บทที่ 728 การดำเนินการถูกขัดขวาง

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 726 การดำเนินการถูกขัดขวาง

หนานกงเย่ขี่หลังเสือแล้วลงยาก เขาจึงต้องยอมรับปากทั้งสองเรื่องของเจ้าของเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และส่งคนไปหาเฉินอวิ๋นเจี๋ย

ฉีเฟยอวิ๋นสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี นางออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้า ซักถามตามที่ต่างๆ ในเมืองหลวงและหาช่างฝีมือมาสามพันคน ก่อสร้างตามแบบที่นางบอกไม่หยุดทั้งวันทั้งคืน นอกจากนี้ยังส่งคนจากเมืองถงกวนเข้ามาในเมืองหนึ่งร้อยคน ทั้งนี้ยังเขียนแบบให้พวกช่างไม้ด้วยตัวเอง ให้ช่างไม้ทำเตียงและสิ่งอำนวยความสะดวกในการรักษาพยาบาล

เรื่องที่ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มโครงการก่อสร้างครั้งใหญ่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว เศรษฐีที่ดินและหมอบางคนในเมืองหลวงที่ได้ยินข่าวเริ่มไม่พอใจ

พวกเศรษฐีเจ้าของที่ทยอยกันร้องเรียน บอกว่าฉีเฟยอวิ๋นเป็นคนรวยและทำให้ชาวบ้านบางคนไม่ทำงานให้พวกเขา แต่กลับไปทำงานให้ฉีเฟยอวิ๋น โดยบอกว่าฉีเฟยอวิ๋นกำลังอุดหนุนการงานเพื่อกดราคา เดิมทีพวกเศรษฐีเจ้าของที่ก็ทำการค้ายากอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งยากลำบากมากขึ้นไปอีก ถ้าให้ราคาสูงพวกเขาก็จะขาดทุนแทนที่จะได้กำไร ถ้าให้ราคาต่ำก็ไม่มีใครมาทำงานด้วย พวกเขาจะทำเองก็ไม่ได้

เมื่อก่อนมีคนจำนวนมาก อยากใช้เท่าใดก็ใช้ได้ตามต้องการ แต่เวลานี้คนกลับขาดตลาด

พระชายาเย่ต้องการใช้คนในการก่อสร้าง นางต้องใช้คนในการบุกเบิกที่รกร้างบนภูเขา ด้วยเหตุนี้ทุกที่จึงต้องการคนและแทบจะใช้คนหมดทั้งเมืองหลวง ดังนั้นจึงไม่มีใครว่าง

เวลานี้พวกหมอทนไม่ไหวอีกต่อไป การที่พระชายาเย่ทำเช่นนี้เห็นได้ชัดว่านางต้องการจะทำการผูกขาด ถึงตอนนั้นยังจะมีที่เหลือให้พวกเขาอีกหรือ พวกเขาจะทำอย่างไรได้

สองวันนี้ที่ประตูที่ทำการปกครองเมืองมีคนแน่นขนัด และทั้งหมดเป็นเรื่องของการร้องเรียน

หนานกงเย่สกัดเรื่องนี้ไว้เมื่อสองวันก่อน แต่วันนี้มีคนกลุ่มหนึ่งมาอยู่ที่หน้าประตูที่ว่าการข้าหลวงประจำเมืองหลวง เมื่อเห็นหนานกงเย่พวกเขาก็คุกเข่าลง ร้องห่มร้องไห้ว่าพวกเขาไม่มีทางรอด

หนานกงเย่ไพล่มือไว้ด้านหลัง “ตอนนี้พวกเจ้าไม่หาเงินแล้วหรือ เหตุใดจึงไม่มีทางรอด”

“เวลานี้ยังทำเงินได้อยู่ แต่ในอนาคตเล่า” ผู้เป็นหมอถามอย่างไม่เต็มใจ

แววตาที่เย็นชาของหนานกงเย่ดูเหมือนกริชที่จ่ออยู่กับตัวผู้พูด กลิ่นอายที่เย็นเยียบหนาวเหน็บทำให้ผู้คนที่อยู่รอบๆ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

อ๋องเย่เป็นคนที่จิตใจโหดเหี้ยมมาแต่ไหนแต่ไร ถ้าพวกเขาไม่ได้รวมตัวมาที่นี่เป็นกลุ่ม ใครจะกล้าฟ้องร้องอย่างไม่เกรงใจ ทั้งยังฟ้องร้องเรื่องของพระชายาเย่ด้วย

“หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของพวกเจ้า หรือว่าข้าจะต้องคอยดูแลพวกเจ้าไปตลอดชีวิต”

“ท่านอ๋องเย่ แต่พระชายาเย่ร่ำรวยมาก ขอทานไปกันหมดเลย”

“ขอทานไปแล้วไม่ใช่ว่าเป็นการลดปัญหาของพวกเจ้ารึ ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าจะต้องหลบพวกขอทาน พวกที่อดตายก็จะน้อยลงด้วย”

หนานกงเย่เหลือบมองผู้คนที่อยู่รอบๆ “ข้าไม่เข้าใจ พวกเจ้าก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความเป็นไปของโลก พวกเจ้าทั้งหมดยังมีคู่ต่อสู้ จะไม่ให้พระชายาทำการค้าเพราะพวกเจ้าน่ะหรือ

สมมุติถ้านางไม่ใช่พระชายาของข้า นางจะทำการค้า ข้าจะไปทำอะไรนางได้

พวกเจ้าทั้งหมดจงปฏิบัติต่อนางเหมือนคนอื่น ไปที่อื่นเสียเถอะ วันนี้ข้ายังต้องออกจากเมืองอีก ไม่รู้ว่าที่นั่นยังมีใครมีชีวิตอยู่หรือไม่”

หนานกงเย่กลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก คนเจ้าเล่ห์คือคนที่โง่เขลาเบาปัญญาที่สุด

ถ้าทุกๆ คนเป็นแบบนี้ ที่นี่จะมีอะไรที่พัฒนาบ้าง

อวิ๋นอวิ๋นพูดถูก เขาทำให้ทุกคนนิสัยเสีย!

หนานกงเย่ออกไปนอกเมือง มีคนเปิดร้านน้ำชาอยู่ที่นั่น อากาศอุ่นขึ้นแล้วและมีคนมาดื่มชาจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นคนที่ผ่านทาง จะออกนอกเมืองต้องดื่มชา จะเข้าเมืองก็ต้องดื่มชา ร้านน้ำชาที่นอกเมืองจึงกลายเป็นที่แวะพักไปแล้ว

และเรื่องที่มีคนตายที่ร้านน้ำชาก็เป็นเรื่องร้ายแรงที่ละเลยไม่ได้ ซึ่งนั่นย่อมดึงดูดความสนใจโดยธรรมชาติ

เพียงแต่ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลังจากตรวจสอบจึงยืนยันได้ว่าเป็นการวางยาพิษจนตาย แต่เป็นยาพิษอะไรและเหตุใดจึงถูกวางยาพิษนั้นไม่มีใครรู้ ดังนั้นจึงต้องตรวจสอบ

วันนี้หนานกงเย่ออกจากราชสำนักเร็วและจะตรงออกไปนอกเมืองทันที ทว่าถูกขวางไว้

ทันทีที่เขาเอ่ยปาก คนเหล่านั้นก็ไม่กล้าขัดขวางและต่างก็หลบเลี่ยง

หนานกงเย่ไปสอบสวนคดีนี้และคนเหล่านั้นจึงไปยังสถานที่ก่อสร้างในเมือง เกิดเรื่องวิวาทขึ้นรอบๆ บริเวณที่สร้างสถานพยาบาล ทั้งยังทำให้มีคนบาดเจ็บด้วย

ฉีเฟยอวิ๋นบังเอิญผ่านไปพอดีและเห็นว่ามีคนได้รับบาดเจ็บ นางรีบรักษาผู้บาดเจ็บและนำคนผู้นั้นลงไป จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงกวาดสายตามองผู้คนที่อยู่รอบๆ

“ใครเป็นหัวหน้าขอให้ออกมา อยากเจอข้ามิใช่หรือ? เช่นนั้นก็ออกมาพูด อย่าหลบซ่อนคอยวางแผนอยู่หลังผู้อื่น เรื่องในวันนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับชีวิตคน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตคน ข้ากับพวกเจ้าไม่จบกันแน่”

ผู้คนที่อยู่ข้างล่างต่างเกรงกลัวและไม่มีใครกล้าพูด ฉีเฟยอวิ๋นไม่ปล่อยไปแค่นี้และมองลงไปด้วยสายตาที่เยียบเย็น นางกล่าวว่า “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ เรื่องนี้มีพวกจงชินคอยยุยงอยู่เบื้องหลัง เดิมทีข้าคิดจะเข้าวังไปคุยดีๆ ดูว่าจะยกโทษให้พวกเจ้าได้หรือไม่ แต่วันนี้เมื่อข้ามาตรวจสอบกลับพบว่าคนของจงชินยิ่งเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ คิดไม่ถึงว่าจะมาขัดขาผู้อื่นลับหลัง

วันนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง หากเจ้าออกมาข้าจะหารือเรื่องนี้ดีๆ หากเจ้าไม่ออกมา อย่าได้ตำหนิว่าข้าไม่ไว้หน้า จับได้แล้วจะทุบตีให้ถึงตาย”

เกิดความโกลาหลในฝูงชน แต่ไม่นานก็มีคนตะโกนว่า “พระชายาใช้อำนาจข่มขู่ผู้อื่น พระชายาใช้อำนาจข่มขู่ผู้อื่น ไม่ให้ทางรอดแก่พวกเรา”

เมื่อคนหนึ่งตะโกน ทุกคนจึงตะโกน ทว่าฉีเฟยอวิ๋นมองผู้คนที่อยู่ด้านล่างและยิ้มเย็น นางหยิบปึกตั๋วเงินออกมาจากหน้าอกและชูขึ้น “ใครตะโกนขึ้นมาเป็นคนแรก ใครหาคนผู้นั้นให้ได้ ตั๋วเงินทั้งหมดนี้จะยกให้เขา”

ทุกคนเริ่มกระสับกระส่าย เงินอยู่ตรงหน้า แม้แต่บรรพบุรุษก็ไม่รอด

เจ้ามองข้าข้ามองเจ้า ในที่สุดทุกคนก็หลีกทาง ตรงกลางมีคนท่าทางเหมือนโจรคนหนึ่งยืนอยู่ เขาสวมชุดสีเทาทั้งตัวและสวมหมวกไว้บนหัว

ฉีเฟยอวิ๋นเห็นแวบเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี ซึ่งที่จริงนางจ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว

“อาซิ่ว”

“เพคะ”

อาซิ่วถลันออกไปทันที ในมือถือมีดปังตอขนาดใหญ่เอาไว้ ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอาซิ่วจึงมีของสิ่งนั้นอยู่ในมือ จริงๆ แล้วมันดูไม่เข้ากับผู้หญิงนัก แต่บางทีนางอาจจะชอบมัน

แม้ว่าอาซิ่วจะเป็นผู้หญิงบอบบาง แต่ว่าแรงโจมตีกลับมากกว่าอาอวี่ เมื่อเร็วๆ นี้อาอวี่เองก็มาช่วยและความสามารถของอาซิ่วก็เหมือนพยัคฆ์ร้ายที่ออกมาจากป่า

เมื่อเทียบกันแล้ว อาอวี่แทบจะกลายเป็นสุนัข

คนผู้นั้นเองก็ไม่ใช่ธรรมดาๆ อาซิ่วไม่สันทัดนักและอีกฝ่ายก็ถอยหลบออกไปทันที ในไม่ช้าทั้งสองคนก็ต่อสู้กัน ผู้คนที่อยู่รอบๆ ตกใจจนตัวสั่น คนจากจวนอ๋องเย่ผู้นี้ช่างเก่งกาจน่ากลัวจริงๆ!

ฉีเฟยอวิ๋นที่อยู่ตรงนี้กล่าวว่า “ทุกคนอย่าเพิ่งใจร้อน เรามีเรื่องต้องคุยกัน ที่แห่งนี้ไม่ใช่การทำเพื่อผูกขาด อีกเดี๋ยวเงินเหล่านี้จะนำมาแบ่งและแจกจ่าย ให้ทุกคนนำกลับไปกินไปดื่มกินกันเสียหน่อย ถือเป็นการสร้างมิตรภาพ ส่วนการสร้างสถานพยาบาลนี้ต้องใช้คนที่มีความสามารถจำนวนมาก นั่นหมายความว่ายิ่งใครมีความสามารถ ข้าก็จะยิ่งจ้างด้วยเงินที่มากขึ้น

ถ้าหมอคนไหนคิดว่าทำได้ ระหว่างวันตั้งแต่หลังมื้อเช้าให้มาประจำการที่นี่ ยามเช้าสองชั่วยาม ยามบ่ายสองชั่วยาม เวลาอื่นๆ ก็กลับเรือน และนั่นจะไม่ทำให้ร้านของพวกท่านต้องเสียเวลา ทั้งยังจะรักษาคนไข้ได้ด้วย ข้าจะมอบความรู้ทางการแพทย์ที่มีทั้งหมดให้พวกท่าน พวกท่านอยากเรียนอะไรจะได้เรียน เงินที่ได้ก็ไม่น้อย พวกท่านคนไหนที่คิดดีแล้วให้มาลงชื่อสมัคร อีกเดี๋ยวจะมีคนมาบอกระบบระเบียบให้พวกท่านฟังทีหลัง

แม้ว่าข้าจะเปิดสถานพยาบาลแห่งนี้ แต่สถานพยาบาลของข้าจะเน้นการผ่าตัดเป็นหลัก พวกท่านประจำการอยู่ที่นี่ ข้าเองก็เช่นกัน แต่จะไม่มีการก้าวก่ายมากนัก ข้าจะเน้นการฝึกสอนลูกศิษย์เป็นหลัก ซึ่งนี่จะช่วยสร้างความผาสุกให้เมืองต้าเหลียงในภายภาคหน้า

ถ้าพวกท่านสมัครใจ ข้าจะเปิดสาขาแยกออกไป พวกท่านจะไปรับหน้าที่เป็นเถ้าแก่ในจุดอื่นของเมืองต้าเหลียงก็ย่อมได้”