ตอนที่ 227-1 เก็บหน้าตายของท่านหน่อย

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เมื่อข่าวลือโด่งดัง ฮองเฮาเหนียงเหนียงในวังก็มีความสุขแล้ว ดูสิ คนที่ไม่ถูกชะตากับซ่งซื่อไม่ได้มีนางเพียงคนเดียว นางไม่ต้องออกมือก็มีคนแย่งนางจัดการแล้ว ทุกวันนางส่งขันทีในวังออกจากวังไปสืบข่าว ข่าวลือหนึ่งวันหนึ่งฉบับ ทุกวันฮองเฮาเหนียงเหนียงก็ยิ้มแย้มดีใจ โดยเฉพาะเมื่อเห็นใบหน้าที่ดำคร่ำเครียดใบนั้นของซูเฟย อาหารค่ำนางก็ทานเพิ่มอีกหนึ่งถ้วย 

 

 

อาศัยโชคดีของข่าวลือ เสิ่นเวยถูกฮองเฮาเหนียงเหนียงเรียกเข้าวังสองครั้งแล้ว ครั้งแรกกุ้ยกูกูมานางยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่ใช่เพิ่งจะน้อมสำนึกพระมหากรุณาธิคุณหรือ สำหรับข้ออ้างที่ฮองเฮาเหนียงเหนียงอยากพบนางนางไม่เชื่ออย่างสิ้นเชิง ยังคงเป็นสวีโย่วที่พูดกับนางด้วยความสุขุม “เจ้าไปก็พอแล้ว” 

 

 

สำหรับสวีโย่ว เสิ่นเวยยังคงเชื่อใจอย่างยิ่ง 

 

 

เมื่อถึงตำหนักคุนหนิงแล้ว ท่าทีของฮองเฮาเหนียงเหนียงก็กระตือรือร้นยิ่งนัก ชมนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ารอบหนึ่ง ทำเอาคนหน้าหนาเช่นเสิ่นเวยยังรู้สึกเขินอาย 

 

 

หลังจากนั้นฮองเฮาเหนียงเหนียงก็เปลี่ยนเรื่อง มองนางด้วยความสงสาร ถามไถ่ชีวิตในจวนอ๋องของนาง บอกเป็นนัยว่าหากได้รับความไม่เป็นธรรมใดๆ นางสามารถช่วยนางได้ 

 

 

เสิ่นเวยรีบลุกขึ้นด้วยความประหลาดใจบอกว่านางอยู่ในจวนอ๋องทุกอย่างล้วนดี พ่อแม่สามีรักใคร่ น้องสะใภ้รักกันฉันมิตร สามีเคารพ บ่าวชั้นล่างก็ปฏิบัติตามกฎ ขอบคุณฝ่าบาทที่พระราชทานการสมรสที่ดีเช่นนี้ให้นาง 

 

 

ท่าทางของสตรีอายุน้อยที่กระวนกระวายใจนั้นฮองเฮาเหนียงเหนียงเห็นแล้วก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ กล่าวในใจ นี่คือคนจริงใจที่ใสซื่อบริสุทธิ์ 

 

 

ในเมื่อบอกเป็นนัยไม่ได้ผล เช่นนั้นก็บอกตรงๆ แล้วกัน ฮองเฮาเหนียงเหนียงเอ่ยถึงข่าวลือในเมืองหลวงต่อ ถามนางว่าภาพวาดตกปลาใต้จันทราภาพนั้นเกิดอะไรขึ้น 

 

 

เสิ่นเวยย่อมพูดความจริง นางบอกว่าภาพผืนนั้นเป็นนางมอบให้แม่สามีด้วยตัวเอง อีกทั้งภาพผืนนั้นยังเป็นของปลอมจริงๆ 

 

 

ฮองเฮาเหนียงเหนียงไหนเลยจะเชื่อ ปีนั้นใครบ้างไม่รู้ว่าผลงานภาพวาดชื่อดังของจางเต้าจื่อในรัชสมัยก่อนถูกแม่ทัพใหญ่หร่วนส่งเป็นสินเดิมให้ลูกสาว และผู้จัดการใหญ่เรือนเจี้ยนเป่าก็ตรวจสอบด้วยตาตัวเองว่าเป็นของแท้ เหตุใดจู่ๆ ถึงกลายเป็นของปลอมได้เล่า เด็กโง่คนนี้ คนอื่นหลอกเจ้าก็ยังไม่รู้ 

 

 

สำหรับการมอบให้ด้วยตัวเองก็ยิ่งมีเหตุผลอย่างยิ่ง คนมีอุบายเช่นนั้นอย่างซ่งซื่อไหนเลยจะขอสิ่งของกับนางตรงๆ พูดอ้อมค้อมบอกเป็นนัยเล็กน้อย คนที่เป็นลูกสะใภ้เช่นเจ้าก็ต้องถวายให้เองอย่างเชื่อฟังมิใช่หรือ 

 

 

ฮองเฮาเหนียงเหนียงถุยน้ำลายใส่พระชายาจิ้นอ๋องซ่งซื่อครั้งหนึ่งในใจ ยิ่งรู้สึกว่าจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ผู้นี้เป็นคนโง่ สายตาที่มองนางก็ยิ่งอ่อนโยน ตอนที่ลายังใจป้ำให้บำเหน็จจำนวนมาก 

 

 

เสิ่นเวยนำบำเหน็จของฮองเฮาเหนียงเหนียงกลับจวนจิ้นอ๋อง สายตาที่คนรับใช้ในจวนมองนางก็ไม่เหมือนเดิมในชั่วขณะ ดูท่าแล้วฮูหยินใหญ่ผู้นี้จะเข้าตาฮองเฮาเหนียงเหนียงแล้ว หลังจากนี้ใครจะกล้าดูแคลนอีก 

 

 

แม้แต่อู๋ซื่อกับหูซื่อก็ยังคับแค้นใจ นางทั้งสองเข้าจวนมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นฮองเฮาเหนียงเหนียงเรียกไปเข้าเฝ้าเลยสักครั้ง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงบำเหน็จ 

 

 

ครั้งที่สองฮองเฮาเหนียงเหนียงเรียกพบอีกเสิ่นเวยก็มีประสบการณ์มากขึ้นแล้ว อย่างไรเสียนางก็เพียงแค่แสดงท่าทางสตรีอายุน้อยฮองเฮาเหนียงเหนียงถามอะไรก็ตอบไปตามตรงก็ได้แล้ว หากว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงถามถึงพระชายาจิ้นอ๋อง นางเพียงแค่ยิ้มก็พอ หากเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็พูดถึงแม่สามีดีๆ ทำนองว่าใจกว้างเมตตา ปฏิบัติต่อนางดี 

 

 

แม้ในใจฮองเฮาเหนียงเหนียงจะไม่สบายใจ แต่กลับไม่อาจพาลโมโหลงที่เสิ่นเวยได้ เพียงแค่คิดว่าซ่งซื่อใช้อุบายสูงหลอกจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ เช่นนี้ก็ดี นิสัยเช่นนี้จึงจะผูกมิตรง่าย 

 

 

เสิ่นเวยนำเงินบำเหน็จจำนวนมากของฮองเฮาเหนียงกลับจวนอีกครั้ง ในใจก็มั่นใจแล้วว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงไม่ถูกกับพระชายาจิ้นอ๋อง เดิมหลักการศัตรูของศัตรูก็คือเพื่อน เสิ่นเวยรู้สึกว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงที่พึ่งนี้ยังคงต้องเล่นละครตบตาต่อไป แม้ว่าจะเห็นแก่บำเหน็จก็ตาม 

 

 

เสิ่นเวยถูกฮองเฮาเหนียงเหนียงเรียกพบสองครั้ง อีกทั้งยังได้บำเหน็จมาไม่น้อย พระชายาจิ้นอ๋องที่เดิมหงุดหงิดอยู่แล้วก็ยิ่งไม่พอใจ เมื่อไรกันที่เสิ่นซื่อผู้นี้ตามราวี อยู่ในจวนเงียบๆ ไม่ได้หรือไร ฐานะเดิมไม่ดีก็สายตาสั้นหลงใหลในเกียรติยศอันจอมปลอม 

 

 

เมื่อได้ยินคนรับใช้ในจวนเอ่ยด้วยความอิจฉาว่าฮูหยินได้รับความโปรดปรานจากฮองเฮาเหนียงเหนียง ได้บำเหน็จมากน้อยเพียงใด ไฟโกรธเบื้องลึกในใจพระชายาจิ้นอ๋องก็เก็บไว้ไม่อยู่อีกต่อไป กระทั่งหน้ามืดใช้อุบาย ลดเงินเดือนของเรือนลูกเลี้ยงเสียเลย 

 

 

เสิ่นเวยเห็นกับข้าวหร็อมแหร็มที่ส่งมา ก็ลูบจมูกหัวเราะ เถาจือที่ไปนำอาหารมาโมโหแทบตายอยู่แล้ว “ฮูหยินท่านยังหัวเราะอยู่อีก พวกนางกลั่นแกล้งคนเกินไปแล้ว” 

 

 

เมื่อวานนางไปรับอาหารที่ครัวใหญ่ คนของครัวใหญ่ยังกระตือรือร้น เพิ่มตับห่านให้นางหนึ่งจาน ใครจะรู้วันนี้ไปอีกใบหน้าฝีปากนั้นกลับเปลี่ยนแล้ว ชี้ลวกๆ อย่างไม่แยแส “นั่น อาหารของคุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่อยู่ตรงนั้น” 

 

 

เถาจือมองดู กับข้าวธรรมดาสี่อย่าง ล้วนแต่เป็นผัก ไม่มีน้ำแกงแม้แต่ถ้วยเดียว ปกติสาวใช้ใหญ่หลายคนเช่นพวกนางยังกินดีกว่านี้ สีหน้าของนางก็ไม่ดีทันที คิดว่าฮูหยินเพิ่งแต่งเข้ามา นางจึงยกยิ้มถามหนึ่งประโยค “ใช่เข้าใจผิดแล้วหรือไม่” ดวงตาจ้องมองอาหารชั้นดีเต็มโต๊ะอีกฝั่งหนึ่ง 

 

 

แม่บ้านหม่าในครัวชายตามองปราดหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด “แม่นางเถาจือไม่ต้องมองหรอก ไม่ผิด อาหารของคุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่ก็คือชุดนี้ เจ้าเองก็รู้ ช่วงนี้แห้งแล้ง เก็บเงินไว้หมดซื้ออะไรไม่ได้ ทำอาหารเหล่านี้ได้ก็ไม่ง่ายอย่างยิ่งแล้ว คุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่เป็นคนมีเหตุผลเพียงนั้น จะต้องเห็นใจความลำบากของบ่าวเช่นพวกเราแน่นอน” 

 

 

เถาจือโมโหแทบแย่ ช่วงนี้แห้งแล้ง แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องเก็บเงินจนซื้ออะไรไม่ได้อย่างที่แม่บ้านหม่าว่า! นี่มันเจตนาชัดๆ 

 

 

“เช่นนั้นอาหารเหล่านี้เล่า อย่าบอกว่าเป็นเงินเดือนของพวกท่านแม่บ้านหม่า” เถาจือชี้อาหารชั้นดีบนโต๊ะอีกฝั่งหนึ่งแล้วถามอย่างเย็นชา 

 

 

แม่บ้านผู้นั้นหัวเราะเยาะเหยียดหยาม กล่าวอย่างไม่สนใจ “ดูแม่นางเถาจือพูดเข้า อาหารเหล่านี้ย่อมต้องเป็นเงินเดือนของพระชายา คุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่เป็นชนรุ่นหลังไม่อาจแย่งผู้อาวุโสมิใช่หรือ” 

 

 

“คุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่ของพวกเราย่อมกตัญญูต่อท่านอ๋องพระชายา เพียงแต่ท่านอ๋องกับพระชายาเพียงแค่สองคน จะทานอาหารที่เยอะเพียงนี้หมดได้อย่างไร” เถาจือถามกลับ แม่บ้านหม่าผู้นี้เห็นชัดๆ ว่าหาข้ออ้างมาปฏิเสธ ท่านอ๋องพระชายาเป็นผู้อาวุโสอะไร คาดว่านายทั้งจวนต่างก็กินอาหารอันโอชะ กลั่นแกล้งแต่เรือนของพวกนางมากกว่ากระมัง 

 

 

แม่บ้านหม่ากลอกตาทั้งคู่ “นี่ไม่ใช่ว่ายังมีฮูหยินซื่อจื่อกับฮูหยินสามอีกหรือ ฮูหยินซื่อจื่อมีคุณหนูอายุน้อยสองคน ฮูหยินสามตั้งครรภ์ อาหารมื้อนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องละเอียดหน่อยมิใช่หรือ ข้าคิดว่าฮูหยินใหญ่คงไม่ถึงกับแย่งอาหารของหลานสาวกับหญิงตั้งครรภ์หรอกกระมัง” 

 

 

เถาจือโมโหจนตัวสั่นไปทั่วทั้งร่าง ตั้งใจแกล้งเรือนพวกนางจริงๆ ด้วย ฮูหยินเพิ่งจะแต่งเข้ามาได้ไม่กี่วันก็ถูกย่ำยีเช่นนี้แล้วหรือ เถาจืออยากจะตบหน้าแม่บ้านหม่าสักฉาดจริงๆ ทนแล้วทนอีกจึงควบคุมตัวเองไว้ได้ เพราะนางรู้ว่าแม่บ้านหม่าเป็นเพียงแม่บ้านในครัวใหญ่คนหนึ่ง ให้ความกล้ามหาศาลแก่นางก็ไม่กล้าเหยียดหยามนาย ข้างหลังนางจะต้องมีคนหนุนหลังแน่นอน คนผู้นี้เป็นใครในใจเถาจือย่อมรู้ดี 

 

 

เพราะว่ารู้ดีนางจึงอดทนไม่ก่อเรื่อง แม้ฮูหยินจะบอกว่าขอเพียงแค่มีเหตุผลก็ไม่ต้องกลัวจะก่อเรื่อง แต่อย่างไรเสียนั่นก็คือแม่สามีของฮูหยิน! 

 

 

“ได้ แม่บ้านหม่าพูดเองนะ” เถาจือวางกับข้าวจืดชืดไม่กี่จานนั้นเข้าไปในถาดแล้วถือออกไปอย่างรวดเร็ว นางกลัวว่าอยู่ต่อไปนางจะอดทำลายครัวใหญ่ไม่ได้ 

 

 

“ฮูหยิน ท่านไม่เห็นสีหน้าฝีปากของคนใช้กลุ่มนั้น นายทั้งจวนมีแต่เรือนพวกเราที่ถูกลดเงินเดือน เห็นชัดๆ ว่ากลั่นแกล้งท่าน บ่าว บ่าวอดโมโหไม่ได้” เถาจือยังคงฉุนเฉียว 

 

 

เสิ่นเวยมองสวีโย่วอย่างอดไม่ได้ “แม่เลี้ยงท่านเป็นบ้าอะไรขึ้นมา ช่วงนี้ดูเหมือนข้าไม่ได้หาเรื่องนางนี่” ทันใดนั้นก็กล่าวอย่างคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ “หรือว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงเรียกข้าเข้าวังเลยขัดตานาง” 

 

 

เห็นสวีโย่วพยักหน้า เสิ่นเวยก็อดก่ายหน้าผากไม่ได้ “ใจแคบเกินไปแล้ว!” อุบายแค่นี้ อนุภรรยาเหล่านั้นที่เรือนหลังจวนจิ้นอ๋องก็ไร้ประโยชน์เกินไปหน่อยแล้วกระมัง 

 

 

ทั่วทั้งร่างสวีโย่วถูกความเย็นเยียบแผ่ซ่าน ถือถาดอาหารกำลังจะเดินออกไปข้างนอก เสิ่นเวยรีบเรียกเขาไว้ “เดี๋ยวๆๆ ท่านจะไปไหน” 

 

 

สวีโย่วชะงักฝีเท้า แต่ไม่หันหน้ากลับมา “เอาอาหารนี้ไปมอบให้เสด็จพ่อทาน” เขารู้สึกว่าบนใบหน้าร้อนผ่าว เพิ่งจะพูดไปว่าจะทำให้เวยเวยมีชีวิตที่สงบสุข วันนี้กลับถูกตบหน้าแล้ว 

 

 

“กลับมา กลับมา” เสิ่นเวยจนใจทั้งใบหน้า “ดูสิท่านใจร้อนแบบนี้ ต้องแก้” 

 

 

สวีโย่วไม่ขยับ เสิ่นเวยทำได้เพียงก้าวเข้าไปดึงเขากลับมา แย่งถาดอาหารในมือเขามาวางไว้บนโต๊ะ “ท่านเอาแต่จะไปทะเลาะกับเสด็จพ่อไม่ได้ แสดงความกตัญญูไม่ได้มีเพียงวิธีนี้วิธีเดียว” 

 

 

“พี่เฉินเล่า ให้นางพาคนสองคนออกจวนไปเลือกซื้อวัตถุดิบ แม่นมมั่ว เจ้าไปสั่งอาหารดีๆ สี่ชุดที่เหลาสุราด้วยตัวเอง หากมีคนถามก็บอกว่าจวนจิ้นอ๋องลดค่าใช้จ่าย ข้าฮูหยินเป็นห่วงผู้อาวุโส สงสารหลานสาวอายุน้อยกับน้องสะใภ้สามที่ตั้งครรภ์อยู่ ควักเงินสินเดิมมาจ่ายเอง” เสิ่นเวยขึ้นเสียงสั่ง 

 

 

สวีโย่วเข้าใจเจตนาของนางทันที คิ้วขมวดมุ่น “เหตุใดถึงไม่สั่งอีกชุดเล่า” เขาชายตามองถาดอาหารบนโต๊ะ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจ 

 

 

เสิ่นเวยกล่าว “ท่านคงไม่คิดว่าข้าจะกินของพวกนี้หรอกกระมัง ไม่ใช่ว่าสั่งไว้สี่ชุดแล้วหรือ พอให้เรือนของพวกเรากินได้พอดี ส่วนเรือนอื่นๆ เลือกกับข้าวอย่างสองอย่างส่งไปเป็นพิธีก็พอแล้ว” ใครจะโง่ส่งไปจริงๆ เล่า 

 

 

ใบหน้าที่เฉยชาของสวีโย่วกระตุกเล็กน้อย ใช่แล้ว เขาลืมไปได้อย่างไรว่าเด็กคนนี้ไม่ยอมเสียเปรียบที่สุด หลังจากนั้นก็ได้ยินเสิ่นเวยกล่าวต่อ “คุณชายใหญ่ ตอนที่ข้ากลับจวนโหวแรกๆ ก็เจอเรื่องแบบนี้เหมือนกัน รู้หรือไม่ว่าข้าจัดการอย่างไร ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ “ข้าพังครัวใหญ่ บ่ายวันนั้นนายทั้งหมดในจวนจงอู่โหวไม่ได้กินข้าวตรงเวลา แต่ว่าคราวนี้ข้าไม่ได้คิดจะพังครัวใหญ่ ข้าคิดว่าให้พระชายาจัดการด้วยตัวเองตรงกับเจตนาของข้ามากกว่า” 

 

 

ในเมื่อส่งมาถึงหน้าประตู เช่นนั้นข้าก็ไม่ถือสาจะตัดแขนเจ้าอีกข้าง ยายหม่าผู้นั้นเป็นผู้จงรักภัคดีของพระชายาจิ้นอ๋องนี่!