวกเธอเมื่อวาน

“ใช่เขาจริงๆด้วย!” แต่เมื่อนึกถึงท่าทางที่เฉยเมยของเขา มู่หรงก็ไม่สนใจที่จะเข้าไปทักทาย

เธอมองไปที่มือบอบบางของเขาและเห็นว่าเขากำลังถือกริชธรรมดาๆอยู่ กริชนั่นดูธรรมดาอย่างมาก ไม่มีอะไรพิเศษและดูเหมือนจะขึ้นสนิมอยู่นิดหน่อยด้วย

“โอ้ ดูสิว่าใครมา?!”

“เป็นแค่เด็กจนๆยังจะกล้ามาที่นี่อีกนะ”

“ไม่ต้องดูเลย ดูไปก็ไม่มีปัญญาจะซื้อ”

“น่าขำดีนะ ถ้าเมื่อวานไม่ได้มีคนเยอะขนาดนั้นแล้วเขาจะชนะได้ยังไง?”

“ใช่น่ะสิ ข้าได้ยินว่าเขาเป็นเด็กกำพร้าด้วย”

“ไม่ว่าเรื่องนั้นจะจริงหรือเปล่าแต่ดูเหมือนว่าเขาจะเก่งมากเลยนะ”

“ได้ยินมาว่าพ่อแม่เขาถูกไฟคลอกตาย ไม่รู้ว่าเขาจะรอดมาทำไม”

“ให้คนแบบนี้อยู่บนโลกนี่มันเสียข้าวสุกจริงๆเลย”

ในตอนนี้มีหนุ่มสาวหลายคนที่สวมเสื้อผ้าดูดีเดินเข้ามาในร้าน ทันทีที่พวกเขาเดินเข้ามา พวกเขาก็เดินไปยืนข้างๆชายชุดดำ

จนถึงตอนนี้สีหน้าของชายชุดดำยังไม่แสดงอาการใดๆ เขาเมินเฉยคนพวกนั้นโดยสิ้นเชิง ประกายเย็นชาแวบขึ้นมาในสายตาของเขา เขามองไปที่กริชที่อยู่ในมือและถูไปที่รอยที่ขอบของกริช

มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย กริชนั้นมีอะไรพิเศษหรือเปล่านะ?

“ไอ้เด็กสกปรก ไม่ได้ยินข้าหรือไง?”

ชายร่างอ้วนตบไปที่หลังของชายชุดดำ

“อี๋ เจ้ากล้าแตะตัวเขาได้ยังไงกัน? ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นปีศาจนะ!”

“เจ้าไม่กลัวตัวเองโชคร้ายเหรอ”

“ไม่หรอก ข้าไม่เห็นเคยได้ยินเลย” ชายอ้วนร่างเล็กถอยหลังไปสองก้าวและถูไปที่แขนอย่างหมดท่าหวังที่จะทำให้อาการขนลุกที่แขนของตัวเองหายไป

“เจ้ารู้อะไรบ้างล่ะ? ข้าได้ยินมา ตอนที่เขายังเด็ก มีคนพยายามที่จะเผาเขาแต่…”

“แต่อะไร?”

“ข้าก็ไม่รู้หรอก แต่พูดง่ายๆนะว่าไม่มีใครแตะต้องเขาได้ง่ายๆหรอก มีแค่พระเจ้าเท่านั้นแหละที่รู้ว่าเขาเป็นปีศาจหรือว่าตัวอะไร”

“อย่าทำให้คนอื่นเขากลัวสิ ถ้าเขาเก่งขนาดนั้นจริงๆแล้วจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”

“ข้าก็ได้ยินเขาพูดกันมาแต่ก็ไม่รู้จริงๆหรอก เขาเรียกว่าจำเขามาพูดไง”

“ข้าก็แค่ไม่ชอบเขา พวกเราต่างก็ผ่านเข้ารอบมาด้วยกำลังของตัวเอง เขาแค่ยืนอยู่เฉยๆแล้วก็ผ่านเข้ารอบมาได้ง่ายๆเลย”

“ไปดูอย่างอื่นกันเถอะ น่าเสียดายที่เจ้าไม่ได้พูดออกมาตั้งแต่แรก”

“ข้ารู้สึกเหมือนมือตัวเองกำลังจะเน่าเลย”

คนเหล่านั้นไม่ได้หาเรื่องชายชุดดำแล้ว พวกเขาเดินไปดูอาวุธที่ฝั่งระดับกลางแทน

อาวุธระดับต่ำเป็นอาวุธของคนที่อยู่ในระดับต่ำที่สุด

“ปีศาจงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยยกริมฝีปากซึ่งแสดงถึงความสนใจขึ้นมาเล็กน้อย

“ท่านหญิง อย่าเข้าไปนะคะ!” เสี่ยวฉิงดึงมู่หรงที่กำลังจะเดินเข้าไปหาชายชุดดำ

“ถ้าเจ้ากลัวก็ไปยืนข้างๆเลย” เมื่อพูดถึงเรื่องปีศาจ เสี่ยวฉิงไม่ค่อยจะถูกกับเรื่องนี้เท่าไรนักแบบนี้เธอต้องเปลี่ยนเป็นผมสีม่วงเพื่อทำให้นางกลัวซะหน่อยแล้ว

หลังจากที่คิดเรื่องนี้แล้วมู่หรงเสวี่ยก็เริ่มยิ้มขึ้นมาอย่างสนใจ เสี่ยวฉิงกระทืบเท้า “ท่านหญิง ไม่ได้ยินที่เขาคุยกันเมื่อกี้หรือไงเจ้าคะ?”

“ได้ยินสิ ข้าไม่ได้หูหนวกนะ!” มู่หรงพูด

ได้ยินแล้วยังจะมีความคิดอะไรแบบนี้อีก “ท่านหญิง ไปดูของดีๆทางโน้นกันดีกว่านะ” เสี่ยวฉิงพูดชวนให้ไปดูของคุณภาพดีที่อื่น

“แต่ตรงนั้นมีหนุ่มหล่อนะ” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม

หนุ่มหล่องั้นเหรอ? ไหนกัน? ตรงนี้มีแค่ผู้ชายที่แต่งตัวซะมิดชิดจนมองเห็นแค่ลูกตาอย่างเดียว อย่างอื่นมองอะไรไม่เห็นเลย

การมาถึงของมู่หรงไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มเปลี่ยนแปลงท่าทางเลยแม้แต่น้อย

มู่หรงเสวี่ยไม่ได้พูดอะไรแต่จ้องไปที่กริชในมือของชายหนุ่มเขม็ง ข้างในนั้นมันมีเวทมนตร์อยู่ด้วย

ในจังหวะนี้จู่ๆชายชุดดำก็เงยหน้าขึ้นมาและมองไปทางมู่หรงด้วยสายตาเย็นชา ดูเหมือนจะมีเวทมนตร์อย่างที่คนพวกนั้นพูดไว้จริงๆด้วย

ระหว่างคนที่มีเวทมนตร์จะมีเสียงก้องระหว่างกัน ดังนั้นในจังหวะนี้มู่หรงจึงได้ยินเสียงร้องเรียกของเวทมนตร์ ชายชุดดำเองก็คงจะรู้สึกด้วยเหมือนกัน

มู่หรงเห็นสายตาที่ประหลาดใจของชายชุดดำได้อย่างชัดเจน

“มีอะไรเหรอ?” ชายชุดดำถาม

มู่หรงหยักไหล่ “ไม่มีอะไร ข้าแค่ดูอาวุธเฉยๆ”

หลังจากนั้นเธอก็หยุดที่จะมองไปที่ชายชุดดำ เมื่อกี้เธอแค่สงสัยเฉยๆ

อย่างไรก็ตามปีศาจฉีกับออร่าก็ไม่เหมือนกัน แล้วชายชุดดำจะเก็บซ่อนหรือปลอมมันได้ยังไง

ต่างกับเธอ เธอคือการอยู่ร่วมกันของปีศาจฉีและออร่า และทั้งสองส่วนก็สามารถที่จะปรับตัวเข้าหากันได้อย่างอิสระด้วย

มู่หรงเสวี่ยและเสี่ยวฉิงเดินไปที่ส่วนอื่นและเริ่มที่จะเลือกกริชอย่างตั้งใจ

ในตอนนี้พนักงานในร้านเดินเข้ามา

“นายท่าน อยากที่จะซื้อกริชนี่เหรอครับ?”

ชายชุดดำมองไปที่เจ้าของร้านและไม่ยอมปล่อยมือจากกริชของตัวเอง

มู่หรงเสวี่ยมองอย่างสนใจ ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างในกริชของเขา

“นายท่าน อยากที่จะซื้อหรือเปล่าครับ? ถ้าไม่ซื้อก็วางกลับไปที่เดิม” พนักงานในร้านสังเกตเห็นอะไรผิดปกติจึงเดินเข้ามาเพื่อที่จะดูชายคนนี้

พวกเขาต่างก็รู้ว่าชายที่แต่งตัวแปลกคนนี้ไม่มีทางที่จะมีปัญหาซื้อแน่ๆ แถมเขายังยืนอยู่ในร้านมานานแล้ว นี่ก็ครึ่งวันแล้วตั้งแต่ช่วงเช้า เจ้าของร้านกลัวว่าเขาจะขโมยของจึงบอกให้เขาเดินมาดู ชายชุดดำมองไปที่พนักงานของร้านด้วยสายตาเย็นชา

“อยากจะซื้อหรือเปล่า? ถ้าไม่ซื้อก็ช่วยวางเก็บไปที่เดิมด้วยได้ไหมครับ?” พนักงานของร้านพูดออกมาโดยไม่สนใจว่าสายตาของชายชุดดำที่มองมาจะเย็นชามากแค่ไหน

นี่เป็นงานของเขา ซึ่งในวันปกติเขาก็จะต้องเจอกับลูกค้าที่รับมือด้วยยากอยู่แล้ว ถ้าเขาจัดการกับเรื่องพวกนี้ไม่ได้ เจ้าของร้านก็คงจะไล่เขาออกแน่ๆ

ชายชุดดำวางกริชกลับไปที่ชั้นแต่สายตากลับมองไม่วางตาอยู่สักพัก มู่หรงเดินเข้าไป หยิบกริชที่ชายชุดดำมองอยู่ขึ้นมาดูทันที ชายชุดดำจ้องไปที่มู่หรงเสวี่ยด้วยสายตามุ่งร้าย

มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจเขา กริชนี้ยังไม่มีใครซื้องั้นใครก็มีสิทธิที่จะเอาขึ้นมาดูก็ได้

กริชเต็มไปด้วยสนิมและไม่มีประกายเลย เหมือนกับเป็นอาวุธที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่แบบนี้มานานจึงมองหาจุดที่เปล่งประกายไม่ได้เลย

มู่หรงเสวี่ยไม่คิดว่ามันเป็นกริชธรรมดาทั่วไป

ชายชุดดำทำให้เธอรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ ถ้ามันเป็นกริชธรรมดาเขาก็คงไม่อยากที่จะได้ขนาดนี้หรอก

ทันใดนั้นเธอก็ถูไปที่รอยขรุขระที่อยู่บนด้ามกริช เธอพลิกขึ้นมาดูอย่างระวังแล้วก็เจอว่ามันมีอักษรโบราณที่เธอไม่รู้จักเขียนเอาไว้

ตัวอักษรที่เธอไม่รู้จักยื่นออกมา สายตาของมู่ทรงเสวี่ยจ้องเขม็ง

“ท่านหญิง กริชนี่อยู่กับร้านเรามานานมากแล้ว ว่ากันว่ามันถูกพบในถ้ำของพวกเซียน”

“นี่ราคาเท่าไร?” มู่หรงเสวี่ยถาม

ยังไงซะก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่มีปัญญาซื้ออยู่แล้ว แล้วถ้าปล่อยไว้ก็อาจจะมีคนตาดีคนอื่นมาซื้อไปก็ได้

“50 …” 50 เหรียญเงินจะแพงไปหรือเปล่านะ? ยังไงซะ เจ้าของร้านก็บอกว่าเขาเก็บมาได้โดยไม่เสียเงินสักบาท

“50 เหรียญทองเหรอ?” มู่หรงถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ ถูกขนาดนั้นเลยเหรอ?!

“ครับ…” เหรียญเงิน ก่อนที่พนักงานของร้านจะพูดจบ เขาก็ถูกมู่หรงเสวี่ยพูดขัดขึ้นมาก่อน

“โอเค เสี่ยวฉิงเอาเงินมาให้ข้าที” มู่หรงเสวี่ยไม่ยอมวางกริชลง

ชายชุดดำจ้องมู่หรงราวกับอยากจะฆ่าเธอ

“มองข้าแบบนั้นหมายความว่าไง?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“เข้ามาเลย ข้าจะไม่ใจร้ายกับเจ้า” ชายหนุ่มพูด

ฟิ้ว!

มู่หรงเงียบไปชั่วขณะแล้วจึงพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “น่าสนใจ แต่เจ้าไม่มีปัญญาซื้อนี่ งั้นปล่อยให้ข้าซื้อไปน่าจะดีกว่า”

ถ้าเขาไม่มีปัญหาซื้อ เขาก็คงจะไม่เอากริชมาถือไว้หรอก ชายชุดดำกำมือแน่นอย่างไม่พอใจ กริชนี่สำคัญกับเขามาก