ตอนที่ 226-2 การเคลื่อนไหวของแต่ละฝ่าย

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

พระชายาจิ้นอ๋องเองก็ตกใจ ทันใดนั้นสีหน้าก็เหยเก นางไม่คิดว่าท่านอ๋องจะตบหน้านางเช่นนี้ “ท่านอ๋อง” นางมองออกไป ในดวงตามีความร้องขอ น้ำตาเม็ดใหญ่กลิ้งอยู่ในดวงตาคู่สวยของนาง แต่กลับฝืนไม่ยอมให้ไหลลงมา 

 

 

จิ้นอ๋องนึกถึงเด็กสาวที่ถูกเขาหักหลังถูกคนอื่นส่งไปบำเพ็ญตนที่อารามชีผู้นั้นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน นางเองก็มองตนด้วยความน้อยใจอย่างเช่นวันนี้ เกือบจะทำให้หัวใจของเขาอ่อนลง แต่เขาก็นึกถึงแววตาที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของเสด็จพี่กง จากนั้นจึงพยายามแข็งใจ “ทำไม พระชายาตัดใจไม่ได้หรือ” 

 

 

หวาลู่กับหวาฉังเองก็ได้สติกลับมาแล้ว เหลือบมองไปทางพระชายาด้วยความหวาดกลัวปราดหนึ่ง พวกนางเป็นสาวใช้ข้างกายพระชายา ย่อมต้องรู้วิธีการที่พระชายาใช้กับอนุภรรยาเรือนหลังเป็นอย่างดี แต่หวาดกลัวอย่างไรเสียก็เทียบความร่ำรวยมีเกียรติไม่ได้ ทั้งสองก้มหน้าคุกเข่าอยู่ตรงหน้าพระชายาจิ้นอ๋อง 

 

 

ใบหน้าของพระชายาจิ้นอ๋องก็ยิ่งเหยเก หญิงชั่วสองคนนี้ หญิงชั่วเกลือเป็นหนอน! พกนางคิดว่าไปห้องหนังสือนอกแล้วจะเลื่อนขั้นได้ในวันเดียวงั้นหรือ หึ อย่าฝัน 

 

 

“ในเมื่อท่านอ๋องถูกใจพวกเจ้าสองคน นี่ก็เป็นวาสนาของพวกเจ้าทั้งสอง ไปห้องหนังสือนอกรับใช้ท่านอ๋องให้ดี อย่าให้เสียหน้าข้า” พระชายาจิ้นอ๋องกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม 

 

 

“บ่าวจะจำคำสั่งสอนของพระชายา ไม่ทำให้พระชายาผิดหวังเพคะ” ทั้งสองพากันแสดงความจงรักภัคดี ทว่าความดีใจในแววตาไม่ว่าอย่างไรก็เก็บไว้ไม่อยู่ 

 

 

นี่ทำให้พระชายาจิ้นอ๋องยิ่งแค้นเคือง อยากจะฆ่าเด็กสองคนนี้ทันทีจริงๆ “จำคำพูดที่พวกเจ้าพูดวันนี้ให้ดี ลุกขึ้นเถอะ ยังคุกเข่าอยู่ทำไม กลับไปเก็บของแล้วตามท่านอ๋องไปทำงานที่ห้องหนังสือนอกเสีย” โบกมือไล่สองคนนี้ออกไป 

 

 

เมื่อจิ้นอ๋องไปแล้ว พระชายาจิ้นอ๋องก็บันดาลโทสะอีกครั้ง คนรับใช้ทั่วทั้งเรือนต่างก็นิ่งเงียบด้วยความหวาดกลัว 

 

 

ข่าวๆ นี้ทำให้อู๋ซื่อกับหูซื่อที่กำลังมาทางนี้ตัดสินใจถอยทัพกลับไป หูซื่อบำรุงครรภ์อยู่ที่เรือนของตน รู้ข่าวนี้ช้าเล็กน้อย แต่ก็ยังเร็วกว่าพระชายาจิ้นอ๋อง อู๋ซื่อรู้ข่าวเร็วอย่างยิ่ง บ้านฝั่งแม่นางส่งข่าวมาบอกนาง 

 

 

ทั้งสองคนรู้แล้วก็แสร้งทำเป็นไม่รู้โดยไม่ได้นัดหมาย หนึ่งคือข่าวลือพัวพันไปถึงพ่อสามี พวกนางเป็นลูกสะใภ้ไม่ควรเปิดปาก สองคือแผนการก่อกวนเล็กๆ ในใจพวกนาง แม่สามีท่านไม่ใช่แสดงตนว่าเป็นสตรีมีคุณธรรมมาโดยตลอดหรอกหรือ เหตุใดถึงยังมีอดีตที่อัปยศเช่นนี้ได้ เหตุใดถึงยังทำเรื่องอดสูเช่นการแย่งสินเดิมลูกสะใภ้ได้อีก แม้ว่าจะเป็นแม่สามี แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อจิตใจที่อยากจะเห็นความสนุกสนานของพวกนาง มิเช่นนั้นจะพูดกันได้อย่างไรว่าแม่ยายลูกสะใภ้เป็นศัตรูกันแต่กำเนิด 

 

 

อู๋ซื่อกลับไปถึงเรือนก็อารมณ์ไม่ดีอย่างมาก ท่านย่าฝั่งมารดาของนางป่วย เมื่อวานนางกลับจวนอู๋กั๋วกงไปเยี่ยม สายตาที่พี่สาวน้องสาวและพี่สะใภ้ทั้งหลายมองนางก็แปลกประหลาด ท่ามกลางความยินดีบนความทุกข์ของผู้อื่นยังแฝงไปด้วยความเห็นใจรางๆ เมื่อสบสายตานางก็หันมองไปทางอื่นทันที ทำให้นางอึดอัดยิ่งนัก 

 

 

โดยเฉพาะน้องสาวของนาง คาดไม่ถึงว่าถามนางต่อหน้าทุกคนว่าสินเดิมของนางใช่มอบแสดงความกตัญญูให้แม่สามีหมดแล้วหรือไม่ แต่ไม่ว่านางจะอธิบายอย่างไรก็ไม่มีใครเชื่อ 

 

 

เดิมพี่สาวน้องสาวทั้งหมดในบ้านก็มีนางที่แต่งงานดีที่สุด เป็นคนที่พวกนางอิจฉาตาร้อน นางเคยมีความสุขกับเกียรติยศนี้อย่างยิ่ง แต่วันนี้พี่สาวน้องสาวของนางที่เคยอิจฉาตาร้อนเหล่านั้นกลับมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น ไม่ก็ส่งสายตาเห็นอกเห็นใจมองนาง ราวกับกำลังบอกว่า ‘แต่งงานกับตระกูลสูงแล้วอย่างไร ไม่ใช่ว่าต้องถูกแม่สามีกลั่นแกล้ง แม้แต่สินเดิมของตนยังปกป้องไว้ไม่ได้หรอกหรือ’ จะไม่ทำให้นางอัดอั้นได้อย่างไร 

 

 

ส่วนคนต้นเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือพระชายาจิ้นอ๋องแม่สามีของนาง แม่สามีเอาสินเดิมของสะใภ้ใหญ่ส่งเป็นของขวัญจึงทำให้เกิดเรื่อง นี่ทำให้ในใจอู๋ซื่อเหยียดหยามการกระทำของแม่สามีอย่างถึงที่สุด สินเดิมของสตรีที่ไหนบ้างไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนตัวของตน แม้แต่สามียังไม่มีสิทธิ์แตะ แม่เลี้ยงสามีเช่นท่านกลับเอาสินเดิมของลูกสะใภ้ ใครจะยังกล้าให้บุตรสาวแต่งเข้ามาในจวนจิ้นอ๋องอีก 

 

 

สินเดิมของสะใภ้ใหญ่เจ้าจะเอาก็เอาไป เก็บไว้ในคลังส่วนตัวของตนก็ได้แล้ว เจ้าดันเอาไปส่งเป็นของขวัญ นี่ไม่ใช่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวอย่างชัดเจนหรือ 

 

 

อู๋ซื่อไม่ชอบแม่สามีผู้นี้อย่างถึงที่สุด แต่กลับอับจนหนทาง ใครให้นางแต่งงานกับสามีผู้เป็นลูกชายคนโตของแม่สามีเล่า 

 

 

อู๋ซื่อพิงตั่งนอนโมโหโกรธา เมื่อรู้ว่าลูกสาวสองคนวิ่งเข้ามาเรียกท่านแม่ด้วยเสียงเจื้อยแจ้วจึงเผยรอยยิ้มออกมา มองลูกสาวทั้งสองที่อ่อนนุ่มราวกับไข่มุก ความไม่พอใจต่อแม่สามีในใจอู๋ซื่อก็เพิ่มขึ้นอีกขั้น 

 

 

ลูกสาวของนางน่ารักเช่นนี้ ทั้งรู้ประสาทั้งเชื่อฟัง แต่แม่สามีกลับไม่ชอบ วันทั้งวันพร่ำเพ้อถึงแต่หลานชาย หลานชาย ท้องนั้นของน้องสะใภ้สามยังดูไม่ออกว่าท้องนางก็ดูแลประหนึ่งไข่หงส์แล้ว เหอะ ข้าจะคอยดูว่าถึงตอนนั้นจะคลอดอะไรออกมาได้ หากเป็นบุตรสาวเหมือนกันเช่นนั้นก็คงมีความสุขยิ่งนัก 

 

 

ฝั่งหูซื่อแม้ว่าจะไม่อัดอั้นใจเหมือนเช่นอู๋ซื่อ แต่ฮูหยินไหวเซียงโหวแม่นางก็มากระซิบกระซาบสั่งสอนนางถึงบ้าน ให้นางตั้งใจดูแลสินเดิมให้ดี 

 

 

การเคลื่อนไหวของข่าวลือวุ่นวายจนใหญ่โตเช่นนี้ จวนจงอู่โหวที่เป็นบ้านฝั่งมารดาของเสิ่นเวย 

 

 

ย่อมไม่อาจนิ่งดูดายได้ ไม่เห็นหรือว่า เขามาหนุนหลังบุตรสาวถึงบ้านแล้ว 

 

 

คนที่มาไม่ใช่ฮูหยินสวี่ซื่อ แต่เป็นนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวท่านปู่ของเสิ่นเวย เขาไม่ได้ไปหาพระชายาจิ้นอ๋อง แต่เขาส่งเทียบเชิญไปที่มือของจิ้นอ๋องโดยตรง อ้าปากก็ถาม “ท่านอ๋อง ใช่ค่าใช้จ่ายของจวนอ๋องไม่พอใช่หรือไม่!” ทำเอาจิ้นอ๋องอับอาย อยากจะแทรกแผ่นดินหนีอย่างยิ่ง 

 

 

อย่ามองว่าจิ้นอ๋องเป็นท่านอ๋อง เมื่อเขาอยู่ต่อหน้านายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวผู้ปราดเปรื่องก็ไม่น่าเกรงขามอย่างยิ่งจริงๆ ท่าทีของนายท่านผู้เฒ่าโหวดียิ่งนัก บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่เป็นมิตรตั้งแต่ต้นจนจบ แต่คำพูดที่พูดออกมากลับสามารถทำให้คนสำลักตายได้ บ้างก็ว่า ‘เจ้าสี่ของพวกเราไม่รู้ประสา จะให้แม่สามีเอ่ยปากขอได้อย่างไร ควรมอบให้ด้วยตัวเองจึงจะแสดงความกตัญญูได้’ บ้างก็ว่า ‘ท่านอ๋อง พวกเราก็เป็นญาติกันแล้ว หากจวนอ๋องมีปัญหาท่านก็เอ่ยปากได้ไม่ต้องเกรงใจ ข้ายังมีทองสอง**บที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ยังไม่ได้แตะ’ … 

 

 

จิ้นอ๋องอยากจะคุกเข่าให้นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวยิ่งนัก ขอเพียงแค่ให้เขาหยุดพูด ส่งนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวไปแล้ว จิ้นอ๋องก็วิ่งไปบันดาลโทสะอย่างรุนแรงที่เรือนของพระชายาจิ้นอ๋องอีกครั้ง คืนนั้นก็ใช้หาวลู่หวาฉังสองคน 

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องที่ได้ข่าวแล้วก็โมโหอย่างเลี่ยงไม่ได้ มิหนำซ้ำเสิ่นเวยยังวิ่งมาสร้างความรำคาญใจเพิ่ม ทั้งขอโทษ ทั้งสำนึกผิด ปาดน้ำตาสาบานด้วยความบริสุทธิ์ใจ บอกว่าไม่ใช่นางที่ปล่อยข่าวในบ้านจริงๆ ไม่ใช่นางที่ให้ท่านปู่มาบ้านจริงๆ 

 

 

ในใจพระชายาจิ้นอ๋องอัดอั้น แต่จำใจต้องเค้นรอยยิ้มออกมาปลอบนาง อัดอั้นจนแม้แต่ความคิดอยากตายนางก็มีแล้ว 

 

 

การทำงานของแม่นมซือกับหวาเยียนมีประสิทธิภาพสูงอย่างยิ่ง ไม่นานนักก็สืบได้ว่าข่าวลือออกมาจากครัวใหญ่ หญิงชรารับใช้แซ่หลี่เป็นคนพูดคนแรก 

 

 

ยายหลี่ถูกพามาตรงหน้าพระชายาจิ้นอ๋องก็รู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรม “พระชายาโปรดไว้ชีวิต! ไม่มีใครสั่งบ่าว บ่าวเพียงแค่ออกจากเรือนไปซื้อผักก็ได้ยินคำไม่กี่คำ จึงเล่าให้ทุกคนฟัง เป็นบ่าวที่ปากไม่ดี พระชายา บ่าวไม่กล้าอีกแล้ว ท่านไว้ชีวิตบ่าวครั้งนี้ได้หรือไม่” นางร้องห่มร้องไห้พยายามตีปากตัวเอง 

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องใบหน้าเคร่งขรึม ดวงตามีประกายเลือนรางแวบผ่าน โบกมือ “ลากออกไป ลากออกไป บ่าวขี้นินทาเช่นนี้จะเก็บไว้ทำอะไร ขายทิ้งเสีย” คำพูดหนึ่งประโยคที่เรียบง่ายก็ตัดสินชะตาชีวิตของยายหลี่แล้ว 

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องก่ายหน้าผาก รู้สึกว้าวุ่นใจนิ่งนัก อดคิดไม่ได้ ใช่นางมีดวงไม่สมพงกับเสิ่นซื่อหรือไม่ มิเช่นนั้นเหตุใดตั้งแต่วันที่นางเข้าจวนมาก็มีแต่เรื่องวุ่นวายโกลาหล ไม่มีสักวันที่สบายใจ อืม ต้องไปหาพระอาจารย์เสียหน่อยแล้ว นางคิดคำนวณเงียบๆ ในใจ อันที่จริงเรื่องที่นางเป็นกังวลที่สุดยังคงเป็นเรื่องแต่งงานกับจวนเสนาบดีฉิน 

 

 

ก่อนข่าวลือจะแพร่ออกไป พวกเขาสองตระกูลก็นับได้ว่าตกลงกันเรียบร้อยแล้ว วันนี้เดิมควรเป็นวันดูดวงสมพงษ์คู่หมั้น ทว่าจวนเสนาบดีฉินสั่งคนมามาเลื่อนวัน ไม่รู้ว่าเลื่อนวันครั้งนี้จะเป็นการเลื่อนจริงๆ หรือว่ายกเลิกการสมรสเสียเลย เพื่อการสมรสครั้งนี้แล้ว ทั้งก่อนทั้งหลังนางทุ่มเทแรงกายแรงใจไปมากเพียงใด หากไม่สำเร็จ เฮ้อ นางทุบขา มีความรู้สึกเหมือนโยนหินใส่เท้าตัวเองอยู่เสมอ 

 

 

สำหรับจิ้นอ๋องนางกลับไม่เป็นกังวล นางใช้ชีวิตร่วมกับเขามาหลายปีเพียงนั้น รู้นิสัยเขาเป็นอย่างดี เขาโมโหเพียงเพราะอับอายก็เท่านั้นเอง อันที่จริงเขาเป็นคนหูเบา รอให้ผ่านไปหลายวันเขาหายโกรธแล้ว ตนค่อยพูดจาหวานๆ หว่านล้อมเขาสองสามประโยคก็ไม่เป็นไรแล้ว 

 

 

หวาลู่หวาฉังเด็กชั่วสองคนนั้น เชื่อฟังก็พอแล้ว หากไม่เชื่อฟัง เหอะ ที่นางมีคือวิธีจัดการพวกนางให้ตาย ในบ่อน้ำเรือนหลังตระกูลใดบ้างไม่มีผีอาฆาต 

 

 

องค์ชายรองสวีอวี้หน้านิ่งนั่งอยู่ในห้องหนังสือของเสนาบดีฉินท่านตาของเขา “ท่านตาท่านว่าตัวการเบื้องหลังข่าวลือนี้คือใคร” เดิมตระกูลฝั่งมารดากับจวนจิ้นอ๋องจะแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์เขาดีใจอย่างยิ่ง ไม่คิดว่าจู่ๆ ข่าวลือที่เกี่ยวกับจวนจิ้นอ๋องจะลือกันไปทั่ว แม้จะไม่ได้เอ่ยถึงเขาโดยตรง แต่แววตาคลุมเครือที่มองมาทางเขาเหล่านั้นก็ยังคงทำให้เขากระวนกระวายใจ 

 

 

ท่านเสนาบดีฉินมององค์ชายรองปราดหนึ่ง กล่าวช้าๆ “สืบออกมาว่าเป็นใครบงการแล้วมีเจตนาใดงั้นหรือ องค์ชายรองควรจะมองการณ์ไกลกว่านี้” ท่าทางผ่อนคลายนั้นไม่สนใจข่าวลืออย่างสิ้นเชิง “ห้ามปากประชาชนยิ่งกว่าห้ามสายน้ำ ปล่อยพวกเขาพูดไป พูดจนพอพูดจนเบื่อย่อมต้องไม่พูดต่อเอง” 

 

 

“แต่คนพูดมากเข้า ก็ทำลายล้างได้!” องค์ชายรองยังคงไม่วางใจเล็กน้อย 

 

 

เสนาบดีฉินลูบหนวดยิ้ม “เกี่ยวอะไรกับพวกเราเล่า คนที่ชื่อเสียงถูกทำลายคือจวนจิ้นอ๋อง คือจิ้น 

 

 

พระชายากับจิ้นอ๋อง ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นเรื่องดีเมื่ออิงเอ๋อร์แต่งเข้าไป” 

 

 

องค์ชายรองตกใจเล็กน้อย “ท่านตา การสมรสนี้ยังดำเนินต่อหรือ” 

 

 

“แน่นอน สองตระกูลตกลงกันแล้วเหตุใดจะไม่ทำต่อเล่า จวนเสนาบดีไม่ใช่คนไม่รักษาคำพูด” ท่านเสนาบดีฉินเลิกคิ้ว “จวนจิ้นอ๋องไม่ทำให้อิงเอ๋อร์เสียหน้าหรอก” เขากล่าวอย่างแฝงความนัย 

 

 

องค์ชายรองใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแล้ว กล่าวกับท่านเสนาบดีฉินด้วยความจริงใจ “ยังคงเป็นท่านตาที่รอบคอบ มิน่าเล่าเสด็จแม่ถึงให้ลูกมาเรียนรู้จากท่านเยอะๆ” 

 

 

ท่านเสนาบดีฉินยิ้มอีกครั้ง ใบหน้าเมตตาสิบสองส่วน “องค์ชายรองอายุเท่านี้ก็ไม่เลวอย่างยิ่งแล้ว เก่งกว่าน้าเจ้าเสียอีก” 

 

 

เขามองหลานชายที่สง่าผ่าเผยผู้นี้ กล่าวในใจ จะต้องไม่เสียดายที่จะส่งเขาขึ้นไปบนที่นั่งสูงนั่น ตระกูลฉินเองก็จะได้ร่ำรวยไปอีกหลายสิบปี 

 

 

ส่งองค์ชายรองไปแล้ว ท่านเสนาบดีฉินก็หลุบตายิ้มเยาะ คนอื่นไม่รู้ว่าข่าวลือเป็นมาอย่างไร แต่เขากลับรู้ดี ไม่ใช่ฝีมือของคุณหนูสี่แซ่เสิ่นที่เข้ามาสืบจวนเสนาบดียามดึกจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ที่ฝ่าบาทพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้หรอกหรือ เด็กคนนั้นยอมเสียเปรียบไม่ได้ พระชายาจิ้นอ๋องรนหาที่ตายเอาสินเดิมของนางไป นางไม่ตอบแทนสักหน่อยสิแปลก 

 

 

แต่ว่านางคิดจะขัดขวางการแต่งงานครั้งนี้ ไม่ว่าอย่างไรตนก็ไม่อาจทำให้นางสมปรารถนาได้เช่นกัน