บทที่ 388 ชิงหยุน

อย่างไรก็ตามทุกครั้งหลังจากที่ทำอาหาร แต่เธอก็กลับไม่แตะอะไรเลย เธอเป็นคนที่เรื่องมากจริงๆ หลังจากที่วิพากษ์วิจารณ์เสร็จ เธอก็จะหยิบผลไม้แห่งจิตวิญญาณจากมิติลับออกมาดิน ดังนั้นอาหารที่เขาทำจึงไม่ถูกแตะเลยสักนิด

ทำไมถึงไม่ตายไปซะเนี่ย!

มู่หรงเสวี่ยหัวเราะ มันตลกจริงๆที่ได้เห็นสีหน้าของเขาแบบนี้ แบบนี้เธอจะเลิกได้ยังไงล่ะ ไม่งั้นการเดินทางก็คงจะน่าเบื่อน่าดูเลย

ในเมืองดูมีชีวิตชีวาอย่างมาก ตามท้องถนนก็เต็มไปด้วยข้าวของสินค้า มีชาวสวนมากมายกำลังร้องเรียกลูกค้า ไม่นานก็มีเสียงกลองดังขึ้นมา ผู้คนต่างก็รีบเร่งไปในทิศทางของเสียงกลอง

มู่หรงและหลินหยางเรียกบาร์เรียร์ขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ ที่ถนนมีคนอยู่มากเกินไปจนเกือบที่จะพลุกพล่าน

“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ไปดูกันก่อนเถอะ” หลินหยางพูด

“ฮ่าฮ่า อาจจะเป็นการประกวดนางงามก็ได้นะ เจ้าจะได้เลือกเองสักคน” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม

“แค่เจ้าคนเดียวก็พอแล้ว” หลินหยางมองไปที่เธอด้วยสายตาเย็นชา

มู่หรงค้อนไปที่เขา “พูดอะไรไร้สาระ ไม่กลัวจะมีปัญหากับเฟิงจือหลิงหรือไงฮ่ะ!”

“เจ้าต่างหากที่พูดจาไร้สาระ ถ้าเจ้าอยากที่จะหาผู้หญิงให้ข้างั้นข้าก็จะบอกเฟิงจือหลิงว่าเจ้ายั่วยวนข้า” หลินหยางพูดพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“ฮ่า เจ้าพูดไปเลย ลองดูว่าเขาจะเชื่อข้าหรือเจ้า” ความสัมพันธ์ของพวกเธอมันเรียบง่ายมากจนเธอไม่กลัวว่าใครจะพูดอะไรยังไง

“นังปีศาจ! หลินหยางจ้องไปที่เธอด้วยสายตาดุดัน

ถึงแม้พวกเธอจะเดินกันอย่างสบายแต่ก็ไม่ได้ช้าไปกว่าเหล่าคนที่กำลังวิ่งอยู่ข้างๆพวกเธอเลย ไม่นานพวกเธอก็มาถึงลานกว้าง

ตรงกลางคืออาคารขนาดใหญ่ที่สร้างด้วยหินออบซิเดียน นอกจากนี้ยังมีแผ่นหินขนาดใหญ่ด้วยที่กำลังแสดงรายการด้วยเมฆสีฟ้า!

“การแข่งขันรอบใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว”

“งั้นเหรอ?! ได้ยินว่าครั้งนี้มีผู้มากฝีมือมากันเยอะนะ ฝีมือระดับพวกเราแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไปสู้กับพวกเขา”

“ไม่ขนาดนั้นหรอก ยังมีเด็กหนุ่มจากหมู่บ้านอีกคน”

“เจ้าหมายถึงเด็กจากตระกูลหลินเหรอ”

“ใช่ เขาฆ่าสัตว์​อสูร​ตัวเองเลยนะ ผู้ใหญ่ทั่วไปถ้าไม่มีพลังขนาดนั้นก็ยังทำไม่ได้เลย”

“ถึงแม้พลังของหลินจะเก่งกล้า แต่เขาก็ดูเย็นชาอย่างกับมีใครติดหนี้เขางั้นแหละ”

“เป็นข้าจะไม่พูดแบบนั้นหรอกนะ หลินเป็นเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เล็กๆ ไม่แปลกใจหรอกที่เขาไม่พูด แต่พอเขาฆ่าสัตว์​อสูร​ได้เขาก็ยกให้พวกชาวบ้านนะ เขาก็น่าที่จะเป็นคนดีอยู่บ้าง”

“แต่ว่าทำไมข้าถึงไม่เห็นเขาที่นี่เลยล่ะ?”

“ข้าว่าเขาคงจะออกไปล่าแหละ เด็กนั้นจนมาก เขาต้องหาเลี้ยงตัวเองคนเดียว”

มู่หรงและหลินหยางเมื่อได้ยินเสียงกระซิบพูดคุยของชาวบ้านรอบๆตัวจึงยืนฟังอยู่ตรงนั้น

มู่หรงไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้และอยากที่จะเดินออกไป แต่หัวข้อเรื่องต่อไปที่ทำให้เธอถึงกับต้องหยุด

“ได้ยินมาว่ามีแค่ 10 คน เท่านั้นนะที่จะได้เข้าไปในศาลาเทพเจ้าเพื่อฝึกตนการเป็นเซียน”

“งั้นเหรอ?! นั่นคือการบรรลุขั้นสูงสุดเลยนะ”

“การแข่งขันเปิดรับแค่ปีล่ะครั้งเองแล้วก็จำกัดเรื่องอายุด้วย”

“งั้นข้าก็จะเข้าร่วมด้วยเหมือนกัน”

“เจ้าเนี่ยนะ กลับไปอาบน้ำนอนแล้วฝันเอาคงจะดีกว่านะ”

“ฮ่าฮ่า ก็รู้อยู่แล้วแหละว่าตัวเองทำไม่ได้หรอก งานนี้รับแค่คนที่อายุต่ำกว่า 30 เข้าร่วมแต่ข้ามัน 45 แล้วน่ะ”

“…”

ดวงตาของมู่หรงเสวี่ยแวบประกาย

การบรรลุแบบเซนงั้นเหรอ?

เฟิงจือหลิงกำลังฝึกอยู่ในมิติลับแต่ก็ยังไม่มีทางที่จะผ่านเข้าไปได้เลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาทำผิดวิธีหรือเปล่า

ถ้าเป็นแบบนั้นงั้นเธอก็ควรที่จะนำเรื่องพวกนี้ไปส่งต่อให้เฟิงจือหลิงและเสี่ยวฉิงด้วยเหมือนกัน

“ข้าจะเข้าร่วมงานนี้ด้วย” มู่หรงพูด

“ข้าก็จะเข้าร่วมด้วยเหมือนกัน!” หลินหยางตอบ

“ระดับการฝึกตนของเขายังต่ำอยู่เลย หลังจากที่ลงชื่อแล้ว เจ้าก็เข้าไปเพิ่มความแข็งแกร่งในมิติลับก่อน”

“ได้เลย” หลินหยางเองก็รู้ว่าในหมู่พวกเขาแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาต่ำที่สุด ถ้าเฟิงจือหลิงและคนอื่นๆออกมาเขาก็คงจะหมดความสำคัญไปเลย

หลินหยางและมู่หรงไม่ได้รีบร้อนที่จะเดินตรงเข้าไป ถัดจากพวกเธอเป็นโต๊ะหินขนาดใหม่ ที่โต๊ะมีนักบวชนั่งอยู่หลายคนพร้อมด้วยหนังสือเล่มสีทองวางอยู่บนโต๊ะ

มู่หรงและหลินหยางเดินเข้าไปแล้วก็มีคนถามขึ้นมาทันที “อยากจะลงชื่อหรือเปล่า? ตามข้ามา”

“มู่หรงพูดขึ้นมาก่อน “ใช่!”

“อายุ!”

“20 ปี!”

“ชื่อ!”

“มู่หรงเสวี่ย”

“ระดับการฝึกตน”

“ระดับสีม่วง”

“อะไรนะ?”

ไม่เพียงแค่คนที่ลงชื่อที่รู้สึกประหลาดใจอย่างที่สุดแต่พวกคนที่นั่งอยู่ถัดจากพวกเธอต่างก็ต้องเงียบไปด้วยความประหลาดใจ จนเวลาผ่านไปนานกว่าที่สติพวกเขาจะกลับมา

“เชิญทดสอบก่อน” แม้แต่น้ำเสียงที่พูดก็ยังฟังดูเคารพ

นักบวชที่อายุประมาณ 30 รีบหยิบศิลาวัดพลังออกมาทันที หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยรับมา ศิลาวัดพลังก็เรืองแสงและแสดงหมายเลข 20 ขึ้นมาในอากาศ

หลังจากที่กรอกเอกสารเสร็จ นักบวชก็ยื่นการ์ดหยกให้มู่หรงเสวี่ย “ป้ายนี้ใช้สำหรับเข้าร่วมในการแข่งขัน ถ้าทำหายก็เท่ากับหมดสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน เข้าใจหรือเปล่า?”

“พรุ่งนี้จะมีการจัดกลุ่มและจะมีทั้งหมดสามด่าน จำไว้ว่าต้องมาให้ตรงเวลาตามตารางพวกนี้ด้วย”

“ได้!”

หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยและหลินหยางเดินออกมาพวกเธอก็เจอโรงแรมที่จะใช้พักทันที พวกเธอมีเงินที่ใช้สำหรับที่นี่ด้วยจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร

หลังจากที่เข้าไปในโรงแรมแล้ว มู่หรงก็เข้าไปในมิติลับทันที เธอเจอเข้ากับเสี่ยวฉิงและเฟิงจือหลิงพอดี พวกเธอจึงกอดกันแน่นด้วยความคิดถึง

“จือหลิง!” มู่หรงเสวี่ยตบไปที่หลังเขาพร้อมรอยยิ้ม

แล้วยังมีเสี่ยวฉิงอีกที่ยืนอยู่ด้านข้างพร้อมด้วยหน้าตาที่แสดงออกถึงความไม่พอใจ เห็นได้ชัดว่าเธอเองก็อยากที่จะกอดท่านหญิงของเธอด้วยเหมือนกัน เฟิงจือหลิงถึงขนาดใช้พลังแห่งจิตวิญญาณเพื่อที่จะตรึงให้เธออยู่กับที่

“ข้าคิดถึงท่านเหมือนกันนะ ท่านมู่หรง!”

“ข้ารู้ๆ ปล่อยข้าก่อน ข้ามีเรื่องจะบอกพวกเจ้า”

เฟิงจือหลิงปล่อยมู่หรงเสวี่ยอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร

หลังจากเวลาผ่านไปนานที่มู่หรงเสวี่ยอธิบายเรื่องที่ในอีกมิติพวกเธอกำลังเตรียมตัวกันเพื่อที่จะเข้าร่วมการแข่งขันกันที่ชิงหยุน

เมื่อพวกเธอกลับออกมาอีกครั้ง เฟิงจือหลิงและเสี่ยวฉิงเองก็ไปลงชื่อเข้าร่วมด้วยเหมือนกันแล้วจึงกลับเข้าไปที่โรงแรมเพื่อพักผ่อน

หลังจากนั้นวันต่อมา กลุ่มคนทั้งสี่ก็เดินไปในทิศทางของสนามประลอง เมื่อพวกเธอไปถึงก็เห็นว่ามีคนเยอะกว่าเมื่อวานซะอีก

หน้าจอที่หินศิลาขนาดใหญ่ด้านบนแสดงรายชื่อและเวลาของการแข่งขันของผู้เข้าร่วม

อย่างไรก็ตามเมื่อมู่หรงและพวกอีกสามคนเดินเข้ามาในสนามประลอง พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงสายตามุ่งร้ายที่เย็นชาของผู้คนมากมาย

“พวกเราตกเป็นเป้าหมายเข้าแล้วล่ะ” หลินหยางพูด

เฟิงจือหลิงยืนอยู่ข้างๆมู่หรงด้วยสายตาที่หนักแน่นและดูเย็นชา

ที่อีกด้านมีเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเธอ น่าจะประมาณ 21 พอๆกับพวกขาแต่ดูแยกตัว โดดเดี่ยวซึ่งดูตรงกันข้ามกับคนอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง

มู่หรงไม่รู้สึกเป็นกังวลอะไรเลยสักนิดเดียว การที่จะจัดการกับคนพวกนี้ไม่จำเป็นต้องให้เธอลงไปเล่นเองหรอก แค่เฟิงจือหลิงคนเดียวก็จัดการได้หมดแล้ว

เสียงระฆังเปิดงานดังขึ้น

“การแข่งขันเบื้องต้นเริ่มขึ้น ณ บัดนี้!”

ในการแข่งขันไม่มีกฎระเบียบ ตราบใดที่ยังสามารถรักษาตัวเองให้อยู่ในพื้นที่การแข่งขันได้ก็จะไม่ถูกตัดสิทธิ์ใดๆ

“ไปจัดการพวกเขาก่อนเลย” สนามการแข่งขันดูเหมือนจะถูกแยกเป็นสองส่วนแต่จำนวนคนกลับต่างกันลิบลับ

ที่ด้านหนึ่งมีเพียงมู่หรงเสวี่ยและชายชุดดำที่ไม่รู้จักอีกคน ส่วนอีกด้านกลับมีคนเกือบจะร้อยคนได้

“ใช่ ถูกต้องเลย ข้าได้ยินมาว่าระดับการฝึกตนของพวกเขาสูงมากเลยด้วย”

“รู้หรือเปล่าว่าระดับไหน?”

“ข้าไม่รู้หรอก แค่ได้ยินมาแบบนั้นยังไงซะพวกกรรมการก็ไม่เปิดเผยเรื่องนี้อยู่แล้ว!”

“แต่ข้าไม่เคยเห็นพวกเขาในเมืองนี้เลยนะ”

“ทำไมคนจากเมืองอื่นต้องมาแข่งกับพวกเราด้วยล่ะ?”

“งั้นก็ทำอย่างที่พูด จัดการพวกเขาก่อนแล้วค่อยทำตามแผน”

“ได้ เรามีคนตั้งเยอะ จะระดับสูงแค่ไหนก็ไม่สำคัญหรอก พวกเราไล่จัดการพวกนั้นทีละคนๆได้เลย”

“แล้วไอ้เด็กชุดดำอยู่ไหนล่ะ?”

“เขาก็เหมือนกัน ทำหน้าตาเย่อหยิ่งอยู่ได้ตลอดเวลา!”

“โอเค งั้นก็จัดการไปพร้อมๆกันเลย!”

มู่หรงยกริมฝีปากแล้วจึงพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ดูเหมือนพวกเราจะถูกหมายหัวซะแล้วนะ”

“ข้าจัดการเอง” เฟิงจือหลิงพูด

“แน่นอนต้องเป็นเจ้าอยู่แล้ว อยากให้ข้าลงมือหรือไง?” มู่หรงมองค้อนไปที่เขา

หลังจากนั้นไม่กี่นาที สีหน้าของฝ่ายตรงข้ามก็เผยให้เห็นถึงความตื่นตระหนก ไม่มีใครกล้าที่จะเดินเข้าหาความอึดอัดนี้เลย

ตอนแรก พวกเขานับสิบคนถูกโจมตีพร้อมๆกัน แค่เฟิงจือหลิงโบกมือแค่ครั้งเดียวก็ทำให้พวกเขาตกออกไปนอกสนามการแข่งขันได้ในทันที ดังนั้นหลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าที่จะเดินหน้าเข้ามาเลย

แม้แต่เหล่าชายชุดดำที่อยู่อีกด้านก็โดนลมของเขาไปด้วยและไม่มีกล้าที่จะเดินหน้าเข้ามาด้วยเหมือนกัน ดังนั้นนี่จึงเป็นสถานการณ์ที่แปลกอย่างมาก

มู่หรงและคนอื่นๆรู้สึกเบื่อจึงบินเข้ามา ชายชุดดำที่อยู่อีกด้านยังยืนนิ่ง

“ทำไมนายยังสู้ไม่เสร็จอีกล่ะ? ก็แค่โยนพวกเขาลงไปให้หมดเลยสิ” มู่หรงกล่าว

น้ำเสียงที่พูดไม่ได้ดังมากแต่ก็ทำให้เหล่าคนที่อยู่อีกฝั่งที่มองด้วยสายตาดุดันรู้สึกตัวสั่นเทอมขึ้นมาได้ ที่จะต้องถูกโยนล่วงไป พวกเขากลัวว่าเหล่าคนบ้าพวกนี้จะจัดการโยนพวกเขาล่วงไปจนหมด

“หวัดดี เจ้าชื่ออะไรเหรอ?” มู่หรงรู้สึกเบื่อจึงถามชายชุดดำที่กำลังยืนอยู่ข้างๆ

เฟิงจือหลิงที่ความรู้สึกไวจึงรีบหันไปมองด้วยสายตาเย็นชา

ชายชุดดำยังนิ่งเฉยไม่ขยับอะไร และแน่นอนว่าเขาไม่ได้ตอบคำถามของมู่หรงเสวี่ย

มู่หรงหยักไหล่ “เย็นชาจัง!” นี่ไม่ใช่คำถาม

เฟิงจือหลิงยืนจ้องชายชุดดำตาไม่กะพริบ

“เจ้ามัวจ้องอะไรอยู่ได้?” มู่หรงเสวี่ยถามออกมาแปลกๆ

“เปล่า!” ยังอีก เขายังมองด้วยสายตาเย็นชาอยู่อีก

หลินหยางมองไปที่ผู้หญิงเลวอย่างรังเกียจ “พี่เฟิง อย่าไปตามใจนางมากเลย เจ้าควรจะสู้เพื่อคนที่คู่ควรดีกว่านะ!” หลินหยางกล่าว

มู่หรงเสวี่ยตบหลังมือไปที่เขา “เจ้าพูดอะไร พูดออกมาอีกทีสิ!”

“บ้าเอ๊ย นังแม่มดนี่”

“พี่เฟิง เห็นธาตุแท้ของผู้หญิงคนนี้หรือยังว่าเป็นคนที่โหดร้ายมากแค่ไหน” หลินหยางพูดต่อ

“โอ้ เยี่ยมเลย” มู่หรงยิ้ม กำลังคิดว่าจะจัดการกับเขายังไง

“ข้าชอบทุกอย่างที่เสี่ยวเสวี่ยเป็น!” เฟิงจือหลิงตอบออกมาเสียงเรียบ

มู่หรงเลิกคิ้วขึ้น “ได้ยินหรือยัง อย่าพยายามมาทำให้เขาแตกแยกกันอีกล่ะ เจ้านี่เป็นคนที่หน้าไม่อายจริงๆเลย”

“ผู้ชายดีๆเขาไม่ทะเลาะกับผู้หญิงกันหรอก” หลินหยางจ้องไปที่เธอ

“ผู้หญิงดีๆเขาก็ไม่ทะเลาะกับหมากันหรอกนะ!” มู่หรงเสวี่ยสู้กลับ

เฟิงจือหลิงมองไปที่มู่หรงด้วยใบหน้าเห็นด้วย เหล่าผู้ชมที่อยู่ด้านล่างต่างก็พูดอะไรไม่ออก นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เกิดเหตุการณ์อะไรแบบนี้

เหล่ากรรมการที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็เริ่มที่จะซุบซิบกันแล้ว

แต่สำหรับมู่หรงและคนอื่นๆต่างก็เข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง อย่างน้อยก็เดาได้ว่าคนพวกนี้จะต้องสามารถที่จะผ่านเข้ารอบการแข่งขันระดับเมืองต่อไปได้แน่