ตอนที่ 302 ส่งมีดแล่เนื้อให้นางกับมือ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

หลงเซียวถึงกับพูดอะไรไม่ออก เขาเหลือบตามองดูฮ่องเต้ จากนั้นก็กลืนคำพูดลงไป

 

 

หลี่กงกงเป็นผู้ที่รู้จักอ่านสีพระพักตร์ที่สุดแล้ว พอถวายพระสุธารสร้อนก็รีบถอยออกไปจนไกล

 

 

“ฝ่าบาท” หลงเซียวทูลเรียกครั้งหนึ่ง “แต่ไหนแต่ไรเมืองกูเย่วก็ไม่ค่อยปลอดภัย ด้วยพระวรกายของพระองค์…. หากเสด็จไปด้วยพระองค์เองเช่นนี้จะเป็นการดีหรือพะยะค่ะ?”

 

 

ถึงแม้ว่าพระวรกายจะไม่มีอาการบาดเจ็บอะไร แต่พระทัยคงถูกแทงจนพรุนไปหมดแล้วล่ะมั้ง?

 

 

เขาไม่เคยเห็นฝ่าบาททรงอ่อนแอเช่นนี้มาก่อน ช่วงที่ผ่านมาพระองค์แทบจะหมดกำลังใจไปแล้ว ฝ่าบาทที่เป็นเช่นนี้ จะเสด็จไปเมืองกู่เย่วได้อย่างไร?

 

 

“ภูเขาฝูซาง บนเขามีค่ายกล ค่ายกลสามารถเรียกคนกลับมา”

 

 

จีเฉวียนเพียงทรงตรัสเสียงเบา ประคองถ้วยพระสุธารสร้อนเอาไว้ในพระหัตถ์ ไอร้อนจากน้ำชากลายป็นกลายเป็นควันลอยอย่างอ้อยอิ่งเป็นชั้นๆ

 

 

สีหน้าของหลงเซียวเปลี่ยนไปทันที

 

 

หรือว่าฝ่าบาท……ทรงมีพระประสงค์ที่จะทำเช่นนั้น?

 

 

หลงเซียวรู้แน่แก่ใจดี เมืองกู่เย่วมีอันตรายมากมายเพียงไร หลังจากที่ปฐมฮ่องเต้ทรงบุกทำลายล้างแคว้นกู่เย่ว ก็ได้ทรงประหัตประหารฆ่าล้างเหล่านักพรตและประชาชนทั้งไปนับพันนับหมื่นคน

 

 

กองกระดูกสูงเป็นภูเขา ปฐมกษัตริย์ทรงมีพระบัญชาให้ทิ้งศพทั้งหมดถมลงไปในหุบเหวบนภูเขาสูงลูกหนึ่ง ใช้เป็นสถานที่กลบฝังซากศพเหล่านั้น

 

 

ภูเขาลูกนั้น ชื่อว่าฝูซางซาน

 

 

ได้ยินว่าสิ่งมีชีวิตบนภูเขาฝูซางซานล้วนกลายเป็นสีแดงดุจเลือด ทั่วทั้งภูเขาเปี่ยมไปด้วยกลิ่นคาวโลหิตเข้มข้น ทุกค่ำคืนเมื่อเข้าสู่ยามดึก ต่อให้อยู่ห่างไกลออกไปหลายลี้ก็ยังสามารถได้ยินเสียงภูติผีร่ำร้องสุนัขเห่าหอนดังมาจากบนภูเขา

 

 

คนในเมืองกู่เย่วไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ภูเขาลูกนั้น

 

 

บนภูเขาลูกนั้น ฟังว่ามีค่ายกลโบราณที่ซุกซ่อนบางสิ่งเอาไว้อยู่มากมาย

 

 

บางทีค่ายกลมนตราเรียกคืน……อาจจะเป็นหนึ่งในนั้นก็ได้กระมั้ง?

 

 

ความคิดนี้ทำเอาหลงเซียวถึงกับหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมาเลยทีเดียว

 

 

เขาลองคิดดู…..หรือว่าไทเฮาน้อยทรงสิ้นพระชนม์ไปในสระสวรรค์ของแคว้นเซอปี่ซือ แล้วฝ่าบาททรงไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้มาโดยตลอด ทั้งยังโอบกอดความคิดที่ว่าไทเฮาน้อยยังทรงมีชีวิตอยู่เอาไว้

 

 

ถึงได้ทรงคิดถึงข่ายมนตราเรียกคืนอะไรเช่นนี้ขึ้นมา

 

 

จีเฉวียนยังทรงประคองถ้วยชาร้อนในพระหัตถ์เอาไว้ สายพระเนตรมีแต่ความเย็นยะเยือก

 

 

เมืองกู่เย่ว ……เป็นแคว้นโบราณที่สุดแห่งหนึ่งบนแผ่นดินนี้

 

 

การที่พระองค์จะเสด็จไปเมืองกู่เย่วเพราะเรื่องของเหลียงจวิ้นอ๋องก็เป็นเพียงแค่ฉากหน้าเท่านั้น

 

 

ที่จริงแล้วก็เพื่อ…..นาง

 

 

“เจ้าแค่ทำตามคำสั่งเราเท่านั้นก็พอแล้ว” จีเฉวียนตรัสต่อไป กวาดพระเนตรไปทางหลงเซียวครั้งหนึ่ง ล้วงเอาป้ายคำสั่งและหนังสือเรียกตัวฉบับหนึ่งส่งให้กับเขา “เรื่องนี้ เป็นความลับ”

 

 

คำว่าความลับสองคำนี้ ทำให้หลงเซียวต้องหุบปากลงในทันที

 

 

เขาเป็นหัวหน้าราชองครักษ์ลับของฝ่าบาท เป็นขุมกำลังที่ฝ่าบาททรงไว้พระทัยมากที่สุด ทุกการตัดสินพระทัยของฝ่าบาท ย่อมต้องปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อแม้และสนับสนุนพระองค์อย่างเต็มที่

 

 

“พะยะค่ะ” เขาผงกศีรษะ สองมือยื่นออกไปรับป้ายคำสั่งและหนังสือเรียกตัว เอามาพกติดตัวไว้ พลางหายลับไปในความมืดอย่างรวดเร็ว

 

 

แสงจันทร์ยังคงสาดส่องลงมาบนพระวรกาย เงาร่างของพระองค์ยิ่งดูโดดเดี่ยวกว่าเดิม

 

 

แสงจันทร์สะท้อนอยู่ในดวงเนตรหงส์ สองหัตถ์ภายใต้ฉลองพระองค์กำแน่นขึ้นมา

 

 

ตู๋กูซิงหลัน ต่อให้เป็นสุดล่าฟ้าเขียว เขาก็จะต้องพานางกลับมาให้ได้

 

 

จากนั้นค่อยส่งดาบแล่เนื้อเล่มใหญ่ให้กับนางด้วยพระองค์เอง

 

 

………………………

 

 

ที่คุกใต้ดินในวังหลวง อันหร่วนผมเผ้ารุ่ยร่าย ถูกล่ามมือและแขนเอาไว้กับลูกกรงเหล็ก เสื้อผ้าของนางขาดวิ่น ทั่วร่างมีแต่บาดแผล

 

 

ร่างที่ชราของนางถูกเฉือนลึกจนเห็นกระดูก ตลอดทั้งเดือนมานี้ต้องรับทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ ทำเอานางใกล้จะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

 

 

วันนั้นตอนที่อยู่ในทะเลทราย…..ใครจะไปรู้ว่านางจะบังเอิญไปพบกับตู๋กูจุนเข้าพอดี

 

 

นางพึ่งจะตัดขาของรัชทายาทแคว้นเหยียนไปได้ข้างเดียว ก็ถูกตู๋กูจุนช่วยคนไปได้

 

 

ตัวนางเองก็หนีไม่พ้น….ถูกจับกลับมา

 

 

หลังจากนั้น นางก็ถูกพามายังสถานที่ที่ไร้แสงเดือนแสงตะวันเช่นนี้ รับทรมานทุกๆ วัน

 

 

เพื่อให้นางสารภาพขุมกำลังเบื้องหลังออกมา

 

 

ตลอดเดือนมานี้ นางไม่เพียงแต่ต้องรับความทรมานทางเนื้อหนัง ยิ่งต้องอยู่อย่างหวาดผวาตลอดเวลา เกรงว่าท่านประมุขจะส่งคนมาฆ่าปิดปาก

 

 

เหมือนกับที่ศพคืนวิญญาณเฒ่าผู้นั้นถูกฆ่าปิดปากไป

 

 

แต่นานถึงเพียงนี้แล้ว ก็ยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ

 

 

เช่นนี้ก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว คุกแห่งนี้ลี้ลับเกินไป แม้แต่คนของท่านประมุขก็ยังหาไม่พบ

 

 

บางที……ท่านประมุขอาจจะไม่ทราบว่านางถูกจับตัวมาเสียด้วยซ้ำ หรือไม่ก็คิดว่านางตายไปในทะเลทรายเสียแล้ว?

 

 

ตอนนี้อันหร่วนได้แต่คิดไปอย่างวุ่นวายใจ

 

 

“ครืน” ในตอนนั้นเอง ประตูใหญ่ของคุกก็เปิดออก

 

 

เพราะนางอยู่ในมุมอับ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้ยินเสียงฝีเท้า

 

 

เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไป ก็เห็นแต่ร่างของบุรุษผู้หนึ่งภายใต้ผ้าคลุมสีดำกำลังเดินลงมา และเหล่าองครักษ์ลับที่ทรมานนางมาเนิ่นนานก็พากับยืนอยู่ด้านหลังเขาด้วยความเคารพนอบน้อม

 

 

หมวกคลุมหน้าสีดำนั้นปิดบังใบหน้าของเขาไปครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นแค่เพียงริมฝีปากที่ซีดเซียวและปลายคางที่แหลมเรียว

 

 

ปลายคางของเขามีเคราขึ้น ดูท่าคงไม่ได้โกนมานานแล้ว

 

 

อันหร่วนตกตะลึงไป

 

 

จากนั้นก็เห็นพวกองครักษ์ลับนำตัวหญิงสาวอายุน้อยผู้หนึ่งเข้ามา

 

 

เด็กสาวสวมชุดกระโปรงสีเหลือง ทันทีที่นางได้เห็นอันหร่วนที่ถูกทุบตีอย่างทารุณ สายตาก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

 

 

“ท่านย่า…นี่มันเรื่องอะไรกัน? ท่านเป็นถึงแม่นมของอดีตฮองเฮา และเป็นพระพี่เลี้ยงของฝ่าบาท ในแคว้นต้าโจวใครกันที่กล้าบังอาจ ทำกับท่านถึงเพียงนี้……”

 

 

พูดยังไม่ทันจบ อันหว่าจรือก็รู้สึกถึงบางอย่างขึ้นมา

 

 

หัวใจของนางชาวาบ ยามที่มองไปยังบุรุษในชุดคลุมสีดำข้างกาย สายตาของนางก็ปรากฏความหวาดกลัวถึงขีดสุด

 

 

ในแคว้นต้าโจว นอกจากฮ่องเต้ที่ยืนอยู่เหนือผู้คนนับหมื่นนับแสนแล้ว ยังจะมีผู้ใดกล้าทำเช่นนี้กับท่านย่าได้อีก?

 

 

“เราไม่มีแก่ใจจะฟังเจ้าพูดคำไร้สาระ” คราวนี้ จีเฉวียนตรัสเสียงเย็นชา “ครั้งนี้ เราถามอะไร เจ้าก็ตอบตามนั้นหากโป้ปดเพียงคำเดียว เราจะเฉือนเนื้ออันหว่านจรือออกมาชิ้นหนึ่ง”

 

 

“ฝ่าบาท!” อันหร่วนร้องตะโกนออกมาในทันที “ไยพระองค์ทรงทำเช่นนี้กับบ่าวเฒ่าได้ลงคอ…..บ่าวเฒ่าทำคลอดพระองค์มา เลี้ยงดูพระองค์จนเติบโต หลายปีมานี้ก็คอยเฝ้าพระสุสานอดีตฮองเฮาด้วยความภักดี บ่าวเฒ่าเคยทำเรื่องใดให้ทรงขุ่นเขืองพระทัยหรือ พระองค์จึงได้ทรงลงอาญาโหดร้ายเช่นนี้?”

 

 

จีเฉวียนไม่ตรัสตอบวาจาของนาง เพียงแต่ขยับพระหัตถ์เล็กน้อย องครักษ์ลับที่อยู่ข้างพระองค์ก็พุ่งเข้าไปลงมือกับอันหว่าจรือ

 

 

ทันทีที่วาดดาบออกไปปลายนิ้วข้างหนึ่งของอันหว่านจรือก็ขาดร่วงลงมา

 

 

นางส่งเสียงร้องประหนึ่งหมูถูกเชือด ทันทีที่ร้องออกมา ก็ถูกองครักษ์ลับคว้าลิ้นของนางเอาไว้

 

 

จีเฉวียนจดจ้องไปที่อันหร่วน ตรัสเสียงเย็นว่า “หากไม่ต้องการลิ้นนี่แล้ว เจ้าก็แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องต่อไปแล้วกัน”

 

 

อันหร่วนถึงกับสมองชาไปแล้ว นางรู้มาตลอดว่าจีเฉวียนเป็นคนที่ชาญฉลาดผู้หนึ่ง

 

 

แต่นางไม่เคยรู้ว่า จิตใจของเขาจะโหดเ**้ยมอำมหิตถึงเพียงนี้

 

 

ยามปกติไม่ลงมือ หากลงมือก็บีบจนนางไร้หนทาง มีแต่ต้องตายเท่านั้น

 

 

นางอ้าปากขึ้นมา คิดจะหาข้อแก้ตัว ก็เห็นองครักษ์ลับใช้ดาบเฉือนลิ้นของอันหว่านจรือจนกลายเป็นชุ่มเลือดเส้นหนึ่งแล้ว

 

 

คำพูดที่มาถึงริมฝีปากเหล่านั้นก็ได้แต่ต้องกล้ำกลืนกลับไป

 

 

ตระกูลอัน เหลือแต่อันหว่านจรือเป็นทายาทคนสุดท้ายแล้ว …..นางไหนเลยจะทนมองเห็นหลานสาวตายไปต่อหน้าต่อตาได้กัน?

 

 

“ปีนั้น เจ้าเป็นคนวางยาพิษฆ่าพระมารดา” จีเฉวียนตรัสเสียงเย็นชา

 

 

แค่ประโยคเดียว ก็ทำเอาเลือดทั้งตัวของอันหร่วนจับแข็งไปหมดแล้ว

 

 

เขารู้แล้ว……ที่แท้เขาก็รู้หมดแล้ว “ใช่เพคะ เป็นบ่าวเฒ่าที่ถวายยาพิษกำเริบช้าให้กับฮองเฮา ทุกๆ วัน พอดื่มครบเดือน ตอนที่พระนางคลอดพระองค์ออกมาถึงแม้จะช่วยชีวิตเอาไว้ได้ ….แต่เพราะยาพิษทำลายพื้นฐานร่างกาย จึงทำให้ไม่นานก็สิ้นไป”

 

 

 

 

——

 

 

คุยกันนิดนึง:

 

 

ไรท์: ยายเฒ่านี้เอง ตัวดีเลย!

 

 

ตอนต่อไป “ตำหนักซิ่วหลัว นอกดินแดน”