ต้นหอมป่า
ไม่แปลกที่เย่โปจะถูกซูจิ้งหลอกได้ง่ายๆ เนื่องจากเขาไม่คิดว่าจะมีเจ้าเต่าสายพันธุ์นี้ตัวที่สามอยู่ในโลก
หลังจากวางโทรศัพท์ ซูจิ้งได้เข้าอินเตอร์เน็ตเพื่อหาภาพของเต่าที่เย่โปเอ่ยถึง เมื่อเขาลองเอาภาพมาเทียบกันดูแล้วก็พบว่ามันเป็นพันธุ์เดียวกันแต่ตัวที่ซูจิ้งเจอตัวใหญ่กว่ามากประมาณเท่านึงได้ เป็นไปตามที่เย่โปบอกจริงๆ มันคือเต่าหรือจะให้พูดอีกอย่างก็โคตรเต่า
“ถ้าเรื่องที่ว่าเจอแกหลุดออกไปนี่สงสัยโลกนี้คงจะวุ่นวายแหงๆ โดยเฉพาะชาวเวียดนามเพราะพวกเขาคงจะเรียกร้องขอแกสุดชีวิตแน่ๆ” ซูจิ้งได้แต่ทำเสียงฮึฮึออกมาในลำคอ
เจ้าเต่านี่ไม่ใช่แค่ถูกจัดให้อยู่ในหมวดหายากในประเทศเวียดนาม พวกเขายกให้มันเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาไปเรียบร้อยแล้ว ตอนที่เต่าชื่อว่ากุยซูตายไป ตอนนั้นชาวเวียดนามถึงขั้นวิตกจริตไปทั้งประเทศเลยด้วยซ้ำ ถ้าพวกเขารู้ว่ามีตัวที่สามล่ะก็พวกเขาต้องหวั่นไหวอย่างแน่นอน อีกทั้งยังส่งผลให้ประเทศเพื่อนบ้านกับประเทศอื่นๆ ต้องตื่นตัวในเรื่องนี้จนกดดันเขาให้ยกให้แน่นอน เกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้นเขาคงไม่สามารถเลี้ยงมันไว้ได้แน่นอน
“ช่างมันไปก่อนแล้วกัน อย่าเพิ่งไปคิดเรื่องมอบให้ใครเลย ตอนนี้แค่รักษามันให้หายก่อนดีที่สุดแล้ว” ซูจิ้งคิดออกมาแล้วเข้าก็นำเจ้าเต่านี่ไปไหว้ในบ่อน้ำจืดที่ชั้นสาม (ถ้าใครนึกไม่ออกว่ามันคือเต่าอะไรล่ะก็ มันคือตะพาบน้ำขนาดยักษ์มากๆ)
“ดูเหมือนว่าขยะห้วงเวลาฯ คราวนี้จะมีเจ้าเต่านี่เป็นสัตว์ทั่วไปแหะ เหมือนกับกบที่เห็นได้ง่ายๆ บนโลกแต่ไม่เคยเห็นพวกมันในกองขยะห้วงเวลาฯ เลย”
ซูจิ้งนึกแล้วก็ได้ทำการคุ้ยขยะต่อไป
หลังจากคุ้ยไปได้พักนึงเขาก็ได้ดึงหญ้าออกมาต้นหนึ่ง มันถูกฝังเอาไว้บนกองขยะกองหนึ่งแต่มันยังมีชีวิตอยู่ พอประเมินลักษณะของมันแล้วมันน่าจะโตจากกองขยะกองนี้เลย
หญ้าต้นนี้มันดูเหมือนต้นหอมป่าในโลกนี้ และมันก็ดูไม่มีอะไรพิเศษ แต่เขายังจำประสบการณ์ตอนที่ขุดอำพันมังกร (หญ้ามังกร)ออกมาตอนนั้นได้ดี นั่นทำให้ซูจิ้งไม่อาจจะเมินพวกมันได้
เจ้าก้อนหญ้าพวกนั้นยังเป็นอำพันมังกรได้ แล้วทำไมเจ้าต้นหอมป่าพวกนี้จะเป็นสมบัติบ้างไม่ได้ล่ะ
ซูจิ้งขุดมันออกมาได้ทั้งหมดสามต้น เขานำสองต้นไปปลูกลงในดินจอมเขมือบชุดใหม่ที่เขาได้เตรียมเอาไว้ ด้วยคุณสมบัติของดินจอมเชมือบนั้นถ้าแบ่งมันออกมาจากกองใหญ่แล้วไม่มีอะไรให้มันกินหรือมีอะไรอยู่กับมัน ธาตุอาหารในดินจะค่อยๆเสื่อมลง ดินที่เขาแยกออกมานั้นเป็นดินที่ผ่านการใส่อาหารให้มันไปจำนวนมหาศาล ไม่ว่าจะ เป็นปลาเขี้ยวหยก และเศษของพืชชนิดต่างๆ เหตุที่เขาต้องแยกดินออกมานั้นก็เพราะเขาไม่รู้ว่า พืชที่ใส่ไปจะส่งผลอะไรกับดินบ้าง และเป็นการลดขอบเขตการขยายตัวของดินจอมเขมือบ ซึ่งเขาเองยังหาวิธีกักเจ้าดินนี่อย่างมีประสิทธิภาพไม่ได้อยู่ดี
ส่วนต้นหอมป่าอีกต้นนั้นซูจิ้งได้ลองให้หนูสองตัว แต่มันแค่ดมและไม่ยอมกิน เขาจนปัญญาเลยจัดการทำให้มันเชื่อง แล้วบังคับให้มันกิน นอกจากนั้นเขายังลองให้ปลาจำนวนหนึ่งกินด้วย
ซูจิ้งได้ทำการจัดการขยะของเขาต่อเพื่อเป็นการฆ่าเวลา แต่เขาก็รอมากว่าสามชั่วโมงแล้ว ทั้งปลาและหนูก็ยังไม่แสดงอะไรออกมาเป็นพิเศษ ซูจิ้งจึงอดไม่ได้ที่จะคิดว่า “หรือว่าจะเหมือนกับอำพันมังกรที่ต้องใช้กับสัตว์บางชนิดถึงจะเห็นผล”
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขายังไม่รู้ผลที่ได้จากการกินต้นหอมป่า
แต่อย่างน้อยเขาก็รู้แล้วว่าหอมต้นนี้พอจะกินได้ ไม่น่าจะมีพิษหรือเป็นอันตรายใดๆ เนื่องจากพวกหนูและปลาไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา เขานั้นได้ลองให้หอมป่านี้แก่บรรดาสัตว์เลี้ยง แต่ด้วยจำนวนที่น้อย ทำให้เขาไม่สามารถลองกับสัตว์เลี้ยงของเขาทั้งหมดได้ ต่อให้ใช้ทั้งสามต้นก็น่าจะยังไม่พอ เขานั้นได้ลองนำเอาส่วนที่เหลือไปใส่กระถางพร้อมปุ๋ยสูตรพิเศษ แล้ววางไว้ในสวนเพื่อลองดูว่าจะมีสัตว์ตัวไหนสนใจหอมป่าต้นนี้บ้าง เขานั้นได้สั่งให้เหล่าสัตว์เลี้ยงคอยสังเกตุการณ์และเฝ้าระวังไว้ ตอนแรกก็เหมือนจะมีม้าผอมๆตัวหนึ่งเข้ามาใกล้ แต่ก็เท่านั้นมันไม่สนใจเท่าไหร่ หลังจากนั้นก็ไม่มีสัตว์ตัวไหนมาสนใจหอมป่าต้นนี้เลย แม้เวลาจะผ่านไปถึงตอนเที่ยงแล้วก็ตาม แม้แต่พวกสัตว์กินพืชอย่างกระต่าย กระรอก หนูชิลชิล่า นกยูง ก็ยังเมินมันอย่างไม่ไยดี
“เอ…. หรือว่าฉันคิดมากไปนะ เจ้าต้นนี้ก็น่าจะเป็นหอมป่าแน่ๆ ท่าทางจะไม่มีผลพิเศษอะไรเลยด้วย” ที่พูดออกมาอย่างนี้ก็เพราะซูจิ้งเองก็เริ่มจะถอดใจแล้ว แต่ก็นะหลงจู๊ยังดูทองพลาดกันได้เลย เพราะฉะนั้นเขาจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆแน่นอน
“หลิวฉิงมาล่ะ”
“เจ้าเด็กน้อยหลิวฉิงมาล่ะเอ้อ”
ณ ตอนนั้น มีนกแก้วตัวใหญ่และตัวเล็กบินวนบนหัวซูจิ้งพร้อมพูดออกมาเสียงดังลั่น เห็นดังนั้นซูจิ้งจึงเดินไปที่ประตูและเปิดมันออก เขาเห็นรถออดี้คันหนึ่งจอดที่ประตู เป็นหลิวฉิงที่เดินออกมาจากรถพร้อมถุงของฝากสองถุง ซูจิ้งเห็นจึงถามออกไปด้วยรอยยิ้มว่า “เอาของฝากมาให้หรอ”
“ใช่ครับ ผมควารจะเอาอะไรมาฝากบ้างนี่ ถึงผมจะตอบแทนที่พี่ช่วยชีวิตผมไว้ไม่ได้ แต่ก็ขอทำเรื่องเล็กๆน้อยๆพวกนี้ตอบแทนแทนละกัน” เขานั้นดูนอบน้อมต่อซูจิ้งอย่างเสมอต้นเสมอปลายทุกครั้งที่ซูจิ้งเห็น โดยเฉพาะหลังจากที่ซูจิ้งช่วยปู่ของเขาไว้เพราะเขารู้ดีว่าถ้าไม่ได้ซูจิ้งปู่ของเขาไม่รอดแน่ๆ
“ก็ได้ก็ได้ แต่ฉันก็ยังยืนยันคำเดิมนะว่า เรื่องที่ช่วยนายมันไม่ได้ทำให้ฉันลำบากหรอก” ซูจิ้งยกมือเชิงอนุญาตแบบจำยอม
“สำหรับพี่น่ะไม่เท่าไหร่ แต่สำหรับมันคือการช่วยชีวิตผมไว้เลยนี่นา ต่อให้ผมเป็นคนดีแค่ไหนแต่ถ้าผมคนเดียวก็คง…” พอเขานึกถึงเรื่องที่ซูจิ้งช่วยเขาทีไร เขานั้นรู้สึกดีใจทุกครั้งที่เขาได้รู้จักซูจิ้งจนแทบจะร้องไห้ออกมา
“เอาน่าเอาน่า พอแล้วน่า” ซูจิ้งนั้นพอเห็นท่าทีของหลิวฉิงก็รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาทุกครั้ง ทันใดนั้นเขาก็หันไปมองต้นหอมป่าที่เขาอามาไว้ในสวน พร้อมคิดอะไรบางอย่าง เขาหันไปถามหยั่งเชิงหลิวฉิงว่า “ต่อให้เป็นวัวเป็นม้าก็อยากจะตอบแทนฉันใช่รึเปล่า”
“แน่นอนครับ” หลิวฉิงทุบอกตัวเองอย่างแข็งขัน
“ถ้าอย่างนั้นนนนนนนนน……. พอดีฉันได้ต้นหอมป่าพันธุ์ใหม่มาน่ะ สนใจจะลองซักหน่อยป่ะ” ซูจิ้งพูดกับหลิวฉิงด้วยหน้าตาพร้อมท่าทางแบบคาดหวังคำตอบว่า ยอมกินจากหลิวฉิงจนตาเป็นประกาย ทันใดนั้นเมื่อหลิวฉิงได้ยินเขานั้นหน้าเริ่มเปลี่ยนสีและค่อยๆกระเถิบ เดินถอยหลังอย่างช้าๆๆๆๆๆๆ
“เอ่อออ ลูกพี่ครับ ผมว่าเรามาพูดกันเรื่องยอมเป็นม้าเป็นวัวเมื่อกี้กันใหม่ดีกว่านะครับ ผมหมายถึงผมจะพยายามทำงานหนักจนเหมือนม้ากับวัว แต่ไม่ใช่เป็นม้ากับวัวจริงๆ ผมไม่อยากจะกินหญ้าหรอกนะ มะละกอที่ลูกพี่ให้ผมกินครั้งก่อนนี่ก็ทำให้ผมเจ็บหนักไม่น้อยเลย ผมไม่อยากลองของใหม่อีกแล้วอ่ะ” หลิวฉิงเองคิดในทันทีเลยว่ายอมเป็นเบ้ลูกไล่หมาน้อยที่ซื่อสัตย์ ยังดีกว่าลองกินของใหม่ของซูจิ้ง เจ้ามะละกอที่เขากินไปครั้งก่อน ทำให้ร่างกายของเขาเจ็บปวดรวดร้าวจนฝังลากลึกไปในจิตใจเรียบร้อยแล้ว เขานั้นรู้ดีว่าอาหารฝึมือซูจิ้งนั้นเจ๋งที่สุดในโลกหล้า แต่ถ้าพูดถึงของใหม่ที่ซูจิ้งไปเจอแล้วก็ จะให้ลองกินนี่บอกได้เลยว่านรกบนดินชัดๆ เท่าที่เขาพอจะจำความได้ตอนที่เขากินเจ้ามะละกอนั่น เขารู้สึกว่าตัวเองแทบจะกลายร่างเป็นปีศาจเดินดินไปเลย ใครจะรู้ว่าคราวนี้จะเจอกับอะไรอีก
“ก็เหมือนๆกันแหล่ะน่า จะแค่ทำงานให้เหมือนวัวเหมือนม้า หรือจะกินหญ้าเหมือนวัวเหมือนม้า” ซูจิ้งหยิบกระถางที่ปลูกหอมป่าค่อยๆเดินเข้าไปหาหลิวฉิง
“ให้ผมพักหน่อยเถอะนะครับพี่ จะให้ผมทำอะไรก็ได้นะ แต่เรื่องนี้มัน…” หลิวฉิงนั้นตอนนี้กลัวจนถอยกรูดดดด ออกไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งหลังของเขาไปชนกับกำแพง แต่พอเห็นซูจิ้งกำลังเดินเขามาพร้อมกระถางอย่างช้าๆๆๆ เขานั้นเข่าอ่อนจนทรุดตัวลงกับพื้น พอตั้งสติได้เขานั้นรีบพลิกตัวแล้ววิ่งออกไปจากที่นั่นทันที ถึงมันจะเป็นแค่พืชต้นเล็กๆ แต่หลิวฉิงมองเห็นมันเป็นภูติผีปีศาจไปเรียบร้อยแล้ว