ภาคที่ 31 ขั้นอลวน ตอนที่ 18 โจมตีป้อมปราการ

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 18 โจมตีป้อมปราการ โดย Ink Stone_Fantasy

ตงป๋อเสวี่ยอิงหายใจสะดุด เขาสำรวจภายในทั้งหมดของ ‘พื้นที่รังระดับเกราะทอง’ โดยละเอียด รังระดับเกราะทองแห่งหนึ่งหมายความว่าสามารถให้กำเนิด ‘ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทอง’ ได้อย่างไม่ขาดสาย ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด รังแห่งหนึ่งก็สามารถให้กำเนิดฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองได้จำนวนมากขึ้นเท่านั้น ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญถึงขั้นสงสัยว่า…ฝูงมารผลาญทำลายระดับเทพจักรวาลก็น่าจะบรรลุมาจากบรรดาฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองนั่นเอง!

อันที่จริงแล้ว ตลอดคืนวันอันยาวนาน ทางเดินโลกาพิศวงได้ให้กำเนิด ‘อ๋อง’ ขึ้นมาทั้งหมดสิบห้าคนด้วยกัน

นอกจากช่วงแรกมีรังเกราะทองสองแห่งถูกทำลายแล้ว บัดนี้ก็มีรังเกราะทองทั้งหมดเพียงหกแห่งเท่านั้น! สามารถคาดการณ์ได้ว่า รังระดับเกราะทองแห่งหนึ่งจะมี ‘อ๋อง’ ประมาณสองท่าน อีกทั้งเมื่อเวลาผ่านไป รังระดับเกราะทองยังสามารถให้กำเนิดออกมาเป็นจำนวนมากขึ้นอีกด้วย

หรือกล่าวได้ว่า…

ในบรรดาระดับเกราะทองที่ถือกำเนิดขึ้นภายในพื้นที่รังระดับเกราะทองนั้น โดยเฉลี่ยแล้วจะมี ‘อ๋อง’ สองคนถือกำเนิดขึ้น และเมื่อเวลาผ่านไปก็อาจจะเพิ่มมากขึ้นได้อีกด้วย

ดังนั้นยิ่งการต่อสู้เนิ่นนานไป ‘อ๋อง’ ของทางฝ่ายฝูงมารผลาญทำลายก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น เมื่อจำนวนของฝูงมารผลาญทำลายน่าหวาดหวั่นขึ้นเรื่อยๆ ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญก็ต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย!

“ในที่สุดก็พบรังระดับเกราะทองแห่งหนึ่งเข้าจนได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งตื่นเต้นทั้งยินดี

แม้ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญจะยังไม่มั่นใจในมูลค่าของรังระดับเกราะทอง แต่ก็มีการประกาศว่าจะให้รางวัลมาตั้งนานแล้ว ขอเพียงบรรดาร่างแปรของผู้บำเพ็ญกลุ่มใหญ่ที่เข้ามายังทางเดินโลกาพิศวงพบ ‘รังระดับเกราะทอง’ แห่งหนึ่งและรายงานขึ้นไปได้ ก็จะได้รับรางวัลมูลค่ามหาศาลคือ ‘ศิลาปฐมโลกาหนึ่งแสนก้อน’! ดังนั้นร่างแปรของผู้บำเพ็ญจำนวนมากจึงได้เข้ามายังทางเดินโลกาพิศวงเพื่อเสี่ยงโชคดูสักตั้ง

ตอนนั้น ‘จ้าวภูเขาฉื้อเหมย’ เสนอราคาสูงถึงเพียงนั้น ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญก็ล้วนเคยรับได้ เป้าหมายหลักก็คือเพื่อทำลายรังระดับเกราะทอง

น่าเสียดายที่จ้าวภูเขาฉื้อเหมยละโมบเกินไป

เพียงแค่ไปเสาะหา หนึ่งร้อยล้านปีก็ต้องใช้ ‘ศิลาปฐมโลกาหนึ่งหมื่นก้อน’ แล้ว ไม่พบรังระดับเกราะทองก็ยังต้องการมากถึงเพียงนั้น หากสักหมื่นล้านปี…ก็ต้องเป็นล้านศิลาปฐมโลกาแล้ว หากได้อะไรมาบ้างก็แล้วไปเถิด แต่หากไม่ได้อะไรเลยแล้วต้องใช้ศิลาปฐมโลกาจำนวนมหาศาลเช่นนี้ เหล่าเทพจักรวาลก็รับไม่ไหวเช่นกัน

“เอ๊ะ”

สายตาของตงป๋อเสวี่ยอิงถูกต้นไม้โบราณแห่งห้วงอากาศนั้นดึงดูดเอาไว้อย่างรวดเร็ว เพราะเขาสำรวจผ่านรูทรงกลมหมอกดำในระยะที่ใกล้มาก จึงสามารถสำรวจโครงสร้างของต้นไม้โบราณแห่งห้วงอากาศนั้นได้ชัดเจนหาใดเปรียบ

“ใช้ประโยชน์จากอากาศได้สมบูรณ์แบบเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงชื่นชม “ทางเดินโลกาพิศวงนับได้ว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของการบำเพ็ญอากาศ ส่วน ‘รังระดับเกราะทอง’ ก็คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว”

สวบ

วันนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงได้ส่งร่างแปรที่สองเข้าไปในทางเดินโลกาพิศวงแล้วตามหารังฝูงมารต่อไป ส่วนร่างแปรร่างแรกก็บำเพ็ญอย่างเงียบๆ เพียงลำพังภายในมิติปิดผนึก และสำรวจ ‘รังระดับเกราะทองต้นไม้โบราณแห่งห้วงอากาศ’ เป็นระยะยาว

อันที่จริงหากจะพูดอย่างเข้มงวดแล้ว

ศาสตร์ลับสี่ภาพวาดของจักรพรรดิเก้าเมฆา วิชาลับผู้ท่องและโครงสร้างของต้นไม้โบราณแห่งห้วงอากาศ ทั้งสามสิ่งนี้ล้วนใช้ประโยชน์จากอากาศในด้านที่แตกต่างกัน ทว่าแม้จะต่างทิศทางกัน แต่กลับสามารถอ้างอิงซึ่งกันและกันได้

“เรื่องการรายงานขึ้นไปนั้นไม่ต้องรีบร้อน รอให้ต้นไม้โบราณแห่งห้วงอากาศมีส่วนช่วยข้าไม่มากสักเท่าใดนักแล้วค่อยรายงาน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ แม้ต้นไม้โบราณแห่งห้วงอากาศจะกำลังบ่มเพาะฝูงมารอยู่ แต่ฝูงมารระดับเกราะทองนั้นถือกำเนิดขึ้นมาได้ช้ามาก ชุดหนึ่งเก้าฟอง หลังจากการบ่มเพาะชุดหนึ่งได้สิ้นสุดลงแล้ว ลำพังแค่ชุดต่อไปจะก่อตัวขึ้นเป็นไข่สีทองได้ อย่างสั้นที่สุดก็ต้องหลายหมื่นล้านปี อย่างนานก็ต้องเป็นล้านล้านปี ยิ่งพรสวรรค์สูงเท่าไหร่ก็ต้องใช้เวลานานขึ้นเท่านั้น

******

เวลาล่วงเลยไป

เพียงพริบตาเดียว

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาถึงปราการอากาศได้สองหมื่นหนึ่งพันล้านปีแล้ว ภายในโถงตำหนักของปราการอากาศขนาดมหึมา

“เอ๊ะ”

“อะไรนะ!”

บรรดาร่างแปรของผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนหลายร้อยคนซึ่งเดิมทีกำลังสนทนากันหรือไม่ก็อยู่เพียงลำพัง ต่างก็ผุดลุกขึ้น แล้วมองดูภาพขนาดมหึมาที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศตรงขอบโถงตำหนักด้วยความตกตะลึง ตรงนั้นจะแสดงภาพความเคลื่อนไหวของฝูงมารผลาญทำลายที่ตรวจพบในแดนนอกและแดนในตลอดเวลา แต่ยามนี้…

จุดแสงจำนวนมากปรากฏขึ้นที่ชายแดนพร้อมกันอย่างแน่นขนัดจากนั้นก็เข้าไปในแดนในพร้อมกัน ทั้งยังลอยมุ่งหน้าไปทาง ‘ป้อมปราการอากาศ’ ด้วยความเร็วสูงยิ่งอีกด้วย

พวกตงป๋อเสวี่ยอิงมีสายตาระดับใด เพียงมองปราดเดียวพวกเขาก็สามารถวิเคราะห์ได้แล้วว่าจุดแสงแน่นขนัดเหล่านั้นมีถึงสามพันจุดด้วยกัน

“จะโจมตีป้อมปราการอากาศอีกครั้งแล้วหรือ”

บรรดาขั้นอลวนทั้งหมดหัวใจบีบแน่นขึ้นมา การท้าทายและเข่นฆ่าทั่วไปก็ล้วนแต่อยู่นอกชายแดนทั้งสิ้น ที่เข้าไปลึกเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเพื่อ ‘ป้อมปราการอากาศสุดท้าย’ ของแดนใน

 …

ภายในโถงตำหนักมหึมา มีเงาร่างสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้นต่อเนื่องกัน มิติโดยรอบถึงขั้นบิดเบี้ยวและยุบตัวลงไป สิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นตนแล้วตนเล่าเดินออกมาจากในนั้น ความแข็งแกร่งของอานุภาพทำให้พวกตงป๋อเสวี่ยอิงต้องสะพรึง

นอกจากปราการอากาศแล้ว คิดจะพบเทพจักรวาลจำนวนมากมายถึงเพียงนั้น และจะพบร่างจริงด้วยก็ยากเกินไปแล้วจริงๆ!

เพียงชั่วลมหายใจเดียว

เทพจักรวาลถึงสิบสองคนก็มาถึง พวกเขาเร่งมาจากที่พำนักของตน ต้องรู้ไว้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนไม่เข้าใจการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น จึงต้องให้ผู้ใต้บังคับบัญชาสร้างทางเชื่อมการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นขึ้นมา ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ยังมาถึงได้ภายในชั่วลมหายใจเดียว

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูโดยละเอียด มีเทพจักรวาลหลายคนที่เขาไม่เคยพบมาก่อน

ท่านอาจารย์ ‘บรรพชนห้วงอากาศ’ ของตนเป็นบุรุษผมเขียวสวมอาภรณ์สีดำ สายตาของเขานุ่มนวล รักใคร่ทุกชีวิต เขามองตงป๋อเสวี่ยอิงก่อนจะมองไปทางเทพจักรวาลคนอื่นๆ

“พวกเขาจะโจมตีป้อมปราการอากาศอีกครั้งแล้ว” ที่นี่รวมเอาสิ่งมีชีวิตระดับยอดของอากาศอันสับสนอลหม่านและโลกทิพย์ทั้งห้าเอาไว้กว่าครึ่ง กลิ่นอายของแต่ละคนล้วนยิ่งใหญ่ลึกล้ำเกินหยั่ง ในจำนวนนั้นมี ‘บรรพชนทิพย์’ บุรุษซึ่งเหนือผิวกายมีโซ่สายแล้วสายเล่ารายล้อมอยู่ด้วย ยามนี้บรรพชนทิพย์กำลังเอ่ยปากอย่างเคร่งขรึมว่า “แม้ก่อนหน้านี้พวกเขาจะพ่ายแพ้มาหลายครั้ง แต่ทุกครั้งพวกเราก็ล้วนไม่สามารถประมาทได้ หากพ่ายแพ้แค่ครั้งเดียว ป้อมปราการอากาศถูกทำลายขึ้นมา เช่นนั้นก็แย่แล้ว”

“อื้ม เช่นนั้นก็รับมือด้วยวิธีเดิมดีหรือไม่เล่า” ยักษ์ร่างกายใหญ่โตราวกับร่างกายก่อตัวขึ้นจากก้อนศิลาสีดำยืนอยู่ตรงนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

ทุกคนในที่นั้นมิมีผู้ใดคัดค้าน

“เช่นนั้นก็เคลื่อนไหวเถิด” บรรพชนโลกาผู้มีร่างผอมเล็กสวมอาภรณ์สีเขียวพูดต่อทันที

……

ณ โลกทิพย์โบราณ

ภายในสระอาบน้ำขนาดมหึมา ไอร้อนพวยพุ่ง

ร่างของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แช่อยู่ในสระ เขานั่งอยู่ริมน้ำ ทันใดนั้นเขาก็มองไปทาง ‘ทางเดินโลกาพิศวง’ ไกลออกไปราวกับรู้สึกบางอย่างขึ้นมา แม้โลกทิพย์โบราณจะห่างจากทางเดินโลกาพิศวงลิบลับเป็นระยะทางนับไม่ถ้วน ทว่าเมื่อจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มองดูอยู่ห่างๆ บนใบหน้ากลับมีรอยยิ้มพิกลสายหนึ่งผุดขึ้นมา “ฝูงมาเหล่านี้จะลอบแทรกซึมเข้าไปในโลกทิพย์ทั้งห้าอีกแล้วหรือนี่”

“พวกเขากำลังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ อ๋องที่ถือกำเนิดขึ้นก็กำลังเพิ่มจำนวนขึ้น เวลาที่มีให้ข้าก็น้อยลงทุกทีแล้ว และยังมีตาเฒ่าเหล่านั้นที่คอยสร้างความวุ่นวายให้ข้าอีกด้วย” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นก็หลับตาลงแล้วแช่อยู่ในสระอาบน้ำต่อไป…

ณ โลกฟ้ากระจ่าง ในอากาศอันสับสนอลหม่าน

โลกฟ้ากระจ่างเป็นเศษเสี้ยวหนึ่งที่หลงเหลืออยู่หลังจากโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแตกออกเป็นเสี่ยงๆ มันกว้างใหญ่สู้ดินแดนเก้าเมฆาไม่ได้เลย เกรงว่าคงจะเป็นเพียงหนึ่งในร้อยส่วนของดินแดนเก้าเมฆาเท่านั้น

ส่วนบัดนี้โลกฟ้ากระจ่างกลับถูก ‘จ้าวภูเขาฉื้อเหมย’ อาจหาญยึดครองอีกครา

“เฮอะๆๆ เริ่มโจมตีป้อมปราการอากาศอีกแล้วหรือนี่”

จ้าวภูเขาฉื้อเหมยยืนอยู่บนยอดเขาสูงแห่งหนึ่ง ขนคิ้วของเขาเป็นสีแดงชาด แววตาเย็นชาเฉียบคม

ในบรรดาผู้แกร่งกล้าระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้า ก็นับว่าเขาเป็นผู้ที่หยิ่งผยองที่สุดคนหนึ่ง เขาถึงขั้นไม่ค่อยเห็นเทพจักรวาลบางคนอยู่ในสายตาเสียด้วยซ้ำไป เนื่องจากขณะที่บรรดาเทพจักรวาลผู้สูงส่งกำลังเผชิญหน้ากับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นก็มีความเสี่ยงที่จะสิ้นชีพ แต่เขานั้นไม่เหมือนกัน เขาฝึกร่างแยกออกมาทั้งยังสามารถส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้ด้วย ร่างแยกของเขาแอบซ่อนมาจนถึงวันนี้ก็ยังมิมีผู้ใดพบตัวได้เลย

ต่อให้เป็นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่อยากจะเป็นอริกับทางสายประมุขหอหมื่นโลกาเลย

ศัตรูที่ข้าไม่ตายนั้นยากรับมือเป็นที่สุด

“ดีมาก ฝูงมารผลาญทำลายโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า เทพจักรวาลเหล่านั้นก็จะสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามเอง” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยพึมพำเบาๆ “พวกเขาจะร้อนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็จะมีสักวันหนึ่งที่ยอมรับข้อเรียกร้องของข้า”

บรรดาเทพจักรวาลขอให้เขาช่วยเหลือ

แต่จ้าวภูเขาฉื้อเหมยกลับมีข้อเรียกร้องอันสูงลิ่ว ทั้งสองฝ่ายจึงมิได้เจรจาตกลงกันให้แน่นอนมาโดยตลอด!

“นี่คือโอกาสอันหาได้ยากของข้า ที่จะได้ศิลาปฐมโลกาจำนวนมหาศาลมา” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยมิได้ร้อนใจแต่อย่างใด เขาเชื่อว่าบรรดาเทพจักรวาลจะตกลงรับข้อเรียกร้องของเขาในท้ายที่สุด ส่วนจะเป็นการล่วงเกินเทพจักรวาลเหล่านั้นด้วยเหตุนี้หรือไม่น่ะหรือ เขาไม่แยแสเอาเสียเลย!

 ……………………………………