ตอนที่ 683 ผ่าคลอด (3)

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 683 ผ่าคลอด (3)

ราวกับเวลาได้หยุดนิ่งไปชั่วขณะ

ฮองเฮาซั่งบังเกิดความหวังขึ้นมาในใจอย่างประหลาด นางจับพระหัตถ์ฮ่องเต้เอาไว้แน่นโดยมิได้เอ่ยคำใดออกมา เพียงแค่ทอดพระเนตรไปยังหน้าต่างบานนั้น มองเงาของคนที่เคลื่อนไหวไปมาจากหน้าต่าง

ในเมื่อมีการทดลองผ่าคลอดมาก่อน ต่อให้มีความหวังเพียงครึ่งเดียว นางก็จะลองดูสักตั้ง !

ลูกแม่ เจ้าต้องมีชีวิตรอด !

ฟู่เสี่ยวกวน เจ้าต้องช่วยพระธิดาของข้าให้จงได้ !

ในยามนี้องค์หญิงใหญ่หยูซูหรงตกพระทัยเสียยิ่งกว่าอันใดดี นางมองไปที่หน้าต่างด้วยความตกตะลึงจนแทบจะมิอยากเชื่อสายตา ภายในใจได้แต่กล่าวซ้ำไปซ้ำมาว่า ‘หรือเจ้าเด็กคนนั้นสามารถทำได้ทุกอย่าง ? ’

……

แสงสว่างของโคมไฟส่องสว่างไปยังช่วงท้องของหยูเวิ่นหวิน

หนานกงตงเซวี๋ยรู้สึกนับถือวิธีการของฟู่เสี่ยวกวนมากยิ่งนัก

การรวมแสงเช่นนี้ทำให้รายละเอียดทุกอย่างปรากฏได้อย่างเด่นชัด ส่งผลให้ความมั่นใจของนางเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อย

ฟู่เสี่ยวกวนรู้ว่าวิธีการผ่าคลอดเช่นนี้มีความเสี่ยงสูง อีกทั้งสถานที่ก็ยังมิใช่ห้องปลอดเชื้ออย่างแท้จริง หนานกงตงเซวี๋ยลงมือผ่าตัดโดยมิได้สวมหน้ากากอนามัย มิได้สวมถุงมือ สำหรับหนานกงตงเซวี๋ยถือว่ามีความเสี่ยงเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่อนางมีอาการของโรคลักปิดลักเปิด

“เจ้าต้องจำไว้ว่าห้ามให้ตนได้รับบาดแผลเป็นอันขาด บาดแผลเล็ก ๆ ก็มิอาจมีได้ มิเช่นนั้นจะเกิดการติดเชื้อได้ง่ายมากยิ่งนัก”

ฟู่เสี่ยวกวนกำชับเรื่องที่ต้องระวังเป็นพิเศษ หนานกงตงเซวี๋ยพยักหน้าแล้วจับมีดผ่าตัดไว้แน่น ค่อย ๆ จรดลงบริเวณท้องน้อยของหยูเวิ่นหวิน

ฟู่เสี่ยวกวนลุ้นจนแทบจะหยุดหายใจ ส่วนสวี่ซินเหยียนนั้นจ้องตาไม่กระพริบด้วยความลุ้นเช่นเดียวกัน

นางไม่คาดคิดมาก่อนว่ายามที่มีดจรดลงไปแล้ว จะทำให้คนผู้หนึ่งมีชีวิตรอดได้อีก !

เพราะนี่คือการผ่าท้องอย่างแท้จริง มันคือการเปิดหน้าท้องส่วนล่างและนำทารกในครรภ์ออกมา จากนั้นค่อยเย็บปิดแผล… ขั้นตอนเหล่านี้ ในความคิดของสวี่ซินเหยียนเรียกได้ว่าเป็นความมหัศจรรย์จนยากจะเชื่อ !

“ผ้าฝ้าย ! ” หนานกงตงเซวี๋ยเอ่ยเพียงเท่านี้ สวี่ซินเหยียนก็รีบนำผ้าฝ้ายที่ฆ่าเชื้อแล้วยื่นให้นางทันที

หน้าท้องของหยูเวิ่นหวินเริ่มมีเลือดไหลออกมา คิ้วของนางขมวดเข้าหากันอย่างกะทันหัน เพราะตอนนี้นางสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดแล้ว แต่ทว่ามันเจ็บน้อยกว่าตอนแรกอยู่มาก ทันใดนั้นนางก็นึกถึงคำเอ่ยทั้งหมดที่เคยให้คำมั่นสัญญาต่อฟู่เสี่ยวกวนเอาไว้

ข้าต้องอดทนเพื่อมีชีวิตรอด !

ข้า ! ข้าจะไปท่องเที่ยวทั่วหล้ากับเขาให้ได้ !

เมื่อคิดได้ดังนั้น ในใจของนางจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง จนกระทั่งได้หลงลืมความเจ็บปวดไปจนหมดสิ้น

“นำตัวหนีบห้ามเลือดมา ! ”

“เอาผ้าฝ้ายมาอีก ! ”

“บัดนี้เตรียมพร้อมดึงทารกในครรภ์ ! ”

“…”

บัดนี้หนานกงตงเซวี๋ยกำลังจดจ่ออยู่กับการผ่าคลอด ภายใต้แสงไฟที่ส่องสว่างทำให้นางเห็นเส้นเลือดที่ถูกมีดกรีดไปตอนแรก นางจึงใช้ที่หนีบห้ามเลือดเข้ามาหนีบเอาไว้ เรียกได้ว่าการผ่าคลอดของนางประสบความสำเร็จมากกว่าตอนที่อาจารย์สุ่ยหยุนเจียนทำไว้เสียอีก

นี่เป็นขั้นตอนยากที่สุดเพราะต้องใช้ขั้นตอนถึง 7 ขั้นในการเปิดทางเพื่อดึงทารกน้อยออกมา

ฮ่องเต้ดำเนินไปมาอยู่ด้านนอกด้วยความร้อนพระทัย ในขณะเดียวกันก็ได้ทอดพระเนตรไปยังประตูห้องเป็นระยะ

เหตุใดจึงมิมีเสียงดังออกมาจากในห้องเลยเล่า ?

หลี่ปิงคุนบอกว่าหมาฝู่ส่านมีผลช่วยชะลอความเจ็บปวดหากทำการผ่าหน้าท้องจริง ๆ แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ได้ยินเสียงร้องของหยูเวิ่นหวิน เช่นนี้…การผ่าท้องดำเนินไปแล้วหรือยัง ?

กลุ่มของหมอหลวงก็ตั้งหน้าตั้งตารอเช่นเดียวกัน

เพราะสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความมั่งคั่งและชีวิตของพวกตนในอนาคต !

หากติ้งอันป๋อล้มเหลวแล้วองค์หญิงเก้าสวรรคตขึ้นมา พวกเขาก็อย่าได้คิดเลยว่าจะมีชีวิตรอดไปได้หลังจากนี้

เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจึงคาดหวังให้ติ้งอันป๋อทำสำเร็จ !

“ติ้งอันป๋อต้องทำสำเร็จอย่างแน่นอน ! ”

“แต่ทว่าการผ่าท้องเช่นนี้…ติ้งอันป๋อยังมิเคยร่ำเรียนจากยอดหมอหลวงสุ่ยหยุนเจียนมาก่อน ! ”

“บางทีผู้ที่ผ่าคลอดให้น่าจะเป็นแม่นางผู้นั้น ข้าเคยได้ยินมาว่ายอดหมอสุ่ยหยุนเจียนรับลูกศิษย์หญิงไว้ผู้หนึ่ง”

“นางอายุน้อยถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? นางจะมีประสบการณ์สักเท่าใดกันเชียว ? ”

“ในเมื่อเจ้ามิใช่คนหนุ่มสาวอีกต่อไปแล้ว เยี่ยงนั้นข้าขอเอ่ยถามเจ้าหน่อยเถิดว่าเจ้าจะกล้าจับมีดผ่าตัดเฉกเช่นนางหรือไม่ ? ”

“…”

ยามนี้ต่งชูหลานกำลังต้มซุปโสมอยู่ในครัว แต่ทว่าจิตใจได้ลอยไปหาหยูเวิ่นหวินด้วยความพะวงแล้ว

เจ้าต้องมีชีวิตรอด !

มิว่าเยี่ยงไรเจ้าต้องรอดชีวิตให้จงได้ !

ในเมื่อท่านพี่ให้ข้าต้มซุปโสมแก่เจ้า ย่อมหมายความว่าเขาต้องการให้เจ้าดื่มมัน เช่นนั้นเจ้าจะเป็นอันใดไปมิได้เป็นอันขาด !

ส่วนเยี่ยนเสี่ยวโหลวกำลังช่วยจัดผ้าปูเตียงผืนใหม่ไว้ในห้องถัดไป ยามนี้นางมองเตาไฟสองเตาด้วยความเหม่อลอย

การให้กำเนิดทารกนั้นน่ากลัวเสียเหลือเกิน !

นางพนมมือทั้งสองเข้าด้วยกันแล้วสวดอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ “สวรรค์เจ้าคะ ช่วยปกปักรักษาพี่เวิ่นหวิน ปกป้องให้นางและลูกปลอดภัย ขอให้นางคลอดบุตรอย่างราบรื่นด้วยเถิด…”

……

เวลาล่วงเลยไปครึ่งชั่วยามแล้ว

ฮองเฮาซั่งสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ว่าผ่านวันเหมือนผ่านปีเป็นคราแรกในชีวิต

นางยังคงจับจ้องไปที่หน้าต่างบานนั้นโดยมิยอมหันเหไปที่ใด

นางยังคงอธิษฐานอยู่ภายในใจ ขอให้สวรรค์และเทพเจ้าช่วยคุ้มครองเวิ่นหวินและลูกให้ปลอดภัยด้วยเถิด !

และในยามนี้นี่เอง…

ก็ได้ปรากฏเสียง ‘อุแว้… ! ’ ดังออกมาจากในห้อง !

ฮองเฮาซั่งพระทัยเต้นแรง นางตื่นเต้นและลุ้นจนกำหมัดแน่น

นี่คือเสียงของชีวิตใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้นมา !

เสียงนี้ช่างไพเราะมากยิ่งนัก !

เปรียบดั่งว่าเป็นเสียงจากสวรรค์ !

ไม่ ! เสียงนี้งดงามกว่าเสียงจากสวรรค์ งดงามจนสามารถชวนให้ผู้คนหลงใหลได้ !

เมื่อทารกในครรภ์คลอดออกมาได้ แล้วเวิ่นหวินของนางเล่า ?

ฮองเฮาซั่งเพิ่งจะเบาพระทัยลงได้ เพียงฉับพลันก็บังเกิดความกังวลขึ้นมาอีกครา

ภายในห้อง…

ฟู่เสี่ยวกวนรับเอาถาดใส่น้ำที่สวี่ซินเหยียนยื่นมาให้ ส่วนสวี่ซินเหยียนนำแผ่นสำลีผืนใหญ่ที่เตรียมไว้ตั้งแต่ต้นมารับตัวทารกน้อยที่หนานกงตงเซวี๋ยดึงออกมา

นางมองไปยังชีวิตใหม่ที่กำลังร้องไห้ ทันใดนั้นนางก็ยิ้มแล้วใช้นิ้วมือจิ้มไปบนแก้มของทารกน้อยอย่างเบามือ “ท่านได้ลูกผู้ชาย ! ”

“รีบห่อตัวเด็กแล้วนำไปวางไว้ข้าง ๆ เวิ่นหวินก่อน”

“อ่า… ได้ได้ได้”

บางทีอาจจะเพราะได้ยินเสียงเรียกนี้ จึงทำให้หมาฝู่ส่านหมดฤทธิ์ลง หยูเวิ่นหวินจึงลืมตาขึ้นมาในยามนี้พอดี

“อย่าขยับ อย่าเพิ่งขยับเป็นอันขาด ! ข้าจะเริ่มเย็บแผลให้ท่านก่อน” หนานกงตงเซวี๋ยหันไปเอ่ยกับหยูเวิ่นหวินอย่างเป็นกังวลเนื่องจากยังมิได้เย็บแผลให้นาง

สวี่ซินเหยียนนำทารกน้อยมาวางไว้ข้างกาย หยูเวิ่นหวินหันไปพิจารณาทารกน้อยที่เกือบจะเอาชีวิตของนางไป ทันใดนั้นนางก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

‘มิว่าเยี่ยงไรลูกชายของข้าก็รอดชีวิตแล้ว’

นางมิได้ขยับตัวแม้แต่น้อยและยังคงกัดฟันแน่น ทนแม้ว่าจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เกิดจากการเย็บแผล

ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความรักของมารดา นางเพียงแค่ยิ้มและมองลูกชายอยู่เช่นนี้โดยลืมความเจ็บปวดทั้งหมดทั้งมวลไปจนสิ้น

การเย็บแผลเป็นงานประณีต ในตอนที่หนานกงตงเซวี๋ยค่อย ๆ เย็บแผลจากมดลูกออกมานั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้หยิบผ้าฝ้ายมาช่วยซับเหงื่อให้กับนาง

หนานกงตงเซวี๋ยยิ้มอย่างสดใส แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป

ตอนนี้วิชาของนางได้ล้ำหน้าสุ่ยหยุนเจียนไปแล้ว

นางเย็บกล้ามเนื้อทั้งเจ็ดชั้นอย่างเป็นระเบียบ สุดท้ายจึงฆ่าเชื้อโรคที่แผลแล้วทายาให้นางก่อนจะพันแผล

“สำเร็จแล้ว ! หากภายในเจ็ดวันนี้มิมีอาการไข้ นางก็จะปลอดภัย”

ฟู่เสี่ยวกวนผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและอยู่ ๆ ก็รู้สึกเหนื่อยล้ามากยิ่งนัก…

เหนื่อยเสียยิ่งกว่าตอนที่เขาไล่บุกโจมตีศัตรูไปไกลถึงพันลี้เป็นเวลาสามวันสามคืนเสียอีก

แต่ทว่าตอนนี้มิใช่เวลาผ่อนคลายเพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการ

หยูเวิ่นหวินต้องถูกย้ายไปยังห้องถัดไป เนื่องจากต้องคอยสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด

“ช่วงเจ็ดวันนี้คงต้องลำบากท่านแล้ว”

“เจ้าอย่าได้เอ่ยเช่นนี้เลย”

“…เจ้าต้องดูแลร่างกายให้ดี หมั่นดื่มน้ำผลไม้และผักให้มากขึ้น”

“อืม…”

ฟู่เสี่ยวกวนวางเครื่องมือลงแล้วเปิดประตูออกมา

ยามนี้ท้องนภามืดมิด แต่ทว่าใบหน้าของเขาสดใสเจิดจ้ายิ่ง

“ปลอดภัยทั้งแม่และบุตร ! ”