บทที่ 59 รนหาที่ตาย โดย Ink Stone_Romance

หลังจากข้ามมิติมา อวี๋หวั่นก็ไม่เคยเจอจ้าวเหิง ในสมองก็ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเขาหลงเหลืออยู่เลย ตามหลักแล้ว เธอก็ควรจะไม่รู้จักเขา แต่วินาทีที่เห็นเขา เธอก็สามารถเชื่อมโยงเขาเข้ากับซิ่วไฉสกุลจ้าวได้อย่างมหัศจรรย์

ความรู้สึกคลุมเครือแผ่ซ่านไปทั่วทั้งใจของเธอ เธอพลันรู้สึกอยากเดินเข้าไปตบหน้าเขาสักฉาด

อวี๋หวั่นรู้ดีว่าความรู้สึกเช่นนี้ไม่ใช่ความรู้สึกของเธอ คงจะเป็นความรู้สึกเคืองแค้นที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้

สรุปแล้ว ผู้ชายคนนี้…ทำอะไรกับเจ้าของร่างเดิมเอาไว้กัน

เมื่อสองพี่น้องรู้ว่าเป็นจ้าวเหิง จ้าวเหิงเห็นพวกเขา ความประหลาดใจผุดขึ้นในแววตา แต่ก็ไม่ได้ประหลาดใจถึงเพียงนั้น

ดูแล้ว เขาคงได้ยินจากคนรอบข้างมาบ้าง ว่าสกุลอวี๋ทั้งสองบ้านกลับมาคืนดีกันแล้ว เพียงแต่ได้ยินมาก็เป็นเรื่องหนึ่ง ได้เห็นกับตาตนเองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เขาตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง ทำให้เสียโอกาสชิงเอ่ยปากพูดก่อน

อวี๋เฟิงเอ่ยถามอย่างเย็นชา “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

อวี๋เฟิงไม่ชอบขี้หน้าจ้าวเหิง เหตุผลส่วนหนึ่งไม่ใช่เพราะอวี๋หวั่น เขาอายุเท่ากับจ้าวเหิง จึงยากที่จะหลีกเลี่ยงการถูกเปรียบเทียบ จ้าวเหิงเรียนหนังสือเก่ง แต่เขากลับขาจมดินโคลนทำงานอยู่ในท้องนา คนในหมู่บ้านมักพูดกันว่า ทั้งครอบครัวของพวกเขาฝากความหวังไว้ที่จ้าวเหิง พี่ใหญ่ไม่เรียนหนังสือไม่เป็นไร จ้าวเหิงเรียนหนังสือก็เพียงพอแล้ว ภายภาคหน้า จ้าวเหิงจะทำให้คนสกุลอวี๋มีชีวิตที่ดีขึ้นได้

จ้าวเหิงผิวเนียนเนื้อนุ่มนิ่ม บ่ามิอาจแบกหาม มือมิอาจจับยกสิ่งใด เขาจะสามารถหวังพึ่งพาซิ่วไฉที่ลักษณะคล้ายสตรีแต่เพียงผู้เดียวได้อย่างไร?!

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่นางจ้าวไปเสี้ยมสอนอาหวั่น ทำให้อาหวั่นแตกคอกับบ้านเดิมจนต้องแยกบ้านออกมา เขาเป็นลูกแท้ๆ ของนางจ้าว อวี๋เฟิงไม่เชื่อว่าเขาจะไม่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้ พูดง่ายๆ ก็คือ เขาเองก็คงมีความสุขกับเรื่องนี้ด้วยกระมัง

อย่างไรเสียเมื่อสองปีก่อน น้องสาวของเขาก็มีสินทรัพย์เป็นกอบเป็นกำ

ทว่าเมื่อเงินทองเหล่านี้ถูกผลาญจนหมด สิ่งที่น้องสาวของเขาได้รับคืออะไร?

น้องสาวของเขาตกน้ำได้อย่างไรยังไม่ได้พูดถึง แต่น้องสาวของเขาหมดสติไปกี่วัน ว่าที่สามีผู้นี้ไม่เคยเหยียบเข้าประตูบ้านไปดูด้วยซ้ำ!

เมื่อก่อน จ้าวเหิงและอวี๋หวั่นญาติดีต่อกัน อวี๋เฟิงเป็นเพียงคนนอก ทว่าบัดนี้สองพี่น้องดีกันแล้ว จ้าวเหิงจึงถูกกีดกันออกไป มิหนำซ้ำยังถูกอวี๋เฟิงถามโดยปราศจากความเกรงใจเช่นนี้ สีหน้าของจ้าวเหิงพลันเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

“ข้ามาหาอาหวั่น”

น้ำเสียงของเขาฟังดูเปี่ยมไปด้วยความสามารถในการควบคุมตนเอง

เขามองไปยังอวี๋หวั่นซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง หรี่ตาเล็กน้อย อวี๋หวั่นก็ยังเป็นคนเดิม เพียงแต่ให้ความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยเหลือเกิน

อวี๋เฟิงก้าวขึ้นมาด้านหน้า เพื่อบดบังสายตาของเขา “ดึกเพียงนี้ เจ้ามาหาน้องสาวข้าทำไม”

คำว่า ‘น้องสาว’ นี้ทำให้คิ้วของจ้าวเหิงถึงกับขมวดเข้าหากัน “เรื่องนี้เป็นเรื่องของข้ากับอาหวั่น ข้าว่าเจ้าหลบไปจะดีกว่า”

“มีอะไรก็รีบพูด มีลมในท้องก็รีบตดออกมา อย่ามาพูดพร่ำทำเพลง!” อวี๋เฟิงกล่าวอย่างไม่เกรงใจ

“เจ้า…” จ้าวเหิงใบหน้าแดงก่ำ

อวี๋หวั่นจึงเดินมาด้านหน้า แล้วกล่าวเสียงค่อยกับอวี๋หวั่นว่า “เอาละ ดึกมากแล้ว ลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่ต้องรอท่านจนเป็นกังวลแน่ พี่ใหญ่รีบกลับไปก่อนเถอะ เขาพูดอะไร ข้าจะบอกพี่ใหญ่ทั้งหมด”

จ้าวเหิงมองอวี๋หวั่นอย่างแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง!

สีหน้าของอวี๋เฟิงดีขึ้นเล็กน้อย แน่นอนว่าเขาไม่ได้เดินไปไกลจากอวี๋หวั่นเท่าไรนัก แต่กลับไปยืนอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ กระนั้นก็ยังอยู่ในที่ที่สามารถมองเห็นเงาของทั้งคู่

ถ้าหากคนผู้นั้นเกิดล่วงเกินอวี๋หวั่นขึ้นมา เขาจะได้เข้าไปสั่งสอนสักครา!

“พูดได้แล้วใช่ไหม?” อวี๋หวั่นกล่าวเสียงราบเรียบ

จ้าวเหิงรู้สึกตะลึงงันกับความหมางเมินของอวี๋หวั่น

ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดจึงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยจากอวี๋หวั่น หากเป็นเมื่อก่อน ทันทีที่เขาปรากฏตัว ดวงตาของอวี๋หวั่นก็จะจับจ้องมองมายังเขา ทว่าวันนี้เขามายืนอยู่ตรงหน้าตั้งนาน นางกลับมิได้ยี่หระเลยแม้แต่น้อย!

“ถ้าเจ้ามาหาข้ากลางดึก เพียงเพื่อจะมายืนอึ้งแบบนี้ ขออภัยที่ข้าอยู่เป็นเพื่อนไม่ได้” พูดจบ ก็หันหน้าหมายจะเดินเข้าบ้าน

จ้าวเหิงสูดหายใจเข้า แล้วเรียกนางเอาไว้ “เรื่องนั้นจริงหรือไม่?”

“เรื่องอะไร” อวี๋หวั่นถาม

จ้าวเหิงหายใจเข้าลึกๆ “ก็เรื่องที่เจ้าทำกับแม่ข้า…แล้วก็ครอบครัวข้า”

ความประหลาดใจพาดผ่านใบหน้าของอวี๋หวั่น “เรื่องนั้นน่ะหรือ…ใช่ เป็นเรื่องจริง”

จ้าวเหิงไม่ได้คาดคิดว่าอวี๋หวั่นจะยอมรับอย่างง่ายดายเช่นนี้ เขาไม่อาจข่มเสียงที่ดังของตนเองไว้ได้ “เจ้า…เจ้าไม่คิดจะไม่ถามเลยหรือว่าเรื่องใดบ้าง?!”

อวี๋หวั่นมองเขาด้วยด้วยสายตาประหลาด “เรื่องที่ข้าทำ ข้าจะไม่รู้เชียวหรือ? จะต้องถามเจ้าทำไม? เจ้าโง่หรือเปล่า? อีกอย่าง เสียงเบาๆ หน่อย เดี๋ยวแม่ข้าตื่น”

จ้าวเหิงชะงักไป เขาเรียนหนังสือมาหลายปี ช่ำชองการดวลฝีปากเป็นที่สุด บัดนี้กลับถูกคำพูดของอวี๋หวั่นเพียงประโยคเดียวตอกจนหน้าหงาย

เขาอยากพูดว่า หากมีเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เจ้าไม่ได้ทำเล่า? ทว่าดวงตาของอวี๋หวั่นที่มองมาดูประหนึ่งกำลังจ้องมองคนโง่งม ทำให้เขาจำต้องกลืนคำพูดเหล่านี้กลับลงคอไป และเปลี่ยนคำถาม “ไฉนเจ้าจึงทำเช่นนั้น? เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านแม่ข้าอายุมากแล้ว กระดูกกระเดี้ยวไม่ดี เจ้ากับแม่เจ้ารังแกนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเจ้าเคยคิดบ้างไหมว่า…”

“ไม่เคยคิด” อวี๋หวั่นตัดบทด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

อวี๋เฟิงชะงักไปอีกครั้ง เริ่มระงับโทสะไว้ไม่อยู่ “เจ้าไม่ต้องไปแก้แค้นท่านแม่ข้า เพียงเพราะข้าไม่แต่งงานกับเจ้า ท่านแม่ข้าไม่รู้เรื่องด้วย เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเพราะเจ้า หากเจ้าไม่ไปอยู่ในหอคณิกา ข้าจะอยากถอนหมั้นเจ้าหรือ?”

……

“ท่านแม่! ท่านแม่!”

จ้าวเป่าเม่ยวิ่งหัวหกก้นขวิดเข้ามาในบ้าน

หลังจากที่นางจ้าวถูกนางเจียงตบตี ก็ไม่ออกจากบ้านอีกเลย นางรู้สึกเบื่อจะแย่อยู่แล้ว

บังเอิญว่าบุตรชายกลับมาพอดี นางจึงใส่สีตีไข่ในถึงความทุกข์ทรมานของตน จึงพอรับได้มากกว่าเดิมสักหน่อย

“ทำไมกลับมาเร็วเช่นนี้ ถูกเห็นเข้าแล้วหรืออย่างไร?” นางจ้าวเป็นห่วงว่าบุตรชายจะจัดการกับนางเด็กสารเลวนั่นไม่ได้ จึงให้บุตรสาวไปจับตาดู

จ้าวเป่าเม่ยแค่นเสียงขึ้นจมูก “ข้าซ่อนตัวดีถึงเพียงนี้ ใครจะมาเห็น!”

นางจ้าวกอบเมล็ดแตงโมขึ้นมาหนึ่งกำ แล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้ากลับมาทำไม พี่ชายเจ้าเล่า? จัดการนางเด็กสารเลวนั่นเรียบร้อยแล้วรึ?”

จ้าวเป่าเม่ยพึมพำ “พี่ชายข้าจะไปจัดการกับนางสารเลวนั่นได้อย่างไรเล่า? เขามีดีแต่ปาก หากให้เขาไปชกต่อยละก็ไม่ไหวหรอก!”

นางเจียงถลึงตาใส่ลูกสาว

จ้าวเป่าเม่ยแลบลิ้น นางเดินไปหยิบเมล็ดแตงโมจากมือของนางจ้าว แต่กลับถูกนางจ้าวปัดออก

จ้าวเป่าเม่ยรู้สึกว่าน่าเบื่อ แต่ก็ไม่กล้ามีโทสะ นางจับแขนของนางจ้าว แล้วพูดอย่างประจบประแจงว่า “ท่านแม่ ท่านเดาไม่ออกเป็นแน่ว่าเมื่อครู่ข้าได้ยินอะไรมา…”

……

วันต่อมา ฟ้ายังไม่สาง นางจ้าวก็ตื่นแล้ว

นางจ้าวถูกนางเจียงและอวี๋หวั่นรังแก ทั้งยังต้องชดใช้ด้วยหมูหนึ่งตัว ผูกใจเจ็บกับสองแม่ลูกมาตั้งแต่แรก เพียงแต่น่าเสียดายที่บุตรชายไม่อยู่ นางจึงไม่มีคนหนุนหลัง ไม่กล้าตอบโต้เท่าไรนัก บัดนี้ นางมีวิธีจัดการเด็กนั่นแล้ว ทนทุกข์ทรมานมานาน นางจะได้สั่งสอนเด็กสารเลวนั่นเสียที!

ครานี้ไม่ต้องให้ลูกชายออกหน้า นางจะฉีกนางสารเลวนั่นเป็นชิ้นๆ ด้วยตนเอง!

เมื่อคืนนางคิดดีแล้ว นางจะป่าวประกาศเรื่องที่นางเด็กชั่วเคยไปอยู่ในหอคณิกา นางอยากให้คนทั้งหมู่บ้านได้เห็น ว่านางชั่วผู้นั้นล่อลวงลูกชายของนางอย่างไร้ยางอายเช่นไร!

ใช้เงินที่ได้จากการขายตัวมาประจบประแจงนางกับลูกชาย ทำได้อย่างไรกัน!

คนทั้งหมู่บ้านโดนนางเด็กนี่หลอกแล้ว!

นางหายตัวไปหนึ่งปีเต็มๆ และไปอยู่ในหอคณิกามาหนึ่งปีเต็มๆ นานถึงเพียงนี้…ไม่แน่อาจอาจติดโรคมาแล้วก็ได้!

ถ้าจำไม่ผิด หากเสียบริสุทธิ์ก่อนแต่งงาน จะต้องถูกจับใส่กรงหมูถ่วงน้ำ

หากมิได้ถูกจับใส่กรงหมู ก็คงจะถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านเหลียนฮวา

“เด็กเวร ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะเอาตัวรอดอย่างไร!”

นางจ้าวหัวเราะด้วยความพึงพอใจ แล้วเดินไปยังบ่อน้ำเก่าหน้าหมู่บ้าน

ที่บ่อน้ำเก่ามีระฆังหนึ่งใบ เมื่อเกิดเรื่องใหญ่ในหมู่บ้าน จึงจะตีระฆังได้

วันนี้นางจ้าวจะตีระฆัง

ทว่า นางยังไม่ทันได้ตีระฆัง ก็เห็นว่าบนบ่อน้ำมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่

เช้าถึงเพียงนี้ ใครกัน?

นางจ้าวเดินไปข้างหน้าด้วยความสงสัย แล้วเพ่งพินิจดู “นางเจียง?!”

นางเจียงนั่งจับพู่ด้ายอยู่บนบ่อน้ำ นางเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ไม่เจอกันนานเลยนะ ท่านพี่จ้าว…”

………………………………..