ตอนที่ 154 ลักพาตัว

รักเล่ห์เร้นใจ

ภายในห้องเล็กๆ นั้น หลินหว่านถูกผ้าปิดตาไว้ ปากก็ปิดด้วยเทปกาว นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ข้อมือของเธอถูกมัดเอาไว้ ร่างของเธอถูกมัดติดกับเก้าอี้ไว้อย่างแน่นหนา ชนิดที่ไม่มีทางดิ้นหลุดได้เลย

 

 

เธอมองไม่เห็นอะไรเลย และไม่อาจรับรู้สภาพแวดล้อมรอบตัวได้เลย อย่าว่าแต่จะรู้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน เธอไม่รู้อะไรสักอย่าง

 

 

ผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง มีเสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามา ฟังจากเสียงแล้ว น่าจะมีไม่น้อยกว่าสามคน เสียงย่ำเท้า “กึกๆ ” ดังแว่วมา เป็นเสียงของคนที่สวมรองเท้าหนัง สุดท้าย เสียงฝีเท้ามาหยุดลงตรงหน้าหลินหว่าน จากนั้นเป็นเสียงลงกลอนประตู

 

 

หลังจากที่หลินหว่านถูกคนนำตัวมาขังในห้องนี้ ก็มุ่งจดจ่ออยู่กับความเคลื่อนไหวรอบข้าง ระหว่างทางเธอเคยคิดว่าคนที่จับตัวเธอมาน่าจะเป็นใครกัน ทำไมจึงต้องจับตัวเธอด้วย

 

 

เธอจำไม่ได้ว่าเธอเคยมีเรื่องกับใคร อย่างนั้นคนที่จับตัวเธอมานี้เป็นไปได้ว่าจะเป็นเพราะคนรอบข้างตัวเธอ จึงได้จับตัวเธอมา

 

 

เป็นเพราะเซียวจิ่งสืองั้นเหรอ ไม่น่าใช่ ระยะนี้มีข่าวเรื่องความสัมพันธ์ของเซียวจิ่งสือกับอันซิงกำลังมาแรง ถ้าหากคนที่จับตัวเธอมามีเป้าหมายคือเซียวจิ่งสือ อย่างนั้นพวกเขาก็น่าจะจับตัวอันซิงจึงจะถูก

 

 

หรือว่าเพราะเฉียวมั่วเฉิน นี่ก็น่าจะเป็นไปได้ เธอรู้ว่าญาติผู้พี่ของเธอคนนี้มีชื่อเสียงในวงการของชาวแก๊งไม่น้อยทีเดียว แต่จะใหญ่ขนาดไหน มีคู่แค้นเป็นใครบ้าง เธอก็ไม่รู้แน่ชัดนัก แต่ว่าเฉียวมั่วเฉินกับเธอไม่ได้เจอกันมานาน ความสัมพันธ์ของพวกเขาน่าจะมีน้อยคนมากที่จะรู้นี่นา คนที่จับตัวเธอรู้ได้ไงว่าเธอเป็นน้องของเฉียวมั่วเฉิน

 

 

ขณะที่หลินหว่านคิดวิเคราะห์เรื่องทั้งหมดอย่างเยือกเย็นนั้น ผ้าปิดตาของเธอก็ถูกดึงออกอย่างแรง

 

 

พอคุ้นกับแสงสว่างแล้ว หลินหว่านก็มองเห็นคนที่มา แต่ว่าภาพตรงหน้ากลับทำให้เธอตกใจจนแทบจะอ้าปากค้างเลยทีเดียว คนที่จับตัวเธอมาเป็นคุณตาของเธอเอง…อันโฮ่วสยง!

 

 

“หว่านหว่าน ทำไม จำฉันที่เป็นตาของแกไม่ได้แล้วหรือไง” ผู้ช่วยที่อยู่ข้างกายอันโฮ่วสยงยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาให้เขา อันโฮ่วสยงนั่งลงห่างจากหลินหว่านหลายก้าว หลังจากมองสำรวจดูหลินหว่านรอบหนึ่งแล้ว เขาก็เอ่ยปากถามเธอ

 

 

หลินหว่านรู้สึกเศร้าใจและเจ็บปวดเหมือนถูกทิ่มแทง ทำไมจะจำไม่ได้ ในโลกนี้คุณตาที่สามารถลักพาตัวหลานสาวตัวเองมาได้ก็คงจะมีแต่อันโฮ่วสยงคนเดียวนี่ละมั้ง

 

 

ตอนหลินหว่านมาที่นี่ ปากของเธอถูกคนปิดเทปไว้ ตอนนี้เธอจึงส่งเสียง “อื้อๆ” เหมือนอยากจะพูดอะไร แต่พูดไม่รู้เรื่อง

 

 

“เอาที่ปิดปากเธอออกซิ” อันโฮ่วสยงเห็นแล้วขมวดคิ้ว ร้องสั่งคนของเขา

 

 

พอเทปกาวที่ปากหลินหว่านถูกดึงออก เธอไม่สนความรู้สึกเจ็บปวดที่เกิดขึ้น พูดกับอันโฮ่วสยงด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คุณตาเหรอ ขอโทษนะ ตั้งแต่แม่ของฉันตายไป ฉันก็ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับคนแซ่อันอีกต่อไป!”

 

 

อันโฮ่วสยงได้ฟังแล้วสีหน้าเย็นเยียบลง ใช้สายตาดูแคลนมองดูหลินหว่าน “ดูท่าว่า แกมันสมกับที่เป็นลูกไม่มีพ่อของแม่แก ไม่มีใครสั่งสอนเลยสักนิด!”

 

 

หึๆ นี่ก็คือญาติที่เกี่ยวพันทางสายเลือดกับเธอสินะ หลินหว่านฟังแล้วรู้สึกอ้างว้างลึกลงไปถึงก้นบึ้งของจิตใจ อันโฮ่วสยงจะรังเกียจเธออย่างไรก็ได้ แต่เธอไม่ยอมให้เขาดูถูกแม่ที่ตายไปแล้วของเธอเด็ดขาด!

 

 

“แต่ว่า วันนี้ฉันมีเรื่องอื่นจะถามแก!” แล้วอันโฮ่วสยงก็นึกได้ถึงเป้าหมายในวันนี้ของเขา จึงพูดขึ้นอีก

 

 

“อันซิงที่เป็นพี่สาวของแกกับเซียวจิ่งสือตอนนี้กำลังจะแต่งงานกัน เซียวจิ่งสือจึงเป็นแฟนของอันซิง ฉันก็อยากจะถามแกหน่อยว่า ทำไมแกต้องแย่งแฟนของพี่สาวตัวเองด้วย!” อันโฮ่วสยงเค้นถามหลินหว่านอย่างขุ่นเคือง

 

 

หลินหว่านได้ฟังก็ยันกลับไปอย่างดื้อรั้นและโกรธแค้น “พี่สาวงั้นเหรอ คุณนี่รู้จักพูดล้อเล่นซะจริงเชียว! ฉันน่ะเป็นคนที่คุณเรียกว่านังลูกไม่มีพ่อไม่ใช่หรือไง แล้วอันซิงจะมาเป็นพี่น้องฉันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน อีกอย่าง อันซิงเองเธอเคยเห็นฉันเป็นน้องบ้างไหม”

 

 

อันโฮ่วสยงมองดูสายตาแข็งกร้าวของหลินหว่านแล้วรู้สึกกรุ่นโกรธขึ้นมา สำหรับเขาแล้ว ตั้งแต่หลินหว่านถูกคลอดออกมา เธอก็เป็นความอัปยศของบ้านตระกูลอันมาตลอด เป็นสายเลือดสกปรกที่ทำให้บ้านตระกูลอันต้องแปดเปื้อน เธอจึงควรที่จะต่ำต้อยด้อยค่า ถูกผู้คนหลงลืม ถูกผู้คนรังเกียจทอดทิ้งจึงจะถูก!

 

 

ส่วนอันซิง ในฐานะที่เธอเป็นคุณหนูใหญ่ของบ้านตระกูลอัน เป็นเจ้าหญิงผู้สูงส่งเลอเลิศของบ้านตระกูลอัน เธอต่างหากที่เขาต้องทะนุถนอมดั่งมุกเม็ดงาม หลานสาวสุดรักสุดถนอมของเขา และเธอยังเป็นผู้สืบทอดกิจการทั้งหมดของบ้านตระกูลอันอีกด้วย!

 

 

พอนึกถึงตรงนี้ อันโฮ่วสยงก็สั่งหลินหว่าน “แกไม่ต้องมาแก้ตัว! สรุปคือ ตอนนี้เซียวจิ่งสือเป็นสามีในอนาคตของอันซิง ต่อไปห้ามแกเข้าใกล้เซียวจิ่งสืออีกแม้แต่ครึ่งก้าว!”

 

 

“ฉันก็ทำงานอยู่ที่บริษัทดีๆ ไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด กลับถูกคุณใส่ร้ายว่าฉันแย่งแฟนของอันซิง ขอถามหน่อยสิ คุณเห็นกับตาเลยหรือไงห๊ะ” หลินหว่านฟังคำพูดของอันโฮ่วสยงแล้ว แค่นหัวเราะออกมา พูดกับอันโฮ่วสยงว่า “แล้วยังมีอีก ถ้าคุณห่วงว่าเซียวจิ่งสือจะถูกคนอื่นแย่งไปจริงๆ คุณก็ไปจับตัวเซียวจิ่งสือมาสิ แล้วบอกคำพูดเหล่านี้กับเขา ไม่งั้นถ้าเซียวจิ่งสือถูกคนอื่นแย่งไป แล้วจะทำอย่างไรล่ะ”

 

 

อันโฮ่วสยงเห็นหลินหว่านเถียงคำไม่ตกฟาก ก็พูดอย่างโกรธจัดว่า “แก…แกยังจะกล้าเถียงอีก! ฉันว่าแกต้องมีแผนการร้าย คิดจะยั่วยวนเซียวจิ่งสือ แย่งสามีในอนาคตของอันซิง! เหมือนกับพ่อของแก คิดอยากจะได้ของที่ไม่ใช่ของตัวเอง หวังสูงเกินฐานะตัวเอง!”

 

 

พอพูดถึงเรื่องในครั้งเก่าก่อน อันโฮ่วสยงก็สงบจิตใจลง พูดต่อว่า “แต่ว่า แกจะไม่ได้สมหวังหรอกนะ! บ้านตระกูลเซียวมีกิจการใหญ่โต พวกเขาจะไม่ยอมให้ผู้หญิงอย่างแกได้แต่งเข้าบ้านตระกูลเซียวหรอก! แกก็ไม่ต้องหวังในตัวเซียวจิ่งสืออีกต่อไป!”

 

 

“ฉันว่า คนที่วาดหวังในตัวเซียวจิ่งสือน่าจะเป็นอันซิงมากกว่ามั้ง ทั้งๆ ที่รู้ว่าเซียวจิ่งสือไม่ได้ชอบเธอ ก็ยังตามพัวพันเซียวจิ่งสืออยู่ทุกวัน ถึงกับใช้อิทธิพลของบ้านตระกูลอันเพื่อจะได้หมั้นหมายกับเขา…” หลินหว่านโต้กลับอย่างไม่ลดละ

 

 

ยังไม่ทันที่หลินหว่านจะพูดจบ อันโฮ่วสยงก็ลุกพรวดขึ้นยืน ตวาดใส่หลินหว่านอย่างโกรธจัดว่า “พอได้แล้ว! ดูท่าว่าแกไม่คิดจะเชื่อฟัง ในเมื่อเป็นอย่างนี้ก็อย่าหาว่าฉันลงมือกับแกล่ะ!”

 

 

พูดจบ อันโฮ่วสยงก็ส่งสัญญาณให้กับชายในชุดดำคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายเขาตลอดเวลา

 

 

ผู้ชายคนนี้รูปร่างล่ำสันแข็งแรง ใบหน้าดุดันเย็นชา ดูเหมือนจะเป็นบอดี้การ์ดข้างตัวของอันโฮ่วสยง พอเขาได้รับสัญญาณจากอันโฮ่วสยง ก็มาที่ตรงหน้าหลินหว่าน จากนั้นลงมือตบหน้าเธอดัง “เพียะ” อย่างไม่พูดพล่ามทำเพลง สีหน้าไร้ความรู้สึก

 

 

หลินหว่านถูกตบฉาดหนึ่งโดยไม่ทันตั้งตัว รู้สึกทั้งน่าเศร้าและน่าขัน เพราะเพื่ออันซิงอันโฮ่วสยงถึงกับใช้วิธีการนี้กับเธอ!

 

 

หลินหว่านสะกดกลั้นความเจ็บปวดแสบร้อนบนใบหน้า เธอหันหน้ามามองอันโฮ่วสยงด้วยสายตาเย็นเยียบ พูดว่า “ท่านประธานกรรมการอัน ฉันกับเซียวจิ่งสือเป็นแค่เจ้านายกับลูกน้องธรรมดาๆ เท่านั้น คุณเอาอะไรมาบอกว่าฉันแย่งแฟนของอันซิง อีกอย่าง แทนที่คุณจะทำแบบนี้ กลับไปช่วยอันซิงเฝ้าสามีในอนาคตของเธอไม่ดีกว่าเรอะ!”

 

 

“ดีมาก หลินหว่าน! ตบไปอีกไม่ต้องหยุด!” อันโฮ่วสยงฟังแล้วยิ่งโมโหหนัก หันไปสั่งกับคนของเขาเสียงเย็นเยียบ