ตอนที่ 684 หัตถ์เทวะนรีเวช...ท่านหมอฟู่

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 684 หัตถ์เทวะนรีเวช…ท่านหมอฟู่

การผ่าตัดอันสมบูรณ์แบบทำให้สองแม่ลูกรอดชีวิตจากภาวะคลอดบุตรยากราวกับปาฏิหาริย์ บัดนี้ทั้งคู่ได้ถูกดึงกลับมาจากหน้าประตูผีอย่างแท้จริง

ในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนเปิดประตูแล้วเดินออกมา ยามที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยามที่เขาบอกว่าสองแม่ลูกปลอดภัย ทันใดนั้นทุกคนที่รออยู่ตรงลานก็พากันโห่ร้องขึ้นมาทันที !

แม้แต่ฮองเฮาซั่งที่สงวนท่าทีมาโดยตลอดก็ยังเก็บอาการมิอยู่

เรื่องนี้ต้องเป็นข่าวดีระดับใดกัน !

สำหรับกลุ่มหมอหลวงจากสำนักหมอหลวงนั้น การกระทำของฟู่เสี่ยวกวนได้สร้างแบบอย่างแก่การรักษาภาวะคลอดยาก อีกทั้งพวกเขายังสามารถรักษาศีรษะบนบ่าไว้ได้ และยังมีโอกาสสูงว่าลูกเมียก็จะได้รับการรักษาด้วยวิธีนี้เช่นกัน

สำหรับต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลวแล้ว ความกลัวที่มีต่อการคลอดบุตรพลันสลายหายไปในชั่วพริบตา… เวิ่นหวินที่ตอนแรกไปยืนอยู่หน้าประตูผีก็ยังถูกสามีช่วยกลับมาได้ แล้วพวกนางจะยังต้องกลัวอันใดอีกกัน ?

พวกนางรู้สึกดีใจต่อหยูเวิ่นหวินที่รอดชีวิตและยังสามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเป็นเกียรติมากยิ่งนักที่ได้แต่งงานกับฟู่เสี่ยวกวน !

ฮองเฮาซั่งและฮ่องเต้ที่ในตอนแรกอกสั่นขวัญผวาอยู่เนิ่นนานเนื่องจากห่วงความเป็นความตายขององค์หญิง บัดนี้ทั้งสองพระองค์จึงทรงรู้สึกโล่งพระทัยอย่างแท้จริง เพราะคำเอ่ยนี้ออกมาจากปากของฟู่เสี่ยวกวนโดยตรง !

ดูเหมือนว่าฮ่องเต้กับฮองเฮาซั่งจะทรงเชื่อมั่นในตัวฟู่เสี่ยวกวนไปโดยปริยายแล้ว

เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จะพบว่าตั้งแต่รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่แปดซึ่งคนผู้นี้มาเยือนเมืองจินหลิงจวบจนถึงบัดนี้ ทุกสิ่งที่เขาเคยกล่าว ทุกนโยบายที่เขาเคยเขียน ตำราทุกเล่มที่เขาเคยแต่งรวมถึงทุกเรื่องที่เขาเคยทำ ล้วนมิมีเรื่องใดมิเกิดขึ้นจริง

คำเอ่ยของเขากลายเป็นคำที่มีน้ำหนัก และเขาได้กลายเป็นผู้ที่มีความน่าเชื่อถือไปอย่างไม่รู้ตัว

เขามิใช่ฮ่องเต้แต่ถ้าเขากลับไปยังราชวงศ์อู๋ เขาจะต้องกลายเป็นจักรพรรดิที่ดีได้อย่างแน่นอน !

ในขณะที่ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปยังฟู่เสี่ยวกวน ภายในพระทัยทรงมีความรู้สึกหลากหลาย เขาคือราชบุตรเขยของข้า แต่ทว่าเหตุใดข้าจึงมีความรู้สึกต่อต้านเขากันเล่า ?

หรือข้าควรเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างแท้จริง ?

แต่ในฐานะผู้ปกครองแผ่นดิน เมื่อลองถามใจตนเองดูก็พบว่ามิอาจทำได้

ในที่สุดบนพระพักตร์ของฮองเฮาซั่งก็ได้ปรากฏรอยยิ้มแห่งความปีติยินดีขึ้นมา นางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาแล้วนั่งลงที่โต๊ะหินอ่อนภายในอุทยาน

นางรู้สึกว่าในยามนี้ช่างเหนื่อยล้าเสียเหลือเกิน เหนื่อยล้าเสียยิ่งกว่าการขุดจอบทำสวนดอกไม้ทั้งวันเสียอีก

นางกวักมือเรียกฟู่เสี่ยวกวนแล้วหันไปรับสั่งกับนางกำนัลคนหนึ่งว่า “ไปบอกให้ห้องเครื่องเตรียมอาหารมื้อใหญ่แล้วยกมาที่นี่ ข้าจะขอบคุณเสี่ยวกวนด้วยตนเอง รวมถึง…แม่นางสองคนนั้นด้วย ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับฮองเฮาซั่งแต่ทว่าสีหน้าของเขายังคงจริงจังดังเดิม

“ทูลฮองเฮา แม้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จ แต่ทว่าอีกเจ็ดวันหลังจากนี้ยังต้องคอยระวังอาการของเวิ่นหวินเป็นพิเศษพ่ะย่ะค่ะ…”

ยามนี้หนานกงตงเซวี๋ยเดินออกมาจากห้องคลอดพอดี เขาจึงกวักมือเรียกนาง หนานกงตงเซวี๋ยจึงเดินมานั่งลงข้างฟู่เสี่ยวกวน

“แม่นางผู้นี้มีนามว่าหนานกงตงเซวี๋ย เป็นหลานสาวของหนานกงอี้หยู่ อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายของราชวงศ์อู๋พ่ะย่ะค่ะ นางเป็นศิษย์ของสุ่ยหยุนเจียน หากมิใช่เพราะนาง…ข้าก็คงจนปัญญาเช่นกัน”

ฮองเฮาซั่งเมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงประสานมือคำนับ ทำเอาหนานกงตงเซวี๋ยตกใจเสียจนรีบลุกขึ้นแล้วตอบรับคำขอบคุณทันที “ฮองเฮามิต้องรู้สึกขอบคุณหม่อมฉันหรอกเพคะ”

“แม่นางช่วยบุตรสาวของข้าเอาไว้ บุญคุณครานี้…จะให้ข้าตอบแทนด้วยสิ่งใด ! ”

“ฮองเฮาอย่าทรงตรัสเช่นนี้เลยเพคะ นี่คือความโชคดีขององค์หญิง เพราะวันนี้หม่อมฉันมาที่จวนติ้งอันป๋อและได้พบเจอกับเรื่องนี้โดยบังเอิญ โชคดีที่ติ้งอันป๋อ…เข้าใจศาสตร์ด้านการแพทย์จึงทำให้การผ่าคลอดในวันนี้ประสบความสำเร็จ แต่ถึงกระนั้นยังต้องคอยสังเกตอาการขององค์หญิงไปอีกห้าถึงเจ็ดวัน หากนางมิประชวรถึงจะปลอดภัยอย่างแท้จริงเพคะ”

“อาการของนางยังอยู่ในขั้นวิกฤตเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ฮองเฮาซั่งพระทัยหล่นวูบ

หนานกงตงเซวี๋ยพยักหน้ารับ “หลังจากทำการผ่าคลอดแล้ว หากองค์หญิงเก้ามิมีไข้สูงก็จะปลอดภัยเพคะ”

“แล้วหากว่านางมีไข้สูงเล่า ? ”

“เรื่องนี้…”

หนานกงตงเซวี๋ยหันไปขอความเห็นจากฟู่เสี่ยวกวน เขาจึงกล่าวขึ้นมาว่า “หากเวิ่นหวินมีอาการไข้ขึ้นสูงก็หมายความว่าบาดแผลเกิดการติดเชื้อพ่ะย่ะค่ะ ความหมายของการติดเชื้อก็คือแบคทีเรียที่บาดแผลของนางเพิ่มจำนวนสูงขึ้นทำให้เกิดการอักเสบ ปัจจุบันยังมิมีตำรับยาที่ใช้รักษาอาการได้ ดังนั้นจึงต้องพึ่งพาภูมิคุ้มกันของนางเองเพื่อต่อต้านพ่ะย่ะค่ะ”

ฮองเฮาซั่งและหนานกงตงเซวี๋ยล้วนมิเข้าใจในสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวออกมา สิ่งใดคือแบคทีเรีย ? แล้วภูมิคุ้มกันที่ว่าคือสิ่งใด ? ฮองเฮาซั่งถึงกับเกิดความสงสัยจึงมองฟู่เสี่ยวกวนแล้วพาลคิดว่าเขาเป็นคนผ่าเสียเอง

เวลานี้ฟู่เสี่ยวกวนได้กล่าวเสริมว่า “การผ่าคลอดของเวิ่นหวินมีการฆ่าเชื้อโรคทั้งก่อนและหลังผ่าตัด ดังนั้นกระหม่อมจึงคิดว่าปัญหามิน่าจะใหญ่นัก พระองค์มิต้องกังวลไปหรอก ส่วนหน้าที่ดูแลเวิ่นหวินในระยะนี้มอบหมายให้ตงเซวี๋ยเถิด ดังนั้นถ้าพระองค์สะดวก กระหม่อมจะขออนุญาตให้ตงเซวี๋ยพักในวัง เพราะถ้าให้ผู้อื่นดูแล กระหม่อมมิค่อยวางใจพ่ะย่ะค่ะ”

ฮองเฮาซั่งย่อมตอบตกลงอยู่แล้ว นางหันไปกำชับให้นางกำนัลไปจัดเตรียมห้องรับรอง จากนั้นก็จับมือของหนานกงตงเซวี๋ยเพื่อบอกกล่าวเรื่องที่ควรระวังสำหรับการดูแลหยูเวิ่นหวิน

ในค่ำคืนนี้ฟู่เสี่ยวกวนมิได้กลับจวนฟู่แต่อย่างใด

หยูเวิ่นหวินยังมีอาการบาดเจ็บ ส่วนฮองเฮาซั่งได้เตรียมแม่นมไว้แล้ว ดูเหมือนว่าทารกน้อยจะดิ้นในท้องมารดามากจนเกินไปเพราะหลังจากดื่มนมไปแล้วก็หลับสนิททันที

วันต่อมาหยูเวิ่นหวินไม่มีอาการไข้แทรกซ้อน

ฟู่เสี่ยวกวนยังมิได้กลับจวนฟู่ ดังนั้นจึงยังมิรู้ว่าชื่อเสียงของตนได้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงอีกครา

“ติ้งอันป๋อเป็นเทพเทวดา ! ”

“เมื่อคืนนี้ติ้งอันป๋อ เขา.. เขาได้ช่วยองค์หญิงเก้าที่ทรงมีภาวะพระประสูติกาลยาก หรือว่าพวกเจ้ามิรู้เรื่องนี้ ? ”

“ว่าเยี่ยงไรนะ ? องค์หญิงเก้าทรงมีภาวะพระประสูติกาลยากเยี่ยงนั้นหรือ ? นี่… นี่เท่ากับว่าอับจนหนทางเลยมิใช่หรือ ? ”

“ใช่ ! แม้แต่หมอหลวงก็ยังมิอาจหาวิธีช่วยนางได้ ทุกคนต่างคิดว่าองค์หญิงเก้าต้องมิรอดพ้นคืนนั้นไปเป็นแน่ แต่พวกเจ้าลองเดาสิว่าสุดท้ายเรื่องมันเป็นเยี่ยงไร ? ”

ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เดิมทีโต๊ะสี่เหลี่ยมมีชาวบ้านสี่คนนั่งดื่มชาอยู่ แต่ทว่าในยามนี้มีผู้คนมากมายแห่เข้ามาล้อมแล้วฟังพวกเขาสนทนากัน “เจ้าก็รีบเล่ามาสิ ! ”

“ยังต้องเล่าอีกหรือ ? ในเมื่อติ้งอันป๋อลงมือด้วยตนเอง นางย่อมปลอดภัยน่ะสิ ! ”

“ติ้งอันป๋อมิใช่เทพเจ้าเสียหน่อย ! ยิ่งไปกว่านั้นพวกเจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่าติ้งอันป๋อรู้ศาสตร์ด้านการแพทย์ ? ต่อให้เขารู้ศาสตร์ด้านการแพทย์ แล้วจะแก้ปัญหานี้ได้เยี่ยงไร ? ”

ชายชาตรีผู้นั้นยิ้มกว้าง เขายกมือกวักเรียกให้ทุกคนนั่งลง “ทุกท่าน ทุกท่าน…ลูกพี่ลูกน้องของข้าทำงานอยู่ในสำนักหมอหลวง เมื่อวานได้เห็นเรื่องนี้มากับตาตนเอง หลังจากที่กลับมายังจวนก็เอาแต่ชื่นชมติ้งอันป๋อมิขาดปาก ! ”

“เจ้าก็เล่ามาสิโว๊ย ! ”

“อยากฟังจริงหรือ ? ”

“ยังจะชักช้าลีลาอยู่อีก รีบเล่ามาเร็วเข้า ! ”

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็จ่ายค่าน้ำชาให้ข้าสิ”

มีคนหนึ่งหยิบเหรียญอีแปะหลายเหรียญออกมาจากแขนเสื้อแล้วตบลงบนโต๊ะ “เงินจำนวนนี้คงพอให้เจ้าดื่มชาได้เป็นเดือน เร็วเข้า รีบเล่ามา”

ดวงตาของชายคนนั้นเป็นประกายวาววับขึ้นมาทันที เขาหยิบเหรียญเงินออกไปแล้วกระแอมไออยู่สองครา จากนั้นก็ม้วนแขนเสื้อขึ้นแล้วเอ่ยว่า “เล่ากันว่าในตอนนั้นหมอหลวงล้วนอับจนหนทาง แต่ในยามนั้นติ้งอันป๋อก็ได้มาถึง”

“เขาตะโกนเสียงดังว่า ช้าก่อน ! ให้ข้า ท่านหมอฟู่จัดการเอง ! ”

“ติ้งอันป๋อสั่งทุกคนที่อยู่ภายในห้องให้ออกไปทั้งหมด มิเว้นแม้แต่องค์ฮ่องเต้และฮองเฮา จากนั้นติ้งอันป๋อก็ได้ออกคำสั่งมาเป็นชุด เช่น ต้องการใช้หมาฝู่ส่าน เส้นไหมจากลำไส้แกะ และสีผึ้งห้ามเลือด”

“เมื่อได้ของครบตามต้องการแล้ว ติ้งอันป๋อก็ได้ปิดประตูลง มิมีผู้ใดล่วงรู้ว่าเขาใช้วิธีการใดในห้องนั้น หลังจากเวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ทุกคนก็ได้ยินเสียงร้องของทารกดังขึ้น ทารกถูกช่วยออกมา และเมื่อผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม ติ้งอันป๋อก็ได้เปิดประตูห้องออกมาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า ปลอดภัยทั้งแม่และบุตร ! ”

“ด้วยเหตุนี้นี่เองทำให้…ภาวะคลอดบุตรยากมิใช่ปัญหาใหญ่สำหรับติ้งอันป๋ออีกต่อไป ! ”

ไอหยา…หลายคนที่ได้ยินถึงกับชะงักงัน

“หากคำเอ่ยของเจ้าเป็นจริง เช่นนั้นพวกเรามิต้องอวยยศติ้งอันป๋อเพิ่มหรือ ? ”

“ยศอันใดกัน ? ”

“หัตถ์เทวะนรีเวช ท่านหมอฟู่ ! ”