ตอนที่ 301 เหลียงจวิ้นอ๋อง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

หยกเนื้อบริสุทธิ์ ภายในมีประกายแสงแวววาว ทั้งเรียบง่ายแต่ก็งดงามสูงส่งอย่างยิ่ง

 

 

จีเฉวียนเพียงเหลือบมองดูแวบหนึ่ง สีพระพักตร์ก็เปลี่ยนไปในทันที

 

 

“สิ่งนี้…..กระหม่อมไปเจออยู่ในโรงรับจำนำแห่งหนึ่ง เห็นมันเหมือนจะเป็นชิ้นเดียวกันกับสิ่งของประจำพระองค์อย่างไรอย่างนั้น จึงไม่อาจอดใจปล่อยให้ตกหล่นอยู่ที่ภายนอก” ฉางซุนซิ่วลูบไล้แหวนหยกน้ำงามบนมือวงนั้นราวกับว่าเป็นสมบัติล้ำค่า “ฝ่าบาทก็ทรงเห็นว่าคล้ายคลึงมากเลยใช่ไหมพะยะค่ะ?”

 

 

จีเฉวียนทรงแน่พระทัย แหวนวงนี้เป็นวงเดียวกันกับที่ตอนนั้นพระองค์ทรงประทานให้กับตู๋กูซิงหลัน

 

 

พระองค์เคยขอให้นางรักษาเอาไว้ให้ดี

 

 

แหวนวงนี้พระมารดาทรงเหลือทิ้งไว้ให้พระองค์ ตอนนั้นมันติดตามพระองค์ไปยังแคว้นเหยียนด้วย ตลอดช่วงระยะเวลาที่พระองค์ประทับอยู่ที่นั่น ก็อยู่ติดกายมาตลอด

 

 

บางที ตอนที่พระองค์ทรงประทานพระธำมรงค์วงนี้ให้แก่ตู๋กูซิงหลันนั้น ในพระทัยของพระองค์ก็อาจจะมีนางอยู่แล้วก็เป็นได้

 

 

เพียงแต่หัวใจดวงนี้เมื่อถูกส่งมอบออกไป กลับไม่มีค่าอะไรในสายตาของนางทั้งนั้น

 

 

พระทัยของพระองค์ ถูกนางโยนทิ้งไว้กับฝุ่นผงบนพื้น

 

 

ไม่มีค่าอันใดแม้แต่อีแปะเดียว

 

 

ในพระทัยของจีเฉวียนมีแต่ความเย็นยะเยือก ราวกับถูกแทงไปอีกดาบหนึ่ง เจ็บปวดจนถึงกระดูก

 

 

นับตั้งแต่แรก ตู๋กูซิงหลันก็ไม่เคยสนใจพระองค์แม้แต่น้อย

 

 

“จะพูดไป กระหม่อมก็ไม่ได้เห็นฝ่าบาททรงพระธำมรงค์วงค์นั้นมาตั้งนานแล้ว….” ฉางซุนซิ่วทูลต่อไป “กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาทคงจะทรงเก็บเอาไว้อย่างดี เพราะเกรงว่าจะบอบช้ำสินะพะยะค่ะ”

 

 

“ท่านราชครู บาดแผลของเจ้ายังไม่หายดี กลับไปพักผ่อนแต่เนิ่นๆ เถอะ” จีเฉวียนตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชากว่าเดิมไม่น้อย กวาดพระเนตรมองดูเขาครั้งหนึ่งก็เห็นช่องท้องของเขาชื้นไปด้วยโลหิตแถบใหญ่

 

 

ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์ได้แต่ต้องถอยออกไป เขาผงกศีรษะ ขยับตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก “ฝ่าบาทโปรดถนอมพระวรกาย กระหม่อมทูลลา”

 

 

ยามที่ถอยออกไป เขาก็หันกลับมามองดูครั้งหนึ่ง ก็เห็นจีเฉวียนทรงฉลองพระองค์คลุมมังกรเรียบร้อยแล้ว แสงจันทร์ส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามา ทอทาบลงบนพระองค์

 

 

แสงสีเงินนั้นฉาบไล้อยู่บนพระองค์ชั้นหนึ่ง ดูงดงามอย่างที่สุด

 

 

พระองค์ทรงเป็นดั่งประติมากรรมอันงดงามที่ผู้สร้างตั้งอกตั้งใจสร้างสรรค์ขึ้นมา งดงามจนถึงขั้นไร้ตำหนิแม้แต่น้อย งดงามประณีตราวกับมิใช่มนุษย์

 

 

ฉางซุนซิ่วมองดูอยู่นาน มุมปากถึงได้ขยับยกขึ้นมา

 

 

เขารู้แล้วว่าพระทัยของจีเฉวียนได้ตายไปแล้ว นับจากวันนี้เป็นต้นไปเขาจะไม่รักใครอีกแล้ว

 

 

ในตอนนั้นเอง เขายิ่งยิ้มแย้มมากกว่าเดิม สะบัดแขนเสื้อจากไปเบาๆ พร้อมๆ กับอารมณ์ที่ดียิ่งกว่าเดิม

 

 

จีเฉวียน เขามีสิทธิ์อะไรจะได้รับความรัก มีสิทธิ์อะไรจะไปรักผู้อื่นกัน?

 

 

ชั่วชีวิตนี้ของเขา ถูกลิขิตให้โดดเดี่ยว ถูกทรมานกับความเหงาไปเสียเถอะ!

 

 

………………..

 

 

เมื่อฉางซุนซิ่วเอ๋อร์ไปจากจากหนักตี้หัวกง ประกายตาในพระเนตรของจีเฉวียนก็เย็นยะเยือกกว่าเดิม

 

 

“ฝ่าบาท….” ในตอนนั้นเอง หลงเซียวปรากฏตัวขึ้นมา คุกเข่าลงข้างหนึ่งที่เบื้องหน้าพระพักตร์

 

 

หลงเซียวถวายสารฉบับหนึ่งแก่พระองค์ “นี่เป็นสิ่งที่ได้จากการสืบสวนพะยะค่ะ”

 

 

จีเฉวียนเปิดสารออก ประทับลงข้างโต๊ะทอดพระเนตรดูอย่างละเอียด

 

 

ตั้งแต่ต้นจนจบ แววพระเนตรและพระขนงมิได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย

 

 

หลงเซียวยังคงคุกเข่าอยู่ด้านข้างพระองค์

 

 

รอจนฝ่าบาททรงทอดพระเนตรสารฉบับนั้นจนจบแล้ว ถึงได้ยินพระองค์รับสั่งเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยสักนิดออกมาประโยคหนึ่ง “ที่แคว้นกู่เย่วตอนนี้ยังคงมีดอกไห่ถางใช่หรือไม่?”

 

 

หลงเซียวยังมีสีหน้าเรียบเฉย “กระหม่อมจะส่งคนไปดู”

 

 

แคว้นกู่เย่ว หลังจากที่ถูกปฐมฮ่องเต้ทรงปราบปรามจนราบคาบไปแล้ว ก็เคยมีการอนุญาตให้ผู้คนย้ายเข้าไปตั้งถิ่นฐาน แต่ไม่รู้ว่าทำไม พื้นที่แถวนั้นราวกับว่าต้องคำสาป ชาวบ้านต้าโจวเมื่อย้ายเข้าไป หากมิใช่ว่าเจ็บป่วยด้วยโรคระบาดจนต้องตายก็ต้องถูกผีสิงจนเสียสติไป

 

 

ต่อมา จึงได้มีคำสั่งให้ชาวบ้านต้าโจวทั้งหมดอพยพออกมา

 

 

หลังจากนั้น ปฐมฮ่องเต้จึงได้ส่งท่านแม่ทัพใหญ่เหลียงป๋อไปควบคุมแคว้นกู่เย่ว

 

 

เหลียงป๋อเป็นหนึ่งในห้าแม่ทัพผู้บุกเบิกการก่อตั้งประเทศ เหล่าทหารใต้การปกครองของเขาล้วนเข้มแข็งคึกคัก เมื่อย้ายไปเฝ้าแคว้นกู่เย่วก็ได้เปิดโรงผลิตอาวุธขึ้นมาหลายเห่ง

 

 

ยามนี้ ที่มาของอาวุธในแคว้นต้าโจวล้วนถูกส่งออกมาจากแคว้นกู่เย่วเกินกว่าครึ่ง

 

 

หลังจากที่เหลียงป๋อได้เข้าไปก็ทำลายค่ายกลในพื้นที่เกือบทั้งหมดของแคว้นกู่เย่ว แล้ว ก็ทยอยอพยพผู้คนเข้าไปอีกครั้ง

 

 

เหลียงป๋อกลับมีฝีมือหาหนทางได้ หลังจากเขาเข้าไปปกครองที่นั่นก็ไม่มีโรคระบาดและไม่มีใครถูกผีสิงอีก

 

 

ตอนนี้แคว้นกู่เย่วเปลี่ยนชื่อกลายเป็นเมืองกู่เย่ว

 

 

ท่านแม่ทัพใหญ่เหลียงป๋อกลายเป็นอ๋องเมืองกู่เย่ว

 

 

ดูจากฐานะและอำนาจแล้ว ก็เรียกว่าเทียบได้กับตู๋กูถิงเลยทีเดียว

 

 

“ไม่จำเป็นแล้ว” จีเฉวียนเก็บม้วนข่าวสาร มองดูแสงจันทร์กระจ่างนอกหน้าต่าง “เราจะไปดูด้วยตนเอง”

 

 

หลงเซียวที่ปกติมีสีหน้าเรียบเฉยตอนนี้ชักจะหน้าเปลี่ยนสีไปบ้างแล้ว “ฝ่าบาท ตอนนี้พระองค์ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่…”

 

 

เขาได้เห็นฝ่าบาทที่สูญเสียจิตวิญญาณจนคลุ้มคลั่งมากับตาของตนเอง

 

 

ราวกับคนที่ถูกกระชากทุกสิ่งในชีวิตออกไป….ฝ่าบาทที่เป็นเช่นนั้น เขาไม่เคยได้เห็นมาก่อน

 

 

ภารกิจการตามขุมทรัพย์แคว้นเซอปี่ซือ จบสิ้นมาเดือนหนึ่งแล้ว

 

 

ฝ่าบาททรงผ่ายผอมลงไปทุกวัน

 

 

หากเป็นเช่นนี้ หลงเซียวรู้สึกว่าพลังชีวิตที่มีอยู่ในพระวรกายก็คงจะร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ

 

 

เขาไม่กล้าสอบถามว่าไทเฮาทรงหายไปที่ใดแล้ว…..

 

 

เอาเป็นว่าคำว่า ไทเฮา เหนียงเหนียง ตู๋กู ซิงซิง อาหลัน เหล่านั้นล้วนกลายเป็นคำต้องห้าม

 

 

ทั่วทั้งต้าโจว นอกจากฝ่าบาทแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้ว่าไทเฮาทรงหายไปที่ใด

 

 

หลังจากตอนนั้น….สองพี่น้องตระกูลตู๋กูที่ไม่ยอมเชื่อก็ทำการค้นหาไปทั่วทั้งทะเลสาบ แต่ก็ไม่เจอคน ทั้งไม่พบศพ

 

 

แต่ฝ่าบาท ไม่ทรงยอมตรัสเรื่องที่เกี่ยวกับการหายไปของไทเฮาแม้แต่คำเดียว

 

 

ทุกครั้งที่ได้ยินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับไทเฮา สายพระเนตรของพระองค์มีแต่แววเจ็บช้ำ

 

 

แต่ไหนแต่ไรพระองค์ก็ทรงเป็นผู้ที่เก็บงำความรู้สึกได้อย่างดีเยี่ยม มิว่าจะเป็นความยินดีหรือทุกข์โศกใดๆ ล้วนเก็บอยู่แต่ในพระทัย ไม่เคยเผยแสดงทางสีพระพักตร์แม้แต่น้อย

 

 

แต่พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับไทเฮา …..พระองค์ก็ทรงเปลี่ยนไป

 

 

ภายในวัง เรื่องที่ไทเฮาทรงหายพระองค์ไปถูกปิดข่าวเอาไว้

 

 

เพียงประกาศต่อภายนอกออกไปว่าไทเฮาทรงเสด็จไปอารามเทียนเก๋อกวน เพื่อสวดขอพรให้กับพระนัดดาองค์โตที่อยู่ในพระครรภ์ของซูหวงกุ้ยเฟย

 

 

แต่ว่าผู้คนล้วนมิใช่คนตาบอด…..

 

 

ต้นไห่ถางในพระตำหนักเฟิ่งหมิงกงล้วนเ**่ยวเฉาหมดภายในคืนเดียว เรื่องนี้ย่อมทำให้เกิดข่าวลือไม่น้อย

 

 

นับตั้งแต่ที่ไทเฮาทรงหายตัวไป สองพี่น้องตระกูลตู๋กูก็มันจะมาวนเวียนอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งหมิงกง….จนตอนนี้กลายเป็นข่าวร่ำลือไปทั่วพระราชวังแล้ว

 

 

เพียงแต่ว่าข่าวลือเหล่านั้นมิได้มาถึงพระกรรณของฝ่าบาทเท่านั้นเอง

 

 

“นับตั้งแต่ที่เราขึ้นครองราชย์ อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ส่งมาจากเมืองกู่เย่ว ก็ลดลงจากปีที่แล้วไปถึงหนึ่งในสามส่วน “สายพระเนตรของจีเฉวียนทรงเย็นชา “อ๋องกู่เย่วเหลียงป๋อ ก็ไม่รับราชโองการที่เราเรียกหา ไม่ยอมมาเข้าเฝ้าที่เมืองหลวง เจ้าคิดว่าหากเราไม่ไปด้วยตนเองสักครั้ง จะได้เรื่องหรือ?”

 

 

หลงเซียวชะงักไป เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ถึงตอนนี้แล้ว ฝ่าบาทจะยังทรงมีพระทัยใส่ใจเรื่องของบ้านเมืองอยู่อีก

 

 

เขานึกว่า ความคิดทั้งหมดทั้งมวลของฝ่าบาทจะวนเวียนอยู่ที่เรื่อง ‘การหายตัวไป’ ของไทเฮาเสียอีก

 

 

“อย่างไรเสียหลานสาวของอ๋องเหลียงป๋อ ก็เป็นถึงพระสนมกุ้ยเฟยในพระองค์….เขายังจะกล้าก่อกบฏอีกหรือ?” หลงเซียวพูดต่อไป “ตอนนี้ฝ่าบาททรงเป็นขวัญกำลังของปวงประชา เขาสามารถมีหลานเขยเช่นพระองค์ เกรงว่าต้องยินดีมากแล้ว”

 

 

“เจ้าเป็นหัวหน้าราชองครักษ์ลับ เรื่องของบ้านเมือง เจ้าย่อมไม่เข้าใจ” จีเฉวียนทรงโบกพระหัตถ์ หลี่กงกงที่อยู่ด้านข้างรีบส่งพระสุธารสร้อนมาถวาย

 

 

นั่นก็ถูกแล้ว…….หัวหน้าหลงเซียวเป็นผู้ยอดยุทธ์ก็จริง แต่ว่าเรื่องการใช้สมองยังต้องถือว่าขาดๆ ไปอยู่บ้าง

 

 

ถึงแม้ว่าฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งหลานสาวสายตรงของอ๋องเหลียงป๋อเป็นกุ้ยเฟย แต่ว่าดูเอาเถอะ เหลียงกุ้ยเฟยผู้นั้นเคยเข้ามาในวังเสียที่ไหน?

 

 

นับตั้งแต่ถูกแต่งตั้ง เหลียงกุ้ยเฟยผู้นั้นก็อยู่แต่ในเมืองกู่เย่ว

 

 

เป็นถึงพระสนมของฮ่องเต้ แต่กลับไม่อยู่ในรั้วในวัง รั้งอยู่แต่ภายนอกเช่นนี้จะใช้ได้อย่างไร?

 

 

หากเปรียบเทียบกับตระกูลตู๋กูในตอนนี้แล้ว ตระกูลเหลียงยังถือว่ายโสโอหังยิ่งกว่าอีก